เตรียมนำขึ้นทูลเกล้าฯ
คลอด5กกต.
‘สมชาย-พีระศักดิ์’แห้ว
สนช.ท่วมท้นเขี่ยทิ้งตามคาด
สรรหาใหม่ทดแทนใน90วัน
เจตน์ชี้แค่5คนจัดเลือกตั้งได้
เทือกไลฟ์สดหาสมาชิกไม่ผิด
“สนช.” โหวตเห็นชอบกกต.เพียง 5 คน จาก 7 คน “สมชาย-พีระศักดิ์” แห้วตามโผ เหตุถูกร้องเรียนละเว้นปฏิบัติหน้าที่สหกรณ์คลองจั่นและสงสัยไม่เป็นกลางทางการเมือง “พรเพชร” จ่อนำชื่อขึ้นทูลเกล้าฯ เผยแค่ 5 คนก็จัดเลือกตั้งได้ แต่ “สนช.” ใช้วิธีสรรหาตามปกติใน 90 วัน “วิษณุ” ชี้ “สุเทพ” ไลฟ์สดหาสมาชิกพรรรคไม่ผิด
เมื่อวันที่ 12กรกฎาคม ที่รัฐสภา มีการประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(คสช.) มีนายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานสนช.ทำหน้าที่ประธานการประชุมฯ เพื่อพิจารณาวาระให้ความเห็นชอบบุคคลผู้ได้รับการเสนอชื่อให้ดำรงตำแหน่งคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) จำนวน 7คนตามที่คณะกรรมาธิการสามัญเพื่อทำหน้าที่ตรวจสอบประวัติ ความประพฤติ และพฤติกรรมทางจริยธรรมของผู้ได้รับการเสนอชื่อให้ดำรงตำแหน่งกกต.พิจารณาเสร็จแล้ว
สำหรับรายชื่อทั้ง 7 รายประกอบด้วย 1.นายสันทัด ศิริอนันต์ไพบูลย์ อาจารย์ประจำสาขาเทคโนโลยีสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี 2.นายสมชาย ชาญณรงค์กุล อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร 3.นายอิทธิพร บุญประคอง อดีตอธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย 4.นายพีระศักดิ์ หินเมืองเก่า อดีตผู้ว่าราชการหลายจังหวัด 5.นายธวัชชัย เทอดเผ่าไทย อดีตสมาชิกสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ(สปท.) 6.นายฉัตรไชย จันทร์พรายศรี ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกาและ7.นายปกรณ์ มหรรณพ ผู้พิพากษาศาลฎีกา
สนช.โหวตลับคลอด5กกต.ป้ายแดง
ทั้งนี้ ที่ประชุมสนช.ได้ประชุมลับนานเกือบ 3ชั่วโมงผลปรากฏว่า 1.นายสันทัด ศิริอนันต์ไพบูลย์
ได้รับคะแนนเสียงเห็นชอบ 178 เสียง ไม่เห็นชอบ20 เสียง และงดออกเสียง3 เสียง 2.นายสมชาย ชาญณรงค์กุลได้รับคะแนนเห็นชอบ3 เสียง ไม่เห็นชอบ193 เสียง และงดออกเสียง5 เสียง 3. นายอิทธิพรบุญประคอง ได้รับคะแนนเห็นชอบ186 เสียง ไม่เห็นชอบ10 เสียง และงดออกเสียง5เสียง 4. นายพีระศักดิ์หินเมืองเก่า ได้รับคะแนนเห็นชอบ 28 เสียง ไม่เห็นชอบ 168 เสียง และงดออกเสียง 5 เสียง 5. นายธวัชชัย
เทิดเผ่าไทย ได้รับคะแนนเห็นชอบ 184 เสียง ไม่เห็นชอบ 12 เสียง และงดออกเสียง 5 เสียง 60. นายฉัตรไชยจันทร์พรายศรีได้รับคะแนนเห็นชอบ 184 เสียง ไม่เห็นชอบ 11 เสียง และงดออกเสียง 6 เสียง และนายปกรณ์มหรรณพ ได้รับคะแนนเห็นชอบ 185 เสียง ไม่เห็นชอบ 10 เสียง และงดออกเสียง 6 เสียง
“สมชาย-พีระศักดิ์”ปิ๋วตามคาด
โดยนายสันทัด นายอิทธิพร นายธวัชชัย นายฉัตรไชยและนายปกรณ์ ได้รับคะแนนเห็นชอบด้วยคะแนนเสียงไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของสมาชิกสนช.ที่มีอยู่ 246 คน หรือ 123เสียงขึ้นไป ถือว่าได้รับความเห็นชอบให้ดำรงตำแหน่งกกต.ขณะที่นายสมชายและนายพีระศักดิ์ได้รับคะแนนเห็นชอบน้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสนช.ที่มีอยู่ ถือว่าไม่ได้รับความเห็นชอบให้ดำรงตำแหน่งกกต.
มีคดีปักหลัง-ไม่เป็นกลางการเมือง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายสมชายและนายพีระศักดิ์ มีชื่อส่อหลุดโผมาตั้งแต่ต้น เพราะนายสมชาย มีปัญหาเรื่องมีคดีถูกฟ้องร้องอยู่ในชั้นคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ปปช.)และศาล กรณีละเว้นปฏิบัติหน้าที่จนก่อให้เกิดความเสียหายแก่สมาชิกสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่นจำกัด ในสมัยที่ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ ที่ต้องทำหน้าที่เป็นนายทะเบียนสหกรณ์ ส่วน นายพีระศักดิ์ มีปัญหาถูกร้องเรียนเรื่องความเป็นกลางทางการเมือง
เตรียมสรรหาใหม่ภายใน90วัน
หลังจากนี้กกต.ใหม่ทั้ง 5คน ต้องลาออกจากงานและประชุมกันเองเพื่อเลือกประธาน ก่อนที่ประธาน สนช.จะนำรายชื่อขึ้นทูลเกล้าฯ เป็น กกต.ต่อไป ส่วนอีก 2คนที่ยังไม่ครบ จะต้องสรรหาใหม่ให้ครบ โดยการสรรหาจะใช้วิธีรับสมัครหรือทาบทาม มีเวลาดำเนินการ 90วันนับตั้งแต่วันที่ 12กรกฎาคม อย่างไรก็ตาม การได้ กกต.5คนถือว่าสามารถปฏิบัติหน้าที่จัดการเลือกตั้งได้ โดยไม่ต้องรอให้ครบทั้ง 7คน
‘พรเพชร’จ่อนำชื่อขึ้นทูลเกล้าฯ
นพ.เจตน์ศิรธรานนท์ โฆษกกรรมาธิการวิสามัญกิจการสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(วิปสนช.) กล่าวว่า ขั้นตอนต่อไปหลังจากสนช.ลงมติให้ความเห็นชอบผู้ได้รับการเสนอชื่อเป็นกกต.จำนวน 5 คน จาก 7 คนนั้น นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานสนช.จะนำรายชื่อกกต.ที่ได้รับความเห็นชอบขึ้นทูลเกล้าฯไปก่อน เพราะถือว่า ทั้ง 5คน สามารถทำงานได้ทันทีและจะทำให้กกต.ชุดเก่าพ้นจากตำแหน่งทันที เมื่อมีการโปรดเกล้าฯลงมา ส่วนการสรรหากกต.ที่เหลืออีก 2คน จะใช้คณะกรรมการสรรหาชุดเดิมทำหน้าที่พิจารณาคัดเลือก โดยจะเปิดรับสมัครบุคคลใหม่เข้ามา โดยนายสมชายและนายพีระศักดิ์ ไม่สามารถสมัครเป็นกกต.ใหม่ได้อีก ทั้งนี้ แม้กฎหมายเปิดโอกาสให้ทาบทามผู้มีคุณสมบัติเหมาะสมมาเป็นกกต.แต่เชื่อว่า ไม่มีกรรมการสรรหาคนใดกล้าไปทาบทาม เพราะเกรงจะมีปัญหาภายหลังเกี่ยวกับผลประโยชน์ทับซ้อนได้
‘บิ๊กป้อม’มึนยกคดีต่อรองแลกดูด
ด้าน พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีฝ่ายการเมืองตั้งข้อสังเกตการลงพื้นที่ประชุมครม.สัญจร จ.อำนาจเจริญและอุบลราชธานี ในวันที่ 23-24 ก.ค.นี้มีนัยทางการเมืองว่า ลงพื้นที่มาทั้งปี ตลอดทุกเดือนอยู่แล้ว เพิ่งนึกขึ้นได้หรือ ส่วนที่มีกระแสดูดนั้นไม่มีหรอก นายกรัฐมนตรีก็บอกแล้วว่าไม่มี เมื่อถามว่า มีกระแสข่าวนายกฯไม่ได้เป็นผู้ดูดเอง แต่ให้นายทหารภาคอีสานเป็นผู้ดำเนินการ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า กระแสข่าวก็พูดไปเรื่อย พร้อมถามกลับว่าวิธีดูดเป็นอย่างไร เมื่อผู้สื่อข่าวตอบว่า ใช้การแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ เช่น เรื่องคดีความ รองนายกฯ กล่าวว่า “โอ้ย คดีอะไร ใครเป็นคดีกับใครผมไม่รู้และเรื่องกระบวนการยุติธรรมไปแตะต้องไม่ได้ ใครก็ทำอะไรไม่ได้ นายกฯก็ทำไม่ได้ ถามว่าจะไปแลกเปลี่ยนไปสั่งให้เขายกเลิกทำได้หรือไม่ ใครทำได้บ้าง มันทำไม่ได้”
เมื่อถามว่า มีกระแสข่าวว่ามีการเสนอผลประโยชน์เรื่องเงินด้วย พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า เงินที่ไหน ส่วนที่อ้างกันถึงรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจนั้น เขาไม่ได้หาเงินเอง เขาเป็นคนคิดที่จะหาเงินเข้ารัฐ ไม่ได้หาเงินเข้ากระเป๋าเพื่อเอาไปให้ใคร ไม่มีหรอก
‘วิษณุ’ชี้ใช้วิธีทาบทามกกต.ได้
ขณะที่ นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีสนช.พิจารณารายชื่อว่าที่กกต.ในวันที่ 12กรกฎาคม ซึ่งถูกจับตาว่าอาจได้ กกต.ไม่ครบ 7คน เนื่องจากอาจมีบางคนคุณสมบัติไม่เหมาะสม และจะมีการเสนอให้ใช้วิธีการทาบทามตัวบุคคลเข้ามาดำรงตำแหน่งแทน ว่า ในกฎหมายเปิดโอกาสไว้ แต่จะใช้หรือไม่ก็แล้วแต่ ซึ่งสังคมอาจจะยังใหม่กับเรื่องนี้และไม่ยอมรับวิธีนี้ ดังนั้นจึงไม่ควร เพราะดุลพินิจที่จะบอกว่า ให้ใช้วิธีทาบทามตัวถือว่าล่อแหลมมาก แต่กฎหมายก็ไม่ได้ห้ามอะไร
สุเทพไลฟ์สดหาสมาชิกพรรคได้
นายวิษณุ ยังกล่าวถึงกรณีนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ผู้ร่วมก่อตั้งพรรครวมพลังประชาชาติไทย(รปช.) ไลฟ์สดผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวเชิญชวนประชาชนสมัครเป็นสมาชิกพรรคผิดกฎหมายหรือไม่ ว่า วันที่หารือกันระหว่างกกต.และพรรคการเมืองที่ผ่านมา มีคนสอบถามประเด็นดังกล่าว ซึ่งตนตอบไปว่า การติดต่อสื่อสารทางอิเล็กทรอนิกส์นั้น กกต.ระบุว่าสามารถทำได้ เพราะวิธีนี้เปิดเผยและไม่ถือขัดคำสั่ง คสช.
จ่อผุดกม.ห้ามตร.รับใช้นักการเมือง
นายคำนูณ สิทธิสมาน กรรมการพิจารณาร่างพรบ.ตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการฯได้พิจารณากรณีมีข้าราชการตำรวจไปช่วยราชการหน่วยงานอื่นหรือปฏิบัติหน้าที่อื่นนอกเหนือจากหน้าที่ตำรวจโดยตรง ซึ่งเป็นหนึ่งในอุปสรรคที่ทำให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ต้องเสียกำลังพลจริงไปเป็นจำนวนไม่น้อยด้วยหตุนี้เห็นควรกำหนดมาตรการเพิ่มไว้ในบทเฉพาะกาลของร่างกฎหมายดังนี้ 1.ห้ามมิให้สั่งการให้ข้าราชการตำรวจที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่ในสถานีตำรวจและกองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัด ไปช่วยราชการยังหน่วยงานใด ยกเว้นจะตั้งอัตรากำลังทดแทน
2.ข้อเท็จจริงปรากฎว่ามีข้าราชการตำรวจไปติดตามดูแลบุคคลที่เคยเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง อดีตข้าราชการตำรวจชั้นผู้ใหญ่และบุคคลผู้กว้างขวางหรือผู้มีอิทธิพล อย่างไม่เป็นทางการ จึงเห็นควรกำหนดให้ผู้บังคับบัญชาผู้ทราบว่าผู้ใต้บังคับบัญชาผู้ใดไม่มาปฏิบัติงานที่หน่วยเพราะไปปฏิบัติภารกิจนอกเหนือหน้าที่และอำนาจอย่างไม่เป็นทางการดังกล่าวเป็นเวลาเกินกว่า 15วัน รายงานต่อผบ.ตร.เพื่อพิจารณาดำเนินการต่อไป ทั้งนี้ ไม่รวมถึงการปฏิบัติหน้าที่อารักขาบุคคลสำคัญต่างๆที่มีตำแหน่งอยู่ในปัจจุบันและสตช.จัดให้มีการอารักขาบุคคลดังกล่าวอย่างเป็นทางการ ตามกฎข้อบังคับของสตช.
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี