15 ก.ค.61 ที่อาคารทูแปซิฟิคเพลส ถ.สุขุมวิท มูลนิธิมวลมหาประชาชนเพื่อการปฏิรูปประเทศไทย จัดเสวนาในหัวข้อ "การกระจายอำนาจ" โดยมีผู้ร่วมเสวนา คือ นายเอนก เหล่าธรรมทัศน์ แกนนำพรรครวมพลังประชาชาติไทย (รปช.) , นายจรัส สุวรรณมาลา อดีตคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ , นายสมบูรณ์ สุขสำราญ อดีตผู้ว่าราชการหลายจังหวัด และนายพงศ์โพยม วาศภูติ อดีตปลัดกระทรวงมหาดไทย
ทั้งนี้ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ประธานมูลนิธิมวลมหาประชาชนเพื่อการปฏิรูปประเทศไทย เป็นผู้กล่าวเปิดการเสวนา ว่า มูลนิธิฯ ได้ตั้งขึ้นเพื่อให้การปฏิรูปประเทศในด้านต่างๆ ตามเจตนารมณ์ของมวลมหาประชาชน คือ การปฏิรูปการเมือง เพื่อให้เกิดการเมืองที่ดีต่อประเทศชาติและประชาชน ซึ่งได้มีการดำเนินการอย่างเป็นรูปธรรมแล้ว แต่ยังมีเรื่องที่ต้องดำเนินการ เพื่อให้การเมืองบริสุทธิ์และเป็นไปตามระบอบประชาธิปไตยจึงเป็นหน้าที่ของฝ่ายต่างๆ ที่จะต้องช่วยกัน
นอกจากนี้ ยังมุ่งหวังในเรื่องของการปฏิรูปการป้องกันและปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชั่น โดยคาดหวังว่าจะทำให้ปัญหาดังกล่าวลดลงหรือหมดไป ตลอดจนการปฏิรูประบบราชการเพื่อให้การบริหารราชการแผ่นดินเป็นไปตามหลักธรรมมาภิบาล โดยเห็นว่าต้องมีการกระจายอำนาจลงสู่จังหวัดและท้องถิ่น เพื่อให้เกิดความเจริญอย่างเท่าเทียมกัน ขณะเดียวกันยังคาดหวังว่าการปฏิรูปการแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำ ที่ต้องมีการยกระดับรายได้และคุณภาพชีวิตของประชาชนและท้ายที่สุดการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมให้มีประสิทธิภาพรวดเร็วโดยเฉพาะการปฏิรูปตำรวจ อย่างไรก็ตาม การเสวนาวันนี้เป็นส่วนหนึ่งในการระดมความคิดจากผู้ที่รักชาติ รักบ้านเมืองทุกฝ่าย ซึ่งเป็นการจัดอย่างเป็นทางการครั้งแรก และในครั้งต่อไปจะเป็นการพูดถึงการปฏิรูปตำรวจที่อยู่ในขั้นตอนการดำเนินการของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) จึงหวังว่าจะเป็นประโยชน์กับ สนช.ต่อไป
จากนั้น นายพงศ์โพยม ได้กล่าวในช่วงของการเสวนา ว่า การบริหารปัจจุบันที่มีปัญหาอันเนื่องมาจากการร่วมศูนย์อำนาจของฝ่ายราชการส่วนกลางและส่วนภูมิภาค ที่ต้องรอให้ราษฎรมาของบประมาณทรัพยากรต่างๆ และรอให้การช่วยเหลือ ซึ่งทำให้ประชาชนอ่อนแอเนื่องจากไม่สามารถจัดการตนเองได้และไม่มีงบประมาณ หากให้อำนาจประชาชนกำกับดูแลกันเองน่าจะดีขึ้น แต่ก็ยอมรับว่าท้องถิ่นยังมีปัญหาเรื่องความโปร่งใสอยู่ อีกทั้งที่ผ่านมา รัฐไทยทำหน้าที่อุ้มประชาชนมากเกินไป ทำให้ประชาชนอ่อนแอ และการบริหารราชการแผ่นดิน มักให้ความสำคัญกับส่วนกลางมากกว่าท้องถิ่น งบประมาณต่างๆก็ต้องรอได้รับการจัดสรรดูแลและบริหารตนเองไม่ได้ ส่งผลให้ประชาชนไม่มีส่วนร่วมในการพัฒนาพื้นที่ของตนเอง ท้องถิ่นเลยกลายเป็นเบี้ยล่างของรัฐตลอดมา ดังนั้น จึงต้องมีการปฎิรูปโครงสร้างการบริหารราชการแผ่นดินใหม่โดยเร็ว
"ประเทศไทยใช้ระบบการขอและไม่ปฏิบัติตามระเบียบกฏหมาย และมุ่งช่วยเหลือประชาชนมากเกินไปก่อให้เกิดความอ่อนแอ ซึ่งตนเองรักประเทศไทยจึงอยากเห็นไทยเข้มแข็งและต่อสู้กับคนอื่นได้ โดยปัญหาอุปสรรคส่วนใหญ่คือการกระจายอำนาจ และการปกครองที่ให้ความสำคัญกับส่วนกลาง และภูมิภาคแบบรวมอำนาจ ดังนั้นปัญหาส่วนใหญ่เกิดจากทัศนคติของหน่วยราชการและผู้มีอำนาจ โดยเฉพาะนักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้งที่หวงอำนาจและเสียดายงบประมาณ ปัญหาโครงสร้างอำนาจหน้าที่ของท้องถิ่น ปัญหาด้านการเงินการคลังท้องถิ่น ปัญหาด้านทรัพยากรบุคคลท้องถิ่นที่มีความแตกต่างกัน ปัญหาด้านการกำชับตรวจสอบหน่วยงานภาครับและองค์กรอิสระ และปัญหาด้านความโปร่งใส
ทั้งนี้ ผมเองอยากเห็นประชาชนมีความเข้มแข็ง จึงควรเปิดโอกาสให้ประชาชนเข้ามีส่วนรวมในทุกรูปแบบ และไม่ใช่แค่การเลือกตั้งเท่านั้น แต่ควรเปิดให้ประชาชนเข้ามาร่วมตรวจสอบและกำกับดูแลกันเอง" นายพงศ์โพยม กล่าว
ด้าน นายจรัส กล่าวว่า การบริหารแบบรวมศูนย์เป็นต้นเหตุของการบริหารงานภาครัฐที่ไม่สามารถพัฒนาพื้นที่ต่อไปได้ เพราะต้องรอการอนุมัติจากส่วนกลางและยังใช้แผนการบริหารในลักษณะเดียวกันหมด ทั้งที่แต่ละจังหวัดมีความต่างกัน ทั้งขนาด ประชากร ทรัพยากร และอัตลักษณะของแต่ละพื้นที่ การกระจายอำนาจจึงเป็นทางออกที่เปิดทางให้จังหวัดพัฒนาตนเองได้มากกว่าที่เป็น ซึ่งช่วงแรกอาจใช้นักบริหารมืออาชีพโดยผู้มีคุณสมบัติให้นายกรัฐมนตรีเลือกจังหวัดละ 3 คน ก่อนให้สภาจังหวัดเลือกให้เหลือคนเดียวมาเป็นผู้ว่า จนกว่าระบบการกระจายอำนาจต่างๆ จะมีความพร้อมจึงค่อยให้ผู้ว่าราชการจังหวัดมาจากการเลือกตั้ง
"ที่ผ่านมาไม่มีพรรคไหนแก้ไขปัญหาเรื่องการกระจายอำนาจได้เลย ศูนย์การอำนาจรัฐอยู่ในระบบราชการและนักการเมืองระดับชาติเป็นต้นเหตุให้การบริหารจัดการของรัฐล้มเหลวในทุกด้าน จึงขอเสนอให้ยกฐานะจังหวัดเป็นองค์กรปกครองท้องถิ่นรูปแบบพิเศษ คล้ายกับกรุงเทพมหานคร แต่ก้าวหน้ากว่า โดยให้มีเทศบาลขนาดย่อยบริหารตนเอง พร้อมมีแนวคิดให้เลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดโดยตรงด้วย ส่วนเรื่องงบประมาณจังหวัดและเทศบาลต้องอุดหนุน ซึ่งกันและกันมีข้อตกลงร่วมกันมีความยืดหยุ่นในการบริหารจัดการงบประมาณแต่ต้องมีการกำหนดนโยบายการใช้งบประมาณของจังหวัดที่ต้อง เป็นไปตามระเบียบวินัยการเงินการคลัง ที่สำคัญการจัดสรรงบประมาณของรัฐให้จังหวัดก็จะต้องคำนึงถึงเศรษฐกิจของจังหวัดนั้นๆด้วย นอกจากนี้ยังต้องเปิดโอกาสให้จังหวัดสามารถจัดการทรัพยากรธรรมชาติของตนเองได้ ร่วมถึงระบบการศึกษาและมีส่วนในการเสนอแนวทางเพื่อพัฒนาประเทศด้วย ซึ่งหากจริงจังแนวทางนี้จะแล้วเสร็จภายใน 4 ปี" นายจรัส กล่าว
ขณะที่ นายเอนก เห็นด้วยกับแนวคิดของนายจรัส เชื่อว่าเป็นแนวทางที่สามารถใช้ในการปฏิรูปการกระจายอำนาจได้จริง และพรรครวมพลังประชาชาติไทยก็มีนโยบายในลักษณะเดียวกันนี้
สุดท้าย นายสมบูรณ์ เสนอว่า ในช่วงแรกไม่ควรมีการยกเลิกส่วนภูมิภาคทันที เพราะยังมีความสำคัญในฐานะผู้ประสานงานกับส่วนกลางอยู่ เพียงแต่ควรลดอำนาจบทบาทให้น้อยลงจนกว่าจะมีความพร้อมสู่การกระจายอำนาจที่แท้จริง
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี