17 ก.ค.61 เวลา 09.00 น. ณ ห้องประชุม 501 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ภายหลังเสร็จสิ้นการประชุม พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย พ.อ.อธิสิทธิ์ ไชยนุวัติ และ พ.อ.หญิง ทักษดา สังขจันทร์ ผู้ช่วยโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้ร่วมแถลงผลการประชุม ครม.ซึ่งสรุปสาระสำคัญดังนี้
กฎหมาย
1. เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (การจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม จากผู้ประกอบการธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ (e-Business) ในต่างประเทศ)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติและรับทราบ ดังนี้
1. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (การจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากผู้ประกอบการธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ (e-Business) ในต่างประเทศ) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณาก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป
2. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลา และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองซึ่งต้องออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
3. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงบประมาณไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
4. ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมรับไปพิจารณากำหนดให้ผู้ประกอบการธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ (e-Business) ในต่างประเทศที่ได้ให้บริการแก่ผู้รับบริการในประเทศไทยต้องมาตั้งสถานประกอบการในประเทศไทยหรือมีตัวแทนในการประกอบกิจการในประเทศไทยต่อไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
สาระสำคัญของร่างพระราชบัญญัติ
1. กำหนดวิธีการส่งหมายเรียกหรือหนังสือแจ้งให้เสียภาษีอากรหรือหนังสือซึ่งที่มีถึงบุคคลใดซึ่งอยู่นอกราชอาณาจักรที่ประกอบกิจการโดยใช้วิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ที่ต้องเสียภาษี
2. กำหนดอัตราภาษีที่ใช้ในการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับการให้บริการโดยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์แก่ผู้รับบริการซึ่งไม่ได้เป็นผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม
3. กำหนดหลักเกณฑ์ และเงื่อนไขสำหรับการเสียภาษีมูลค่าเพิ่มของผู้ประกอบการที่อยู่นอกราชอาณาจักรซึ่งประกอบกิจการให้บริการโดยใช้วิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์แก่ผู้รับบริการซึ่งไม่ได้เป็นผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม และได้ใช้บริการนั้นในราชอาณาจักร และของเจ้าของแพลตฟอร์ม (Plat form เจ้าของระบบโปรแกรมคอมพิวเตอร์หรือเจ้าของเว็บไซต์) และกำหนดห้ามมิให้ผู้ประกอบการดังกล่าวซึ่งได้จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มเรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากผู้ซื้อสินค้าหรือบริการ
4. กำหนดยื่นแบบแสดงรายการภาษี และการชำระภาษีของผู้ประกอบการที่อยู่นอกราชอาณาจักรและเจ้าของแพลตฟอร์มยื่นแบบแสดงรายการภาษี และการชำระภาษีผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ตทางเว็บไซต์ (Web Site) ของกรมสรรพากร
5. กำหนดให้ผู้ประกอบการที่อยู่นอกราชอาณาจักรและเจ้าของแพลตฟอร์มที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มซึ่งมีมูลค่าของฐานภาษีตามที่กำหนดโดยพระราชกฤษฎีกาให้ยื่นคำขอตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่ อธิบดีกำหนด
2. เรื่อง ร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง ยกเลิกระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยคณะกรรมการนโยบายบริหารจัดการแร่แห่งชาติ พ.ศ. 2559 พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง ยกเลิกระเบียบ สำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยคณะกรรมการนโยบายบริหารจัดการแร่แห่งชาติ พ.ศ. 2559 พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) เสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาไปประกอบการพิจาณณาด้วยแล้วดำเนินการต่อไปได้
สาระสำคัญของร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีดังกล่าว เป็นการยกเลิกระเบียบ สำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยคณะกรรมการนโยบายบริหารจัดการแร่แห่งชาติ พ.ศ. 2559 เนื่องจากพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ.2560 ได้บัญญัติให้มีคณะกรรมการนโยบายบริหารจัดการแร่แห่งชาติ ซึ่งมีองค์ประกอบและอำนาจหน้าที่เช่นเดียวกันแทนแล้ว
เศรษฐกิจ-สังคม
3. เรื่อง การพิจารณากำหนดแนวทางการดำเนินโครงการลงทุนก่อสร้าง บริหาร และประกอบการท่าเทียบเรือสินค้ากอง เอ 5 และโครงการบริหารและประกอบการท่าเทียบเรือตู้สินค้า บี 2 บี 3 และ บี 4 ณ ท่าเรือแหลมฉบัง ของการท่าเรือแห่งประเทศไทย
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแนวทางการดำเนินการที่เหมาะสมของโครงการลงทุนก่อสร้าง บริหาร และประกอบการท่าเทียบเรือสินค้ากอง เอ 5 และโครงการบริหารและประกอบการท่าเทียบเรือตู้สินค้า บี 2 บี 3 และบี 4 ณ ท่าเรือแหลมฉบัง โดยการให้สัญญามีผลใช้บังคับต่อไป ตามรายงานผลการศึกษาวิเคราะห์ ด้านการเงินและด้านกฎหมายตามที่คณะกรรมการตามมาตรา 72 แห่งพระราชบัญญัติการให้เอกชนร่วมการลงทุน ในกิจการของรัฐ พ.ศ. 2556 ตามที่กระทรวงคมนาคม (คค.) เสนอ และให้ คค. โดยการท่าเรือแห่งประเทศไทยดำเนินการ ดังนี้
1. เร่งรัดการพิจารณาแนวทางการดำเนินโครงการที่เหมาะสมของโครงการท่าเทียบเรืออื่นๆ ที่เข้าข่ายต้องดำเนินการตามขั้นตอนของมาตรา 72 แห่งพระราชบัญญัติการให้เอกชนร่วมการลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. 2556
2. เร่งรัดการดำเนินการจัดทำแนวทางการประกอบการท่าเทียบเรือของสัญญาร่วมการลงทุนโครงการการลงทุนก่อสร้าง บริหาร และประกอบการท่าเทียบเรือสินค้ากองเอ 5 และโครงการบริหารและประกอบการท่าเทียบเรือตู้สินค้า บี 2 บี 3 และ บี 4 ณ ท่าเรือแหลมฉบัง ของการท่าเรือแห่งประเทศไทย ที่จะสิ้นสุดลงภายใน 5 ปี ตามนัยมาตรา 48 แห่งพระราชบัญญัติการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ.2556 เพื่อให้การบริหารและประกอบการท่าเทียบเรือภายใต้อำนาจหน้าที่ของการท่าเรือแห่งประเทศไทยเป็นไปอย่างต่อเนื่อง โดยให้รับความเห็นของสำนักงบประมาณไปพิจารณาประกอบการดำเนินการด้วย
4. เรื่อง ขออนุมัติงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับโครงการเร่งด่วน ภายใต้แผนปฏิบัติการ การพัฒนาบุคลากร การศึกษา การวิจัย และเทคโนโลยี
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับโครงการเร่งด่วน ภายใต้แผนปฏิบัติการ การพัฒนาบุคลากร การศึกษา การวิจัย และเทคโนโลยี 14 โครงการ จำนวน 390.4829 ล้านบาท ตามที่สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) เสนอ
สาระสำคัญของเรื่อง
สกพอ. รายงานว่า
1. แผนปฏิบัติการการพัฒนาบุคลากร การศึกษา การวิจัย และเทคโนโลยี รองรับการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก เป็นหนึ่งในแผนงานย่อยภาคใต้แผนการพัฒนาพื้นที่ EEC เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้เป็นแนวทางดำเนินการในช่วง พ.ศ. 2560 – 2564 ให้สามารถบรรลุเป้าหมายในการยกระดับการพัฒนาบุคลากรการศึกษา การวิจัยและเทคโนโลยีในพื้นที่ EEC อย่างมีประสิทธิภาพและเกิดผลในทางปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม โดยมีวัตถุประสงค์หลักคือ ผลิตกำลังคนให้มีคุณสมบัติตามความต้องการของอุตสาหกรรมเป้าหมาย และสนับสนุนการวิจัย การสร้างนวัตกรรม และการพัฒนาเทคโนโลยี ซึ่งจะนำไปสู่การขับเคลื่อนอุตสาหกรรมเป้าหมายต่อไป โดยการดำเนินการตามแผนปฏิบัติการดังกล่าวมีแนวทางในการพัฒนา ได้แก่ (1) ผลิตบุคลากร และสร้างความรู้ตามความต้องการของตลาด (2) ผู้ประกอบการเอกชนประสานงานโดยตรงกับสถาบันการศึกษา โดยมีหน่วยงานรัฐคอยเป็นผู้ให้ความช่วยเหลือ (3) ระดมความร่วมมือกับสถาบันการศึกษาและศูนย์เทคโนโลยีชั้นนำทั่วโลก มาร่วมมือกับสถาบันการศึกษาไทย และเชิญชวนผู้เชี่ยวชาญเข้ามาทำงานและฝึกอบรมบุคลากรไทย และ (4) ร่วมมือกับนักลงทุนเอกชนชั้นนำของโลกผลิตบุคลากรสนองความต้องการของภูมิภาค โดยเฉพาะในด้านการบิน ระบบอัตโนมัติ และหุ่นยนต์ การท่องเที่ยว และการแพทย์ โดยระยะเร่งด่วนจะเน้นการผลิตบุคลากรต้นแบบ รวมถึงให้ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี แก่เด็ก เยาวชน และเกษตรกร
2. แผนปฏิบัติการการพัฒนาบุคลากร การศึกษา การวิจัย และเทคโนโลยีดังกล่าว มีจำนวนโครงการ 67 โครงการ แบ่งเป็นแผนงานระยะเร่งด่วน 34 โครงการ และแผนงานระยะกลาง 53 โครงการ (โดยมี 20 โครงการ เป็นโครงการต่อเนื่องมาจากแผนระยะเร่งด่วน) สกพอ. ร่วมกับสำนักงบประมาณ (สงป.) พิจารณาโครงการตามแผนงานระยะเร่งด่วนแล้วเห็นว่า มีโครงการเร่งด่วนที่มีความจำเป็นต้องดำเนินการ (แต่ยังไม่มีงบประมาณ) 14 โครงการ โดยจำเป็นต้องขอใช้งบกลาง รายการเงินสำรองจ่าย เพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 จำนวน 390.4829 ล้านบาท เพื่อใช้จ่ายในการดำเนินการภายในปีงบประมาณ 2561 (เดือนกรกฎาคม – กันยายน 2561)
5. เรื่อง ขออนุมัติงบกลางเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยปี 2560 เพิ่มเติม
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กษ.) เสนอ ดังนี้
1. เห็นชอบให้ กษ. ดำเนินการช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยภาคใต้ ปี 2560 (ช่วงภัยวันที่ 1 พฤศจิกายน ถึง 31 ธันวาคม 2560)
2. อนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 งบกลางรายการเงินสำรองจ่าย เพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยปี 2560 ที่ยังไม่ได้รับการช่วยเหลือครัวเรือนละ 3,000 บาท รวม 3 ช่วงภัย ได้แก่ (1) ช่วงภัยวันที่ 5 กรกฎาคม ถึง 15 สิงหาคม 2560 (พายุตาลัสและเซินกา) (2) ช่วงภัยวันที่ 16 สิงหาคม ถึง 31 ตุลาคม 2560 (พายุทกซูรี หย่อมความกดอากาศ และร่องมรสุม) และ (3) ช่วงภัยวันที่ 1 พฤศจิกายน ถึง 31 ธันวาคม 2560 กรอบวงเงินทั้งสิ้น 3,136.735 ล้านบาท โดยขอถัวจ่ายงบประมาณระหว่างภัยได้ ทั้งนี้ คำขออนุมัติจัดสรรงบประมาณของ กษ. ให้ถือว่าเป็นคำขออนุมัติจัดสรรงบประมาณของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.)
ทั้งนี้ ให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ที่กระทรวงการคลังอนุมัติให้ขยายเวลาเบิกจ่ายเงินงบประมาณถึงวันทำการสุดท้ายของเดือนกันยายน 2561 ในกรอบวงเงิน 3,136.735 ล้านบาท ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
แนวทางการให้ความช่วยเหลือ มีลักษณะเดียวกับการช่วยเหลือที่คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2560 และ 7 พฤศจิกายน 2560
1. คุณสมบัติเกษตรกรที่ได้รับการช่วยเหลือ มีดังนี้
(1) เกษตรกรที่มีพื้นที่การผลิตอยู่ในพื้นที่ประกาศเขตการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน [อุทกภัย หรือ อุทกภัยและวาตภัย หรืออุทกภัยและ.... (หมายถึง อุทกภัยและภัยอื่นๆ ตามที่จังหวัดประกาศ) หรือน้ำไหลหลาก หรือน้ำเอ่อล้นตลิ่ง] ช่วงภัยตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน ถึง 31 ธันวาคม 2560 ในพื้นที่ 13 จังหวัด ได้แก่ เพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร ตรัง นครศรีธรรมราช นราธิวาส ปัตตานี พัทลุง ยะลา สุราษฎร์ธานี สงขลา สตูล และพังงา และต้องเป็นเกษตรกรที่ยังไม่ได้รับการช่วยเหลือตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2560 (ช่วงพายุตาลัสและเซินกา) และวันที่ 7 พฤศจิกายน 2560 (ช่วงพายุทกซูรี หย่อมความกดอากาศ และร่องมรสุม)
(2) เป็นเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนเกษตรกรและมีการทำกิจกรรมการเกษตรตามที่แจ้งขึ้นทะเบียนกับหน่วยงานของ กษ. ก่อนเกิดภัยเท่านั้นหากเกษตรรายใดได้รับผลกระทบมากกว่า 1 ด้าน ให้ได้รับการช่วยเหลือเพียง 1 ด้าน (ด้านพืช ด้านประมง หรือด้านปศุสัตว์) โดยให้เกษตรกรเป็นผู้ระบุว่าจะขอรับการช่วยเหลือด้านใด
(3) เป็นเกษตรกรที่มีคุณสมบัติตาม (1) และ (2) และคณะกรรมการระดับหมู่บ้าน/ชุมชนรับรอง
การบริหารจัดการ คณะกรรมการตรวจสอบและรับรองข้อมูลเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบ แบ่งเป็น 3 ระดับ คือ ระดับหมู่บ้าน/ชุมชน ระดับจังหวัด และระดับกระทรวง
6. เรื่อง การขอขยายระยะเวลาการบังคับใช้ประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม ในบริเวณพื้นที่จังหวัดเพชรบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ และจังหวัดชลบุรี พ.ศ. 2553 รวม 2 ฉบับ ออกไปอีก 2 ปี
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติดังนี้
1. อนุมัติในหลักการร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง ขยายระยะเวลาการใช้บังคับประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม ในบริเวณพื้นที่อำเภอบางละมุง และอำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี พ.ศ. 2553
2. ให้ส่งร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง ขยายระยะเวลาการใช้บังคับประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม ในบริเวณพื้นที่อำเภอบ้านแหลม อำเภอเมืองเพชรบุรี อำเภอท่ายาง และอำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรี อำเภอหัวหิน และอำเภอปราณบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ พ.ศ. 2553 คืนให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เนื่องจากไม่มีความจำเป็นต้องดำเนินการ ตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
3. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
ทั้งนี้ ร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม ในบริเวณพื้นที่อำเภอบ้านแหลม อำเภอเมืองเพชรบุรี อำเภอท่ายาง และอำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรี อำเภอหัวหิน และอำเภอปราณบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเสร็จแล้ว คณะรัฐมนตรีได้มีมติ (3 พฤศจิกายน 2558) อนุมัติในหลักการ ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้ลงนามในร่างประกาศดังกล่าว และสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วเมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2561 โดยมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป (วันที่ 30 มิถุนายน 2561) ดังนั้น จึงไม่มีความจำเป็นต้องขยายระยะเวลาการใช้บังคับประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม ในบริเวณพื้นที่อำเภอบ้านแหลม อำเภอเมืองเพชรบุรี อำเภอท่ายาง และอำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรี อำเภอหัวหิน และอำเภอปราณบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ พ.ศ. 2553 ออกไปอีก 2 ปี ตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการฤษฎีกา
สาระสำคัญของร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง ขยายระยะเวลาการใช้บังคับประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม ในบริเวณพื้นที่อำเภอบางละมุง และอำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี พ.ศ. 2553
กำหนดให้ขยายระยะเวลาการใช้บังคับประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม ในบริเวณพื้นที่อำเภอบางละมุง และอำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี พ.ศ. 2553 ต่อไปอีก 2 ปี นับแต่วันที่ 31 กรกฎาคม 2561 เป็นต้นไป
7. เรื่อง มาตรการพัฒนาอุตสาหกรรมชีวภาพของไทย ปี พ.ศ. 2561 – 2570
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบมาตรการพัฒนาอุตสาหกรรมชีวภาพของไทย ปี พ.ศ. 2561 – 2570 ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรม (อก.) เสนอ และมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องตามอำนาจหน้าที่ โดยให้ดำเนินการให้ถูกต้อง เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง โดยให้ อก. เป็นหน่วยงานหลักในการติดตามการดำเนินงานตามมาตรการฯ เพื่อให้เกิดผลที่เป็นรูปธรรม โดยเร็วต่อไป
สาระสำคัญของมาตรการพัฒนาอุตสาหกรรมชีวภาพของไทย ปี พ.ศ. 2561 – 2570 มีเป้าประสงค์ที่ต้องการให้ประเทศไทยเป็น Bio Hub of ASEAN ภายในปี 2570 โดยผลิตภัณฑ์เป้าหมาย คือพลาสติกชีวิภาพ (Bioplastic) เคมีชีวภาพ (Biochemicals) และชีวเภสัชภัณฑ์ (Biopharmaceuticals) เช่น วัคซีน ยาชีววัตถุ
ตัวชี้วัด ประกอบด้วย
1. เกิดการลงทุนในอุตสาหกรรมชีวภาพในประเทศอย่างน้อย 190,000 ล้านบาท
2. เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้นเป็น 85,000 บาทต่อคนต่อปี
3. ยกระดับคุณภาพชีวิตให้กับเกษตรกร อย่างน้อย 800,000 ครัวเรือน
4. มีการผลิตและจ้างแรงงานที่มีความรู้ ทักษะ และความเชี่ยวชาญสูง (Knowledge workers/High-tech labor) อย่างน้อย 20,000 ตำแหน่ง
8. เรื่อง แนวทางการใช้บัตรสวัสดิการแห่งรัฐชำระค่าโดยสารรถไฟฟ้า
คณะรัฐมนตรีพิจารณาแนวทางการใช้บัตรสวัสดิการแห่งรัฐชำระค่าโดยสารรถไฟฟ้าตามที่กระทรวงการคลัง (กค.) เสนอ แล้วมีมติเห็นชอบให้ กค. ทบทวนมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2560 (เรื่อง ประชารัฐสวัสดิการ การให้ความช่วยเหลือผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ) ข้อ 1 จากเดิม “1. ...(3) วงเงินค่าโดยสารรถองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ระบบ e-Ticket/รถไฟฟ้า จำนวน 500 บาทต่อคนต่อเดือน (4) วงเงินค่าโดยสารรถ บริษัท ขนส่ง จำกัด (บขส.) จำนวน 500 บาทต่อคนต่อเดือน และ (5) วงเงินค่าโดยสารรถไฟ จำนวน 500 บาทต่อคนต่อเดือน” เป็น “1. ... (3) วงเงินค่าโดยสารองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ระบบ e-Ticket/รถไฟฟ้า จำนวน 500 บาทต่อคนต่อเดือน และอนุญาตให้จ่ายเงินชำระค่าโดยสารได้เกินวงเงิน 500 บาท 1 ครั้งต่อเดือน โดยวงเงินที่เกินจะนำไปหักจากวงเงินในเดือนถัดไป (4) วงเงินค่าโดยสารรถบริษัท ขนส่ง จำกัด (บขส.) จำนวน 500 บาทต่อคนต่อเดือน และ (5) วงเงินค่าโดยสารรถไฟ จำนวน 500 บาท ต่อคนต่อเดือน”
9. เรื่อง โครงการ “ทำความดีด้วยหัวใจ ลดภัยสิ่งแวดล้อม”
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) เสนอ ดังนี้
1. เห็นชอบให้ดำเนินโครงการ “ทำความดีด้วยหัวใจ ลดภัยสิ่งแวดล้อม”
2. มอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมบูรณาการดำเนินกิจกรรมภายใต้โครงการ ดังนี้
ชื่อกิจกรรม |
รายละอียด |
1) กิจกรรมมาตรการลด และคัดแยกขยะมูลฝอย ในหน่วยงานภาครัฐ |
- มอบหมายทุกหน่วยงานภาครัฐร่วมมือในการดำเนินงานพร้อมกัน ทั่วประเทศ ตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2561 - ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (สำนักงาน ก.พ.ร.) กำหนดให้ “ผลการลดและคัดแยกขยะมูลฝอย” เป็นตัววัดประสิทธิภาพของหน่วยงานภาครัฐ โดยเริ่มตั้งแต่ปีงบประมาณ 2562 - ให้สำนักงาน ก.พ.ร. และ ทส. โดยกรมควบคุมมลพิษร่วมกันพิจารณากำหนดเกณฑ์ที่จะใช้สำหรับการประเมิน |
2) กิจกรรมรณรงค์ ทำความดี ด้วยหัวใจ ลดรับ ลดให้ ลดใช้ ถุงพลาสติก |
มอบหมาย ทส. ร่วมกับกระทรวงมหาดไทย (มท.) ดำเนินงานพร้อมกัน ทั่วประเทศ |
3. ให้ ทส. โดยกรมควบคุมมลพิษเป็นเจ้าภาพหลักในการติดตามผลและรายงานผลให้คณะรัฐมนตรีทราบ
ทั้งนี้ ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการกำหนดเพิ่มเติมให้นำผลการดำเนินโครงการ “ทำความดีด้วยหัวใจ ลดภัยสิ่งแวดล้อม” เป็นตัวชี้วัดในการประเมินผลการปฏิบัติราชการประจำของหัวหน้างานภาครัฐด้วย เพื่อให้การขับเคลื่อนโครงการดังกล่าวเกิดประสิทิภาพ ประสิทธิผลอย่างเป็นรูปธรรมชัดเจน
โครงการ “ทำความดีด้วยหัวใจ ลดภัยสิ่งแวดล้อม” มีวัตถุประสงค์ เพื่อลดปริมาณขยะมูลฝอย ลดใช้ถุงพลาสติกหูหิ้ว และงดใช้โฟมบรรจุอาหาร โดยการดำเนินกิจกรรมร่วมกันระหว่างหน่วยงานภาครัฐ เอกชน และประชาชน ซึ่งมีกิจกรรมการภายใต้โครงการดังกล่าวประกอบด้วย 5 กิจกรรม ดังนี้ 1) กิจกรรมมาตรการลด และคัดแยกขยะมูลฝอยในหน่วยงานภาครัฐ 2) กิจกรรมรณรงค์ ทำความดี ด้วยหัวใจ ลดรับ ลดให้ ลดใช้ถุงพลาสติก 3) กิจกรรมการลดใช้ถุงพลาสติกหูหิ้วและงดใช้โฟมบรรจุอาหารในพื้นที่อุทยานแห่งชาติ 4) กิจกรรมทำความดีด้วยหัวใจงดการใช้พลาสติกและโฟมในสวนสัตว์ และ 5) กิจกรรมการจัดการขยะบกสู่ทะเล ในพื้นที่ 24 จังหวัดชายทะเล
ผลที่คาดว่าจะได้รับ
- ข้าราชการ จำนวน 2.53 ล้านคน มีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการลด และคัดแยกขยะมูลฝอย เกิดภาพลักษณ์และเป็นตัวอย่างในการดำเนินงานให้ประชาชนและหน่วยงานเอกชน
- อาคารสำนักงานของหน่วยงานภาครัฐ ร้อยละ 100 มีการดำเนินกิจกรรมที่ส่งเสริมสนับสนุนการลดและคัดแยกขยะมูลฝอยในหน่วยงาน เพื่อให้การจัดการขยะมูลฝอยมีประสิทธิภาพง่ายต่อการนำไปใช้ประโยชน์
การดำเนินงานเพื่อขับเคลื่อนโครงการ
- รัฐบาลดำเนินการขับเคลื่อนการคัดแยกขยะมูลฝอย การลดใช้ถุงพลาสติกหูหิ้วและงดใช้โฟมบรรจุอาหารในหน่วยงานภาครัฐเพื่อให้ข้าราชการดำเนินการเป็นแบบอย่างแก่ภาคเอกชน และประชาชน
- การจัดทำสื่อประชาสัมพันธ์ผ่านโทรทัศน์ วิทยุ และสื่อต่างๆ เพื่อสร้างกระแสให้กับประชาชน ผู้ประกอบการ รวมทั้งจัดทำ Website/Application ข้อมูลการคัดแยกขยะมูลฝอย การลดใช้ถุงพลาสติกหูหิ้วและงดใช้โฟมบรรจุอาหารทั่วประเทศ
10. เรื่อง การเพิ่มเติมขั้นตอนและกระบวนการดำเนินงานโครงการพัฒนาคุณภาพชีวิตเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากในพื้นที่ ตาม “โครงการไทยนิยม ยั่งยืน” (หมู่บ้าน/ชุมชนละสองแสนบาท)
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการเพิ่มเติมขั้นตอนและกระบวนการดำเนินการโครงการพัฒนาคุณภาพชีวิตเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากในพื้นที่ ตาม “โครงการไทยนิยม ยั่งยืน” (หมู่บ้าน/ชุมชนละสองแสนบาท) ตามที่กระทรวงมหาดไทย (มท.) เสนอ ดังนี้
สาระสำคัญของการเพิ่มขั้นตอนฯ
บทที่ 4 หลักเกณฑ์ แนวทางและขั้นตอนการจัดทำโครงการ
3. ขั้นตอนและกระบวนการดำเนินงานตามโครงการ
เพิ่มเติม ดังนี้
19) กรณีหมู่บ้าน/ชุมชน ไม่สามารถเสนอโครงการให้คณะกรรมการบริหารงานอำเภอ/คณะกรรมการพิจารณาโครงการฯ ที่กรุงเทพมหานครแต่งตั้ง ได้ภายในระยะเวลาที่กำหนด แต่พบว่ายังคงมีปัญหาความเดือดร้อนและปัญหาความต้องการที่ได้จากการประชุมประชาคม “โครงการไทยนิยม ยั่งยืน” โดยทีมขับเคลื่อนฯ ระดับตำบล/ชุมชน และยังไม่มีแผนงาน/โครงการของหน่วยงานใดรับผิดชอบให้ดำเนินการ ดังนี้
19.1) กรณีจังหวัด ให้นายอำเภอหรือผู้แทน ร่วมกับผู้บริหารขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นหรือผู้แทน กำนันและผู้ใหญ่บ้าน (ถ้ามี) ผู้แทนของทีมขับเคลื่อนฯ ระดับตำบล อย่างน้อย 1 คน และผู้แทนของหมู่บ้าน/ชุมชน อย่างน้อย 1 คน
19.2) กรณีกรุงเทพมหานคร ให้ผู้อำนวยการเขตหรือผู้แทน ร่วมกับผู้แทน ของทีมขับเคลื่อนฯ ระดับชุมชน อย่างน้อย 1 คน และผู้แทนของชุมชน อย่างน้อย 1 คน มีหน้าที่ ดังนี้
(1) พิจารณาคัดเลือกโครงการจากปัญหาความต้องการของหมู่บ้าน/ชุมชนที่ได้จากการประชุมประชาคม “โครงการไทยนิยม ยั่งยืน” โดยทีมขับเคลื่อนฯ ระดับตำบล/ชุมชน หรือจากแผนพัฒนาหมู่บ้าน/ชุมชน
(2) คัดเลือกบุคคลที่เห็นสมควรเพื่อเป็นคณะผู้รับผิดชอบโครงการ จำนวน 3 คณะ ประกอบด้วย คณะผู้รับผิดชอบการจัดซื้อจัดจ้าง คณะผู้รับผิดชอบการตรวจรับพัสดุ และคณะผู้รับผิดชอบการเบิกจ่ายเงินและจัดทำบัญชี และผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนประธานกรรมการหมู่บ้าน/ชุมชน (กรณีที่ไม่มีประธานกรรมการหมู่บ้าน/ชุมชน หรือมีแต่ไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ได้)
(3) กำกับดูแลการดำเนินโครงการให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ แนวทางและขั้นตอนการจัดทำโครงการตามคู่มือการดำเนินงานฯ
(4) ให้ความเห็นชอบผลการดำเนินโครงการและอนุมัติให้เบิกจ่ายเงินจากบัญชีของหมู่บ้าน/ชุมชน
ทั้งนี้ กำหนดให้ใช้แบบเอกสารประกอบการดำเนินโครงการฯ (คพฐ. 01 – 25) ตามภาคผนวกในคู่มือการดำเนินงานฯ โดยอนุโลม
ต่างประเทศ
11. เรื่อง ขอความเห็นชอบข้อผูกพันเปิดตลาดบริการชุดที่ 10 ของไทย ภายใต้กรอบความตกลงว่าด้วยบริการของอาเซียน และการลงนามพิธีสารอนุวัติข้อผูกพันเปิดตลาดบริการชุดที่ 10 ภายใต้กรอบความตกลงว่าด้วยบริการของอาเซียน
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงพาณิชย์ (พณ.) เสนอ ดังนี้
1. เห็นชอบข้อผูกพันเปิดตลาดบริการชุดที่ 10 ของไทยภายใต้กรอบความตกลงว่าด้วยบริการของอาเซียน และร่างพิธีสารอนุวัติข้อผูกพันเปิดตลาดบริการชุดที่ 10 ภายใต้กรอบความตกลงว่าด้วยบริการของอาเซียน และให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติให้ความเห็นชอบต่อไป
2. อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ลงนามในร่างพิธีสารอนุวัติข้อผูกพันเปิดตลาดบริการชุดที่ 10 ภายใต้กรอบความตกลงว่าด้วยบริการอาเซียน เมื่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติให้ความเห็นชอบร่างพิธีสารดังกล่าวแล้ว ทั้งนี้ หากมีการแก้ไขถ้อยคำ ที่มิใช่สาระสำคัญและไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของไทย ให้คณะรัฐมนตรีมอบหมายให้ผู้ลงนามเป็นผู้ใช้ดุลยพินิจในเรื่องนั้นๆ โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีก
3. มอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการออกหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ลงนามในร่างพิธีสารอนุวัติข้อผูกพันเปิดตลาดบริการชุดที่ 10 ภายใต้กรอบความตกลงว่าด้วยบริการของอาเซียน
4. มอบหมายให้ พณ. ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการเพื่อปฏิบัติตามพันธกรณีที่กำหนดในร่างพิธีสารอนุวัติข้อผูกพันเปิดตลาดบริการชุดที่ 10 ภายใต้กรอบความตกลงว่าด้วยบริการของอาเซียน
5. มอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศแจ้งต่อสำนักเลขาธิการอาเซียนว่าไทยพร้อมที่จะให้พิธีสารดังกล่าวมีผลผูกพันต่อไป เมื่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติมีมติเห็นชอบต่อร่างพิธีสารฯ และข้อผูกพันดังกล่าวแล้ว
สาระสำคัญของเรื่อง
การลงนามพิธีสารอนุวัติข้อผูกพันเปิดตลาดบริการชุดที่ 10 ภายใต้กรอบความตกลงว่าด้วยบริการของอาเซียน (AFAS) ในการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน (AEM) ครั้งที่ 50 ซึ่งจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 26 สิงหาคม – 2 กันยายน 2561 ณ สาธารณรัฐสิงคโปร์ โดยข้อผูกพันเปิดตลาดบริการชุดที่ 10 ของไทยดังกล่าวเป็นการผูกพันเปิดตลาดเพิ่มเติมจากข้อผูกพันฯ ชุดที่ 9 โดยผูกพันเปิดตลาดบริการในรูปแบบที่ 1 (การบริการข้ามพรมแดน) รูปแบบที่ 2 (การบริโภคในต่างประเทศ) โดยไม่มีข้อจำกัด รูปแบบที่ 3 (การจัดตั้งธุรกิจในประเทศ) โดยอนุญาตให้ผู้บริการอาเซียนเข้ามาลงทุนโดยถือหุ้นได้ถึงร้อยละ 70 ตามเป้าหมายของประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) เพิ่มเติมจากข้อผูกพันฯ ชุดที่ 9 จำนวน 6 สาขาย่อย ดังนี้
1. บริการรับส่งข้อมูลแบบแพ็กเกจสวิทซ์ (Packet-switched data transmission services)
2. บริการรับส่งข้อมูลแบบเซอร์กิตสวิทซ์ (Circuit-switched data transmission services)
3. บริการแลกเปลี่ยนข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic data interchange: EDI)
4. บริการขนส่งสินค้าโดยคนหรือสัตว์ลากจูง (Freight Transport by man or animal drawn vehicle)
5. บริการบำรุงรักษาและซ่อมบำรุงเรือบรรทุก Liquid Natural Gas ขนาดไม่เกิน 500 ตันกรอส
6. บริการทำความสะอาดระวางเรือบาร์จ (Barge Cleaning service)
12. เรื่อง การประชุมคณะทำงานร่วมไทย-เมียนมา ในการเตรียมการส่งผู้หนีภัยการสู้รบจากเมียนมากลับประเทศ ครั้งที่ 1
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในการรับรองร่างเอกสารผลลัพธ์การประชุมคณะทำงานร่วมไทย-เมียนมา ในการเตรียมการส่งผู้หนีภัยการสู้รบจากเมียนมา (ผภร.) กลับประเทศ ครั้งที่ 1 เมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2561 ตามที่กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) เสนอ
สาระสำคัญของร่างเอกสารผลลัพธ์การประชุมดังกล่าวมีวัตถุประสงค์ ดังนี้
1. ทั้งสองฝ่ายมุ่งมั่นที่จะทำงานร่วมกันกับพื้นฐานของความเป็นมิตร เพื่อนบ้านที่ดีและความรับผิดชอบร่วมกัน เพื่อให้การเดินทางกลับมาตุภูมิของ ผภร. เป็นไปด้วยความสมัครใจ ปลอดภัย และยั่งยืน
2. รวบรวมพัฒนาการล่าสุดและชี้ให้เห็นข้อท้าทายจากการเดินทางกลับมาตุภูมิของ ผภร. กลุ่มแรกเมื่อเดือนตุลาคม 2559
3. เตรียมความพร้อมสำหรับการเดินทางกลับโดยสมัครใจของ ผภร. กลุ่มต่อ ๆ ไป และวางพื้นฐานที่มุ่งไปสู่การเดินทางกลับอย่างเป็นระบบมากขึ้นในระยะยาว
4. แลกเปลี่ยนมุมมองในประเด็นที่ทั้งสองฝ่ายเห็นว่าสามารถร่วมมือกันได้ เพื่อให้บรรลุการเดินทางกลับอย่างยั่งยืนและสมัครใจ และให้ ผภร. ที่เดินทางกลับไปแล้วทั้งหมดสามารถดำเนินชีวิตได้ในระยะยาว
13. เรื่อง แถลงข่าวร่วมสำหรับการประชุมคณะกรรมมาธิการร่วมระดับสูงไทย – ญี่ปุ่น ครั้งที่ 4
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างแถลงข่าวร่วมสำหรับการประชุมคณะกรรมมาธิการร่วมระดับสูงไทย – ญี่ปุ่น ครั้งที่ 4 ตามที่กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) เสนอ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างเอกสารดังกล่าวในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้ กต. ดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลังพร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย
ทั้งนี้ ให้ กต. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาผลักดันความร่วมมือร่วมกับญี่ปุ่นในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ในด้านต่าง ๆ ที่จะเป็นประโยชน์ร่วมกันของทั้งสองฝ่าย ควบคู่ไปกับการทบทวนทั่วไปความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจไทย – ญี่ปุ่น (JTEPA) ด้วย โดยเฉพาะในด้านระบบรางและอุตสาหกรรมยานยนต์ ซึ่งจะเป็นการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันแก่บุคคลไทยให้ได้รับประโยชน์จาก JTEPA ได้อย่างเป็นรูปธรรมต่อไป
สาระสำคัญของเรื่อง
กต. รายงานว่า
การประชุม HLJC ครั้งที่ 4 จะจัดขึ้นในวันที่ 18 กรกฎาคม 2561 ที่กรุงโตเกียว โดยมี รองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) และเลขาธิการคณะรัฐมนตรีญี่ปุ่นเป็นประธานร่วม และจะมีรัฐมนตรี ด้านเศรษฐกิจของทั้งสองฝ่ายเข้าร่วมด้วย การประชุมดังกล่าวเป็นเวทีการประชุมระดับสูงที่จะกำหนดทิศทางความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างไทยกับญี่ปุ่นในระยะต่อไป ทั้งสองฝ่ายจึงเห็นพ้องให้มีร่างแถลงข่าวร่วมเพื่อบันทึกผลการหารือที่สำคัญในประเด็นหัวข้อ ดังนี้ (1) ข้อตกลงความครอบคลุมและก้าวหน้าเพื่อหุ้นส่วนการค้าภาคพื้นเอเชีย-แปซิฟิก (CPTPP) (2) ความตกลงระหว่างราชอาณาจักรไทยและญี่ปุ่นสำหรับความเป็นหุ้นส่วนเศรษฐกิจ (JTEPA) (3) ความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) (4) ความร่วมมือด้านอุตสาหกรรมเพื่อ Thailand 4.0 และระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) (5) ความร่วมมือระบบราง (6) แผนแม่บทยุทธศาสตร์ความร่วมมือทางเศรษฐกิจอิรวดี – เจ้าพระยา – แม่โขง (ACMECS) (7) การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ และ (8) ความสัมพันธ์ไทย – ญี่ปุ่นในระดับท้องถิ่น
14. เรื่อง ร่างปฏิญญารัฐมนตรีการประชุมเวทีหารือทางการเมืองระดับสูงว่าด้วยการพัฒนาที่ยั่งยืน ค.ศ. 2018
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) เสนอ ดังนี้
1. เห็นชอบร่างปฏิญญารัฐมนตรีการประชุมเวทีหารือทางการเมืองระดับสูงว่าด้วยการพัฒนาที่ยั่งยืน (High-Level Political Forum on Sustainable Development - HLPF) ค.ศ.2018
2. อนุมัติให้เอกอัครราชทูต คณะผู้แทนถาวรไทยประจำสหประจำชาติ ณ นครนิวยอร์ก ร่วมรับรองร่างปฏิญญาฯ
3. หากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงร่างปฏิญญาฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญหรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของประเทศไทย ให้อยู่ดุลยพินิจของเอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ ณ นครนิวยอร์ก โดยไม่ต้องเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้ง
สาระสำคัญของร่างปฏิญญาฯ เป็นการเน้นย้ำความมุ่งมั่งในการไม่ทอดทิ้งใครไว้เบื้องหลังเป็นแก่นของวาระการพัฒนาที่ยั่งยืน ค.ศ. 2030 และควรเป็นหลักการนำทางสำหรับการดำเนินงานของรัฐบาลในทุกระดับ
- ความสำคัญของการส่งเสริมการมีส่วนร่วมและเยาวชนในการติดตามและอนุวัติเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน พร้อมทั้งความสำคัญของการเสริมพลังให้แก่เด็กและเยาวชนด้วยข้อมูล ความรู้ และความตระหนักด้านการพัฒนาที่ยั่งยืน
- ให้คำมั่นที่จะสร้างขีดความสามารถทั้งในระดับทวิภาคี ระดับภูมิภาค และระดับโลกเพื่อรวบรวม สร้าง จำแนก วิเคราะห์ และใช้ข้อมูลและสถิติที่มีคุณภาพ
- ผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่เกิดเป็นวงกว้างและไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนเป็นภาระต่อประเทศที่ยากจนที่สุดและอ่อนแอมากที่สุด
- การสร้างเสริมให้เกิดความสอดประสานของแต่ละเป้าหมายให้มากที่สุดเพื่อให้เกิดผลประโยชน์ร่วมกัน
- การยกระดับการลงทุนและการดำเนินการโดยผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกภาคส่วนเพิ่มเติม การเข้าถึงการวิจัยและเทคโนโลยีด้านพลังงานสะอาด เพิ่มการใช้เทคโนโลยีพลังงานหมุนเวียน เพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน และทำให้พลังงานสะอาดมีราคาที่สามารถเข้าถึงได้มากขึ้น
- ปรับใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่โดยเฉพาะอย่างยิ่งเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารในการบริหารจัดการเมืองให้มีประสิทธิภาพและเป็นแบบองค์รวม ซึ่งรวมไปถึงระดับคมนาคมอัจฉริยะและความมีประสิทธิภาพของการใช้พลังงานและการจัดการของเสีย
15. เรื่อง การลงนามในร่างความตกลงให้การสนับสนุนด้านการเงิน (Financing Agreement) ระหว่างอาเซียนและสหภาพยุโรป (โครงการส่งเสริมศักยภาพเพื่อสนับสนุนศูนย์ประสานงานอาเซียนเพื่อให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมในการจัดการภัยพิบัติและกลไกการรับมือกับกรณีฉุกเฉินของอาเซียน)
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างความตกลงให้การสนับสนุนด้านการเงิน (Financing Agreement) ระหว่างอาเซียนและสหภาพยุโรป [โครงการส่งเสริมศักยภาพเพื่อสนับสนุนศูนย์ประสานงานอาเซียนเพื่อให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม (ASEAN Coordinating Centre for Humanitarian Assistance : AHA Centre) ในการจัดการภัยพิบัติและกลไกการรับมือกับกรณีฉุกเฉินของอาเซียน] และมอบหมายให้เลขาธิการอาเซียนเป็นผู้ลงนามในร่างความตกลงดังกล่าวร่วมกับสหภาพยุโรป ตามที่กระทรวงมหาดไทย (มท.) เสนอ
สาระสำคัญของร่างความตกลงฯ จัดทำขึ้นเพื่อสนับสนุนการดำนินงานโครงการบูรณาการร่วมกันเพื่อส่งเสริมศักยภาพของศูนย์ประสานงานอาเซียนเพื่อให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม (AHA Centre) ในการจัดการภัยพิบัติและกลไกการรับมือกับกรณีฉุกเฉินของอาเซียน
16. เรื่อง การขอความเห็นชอบต่อร่างแถลงข่าวร่วมในโอกาสการเยือนราชอาณาจักรภูฏานอย่างเป็นทางการของนายกรัฐมนตรี
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบต่อร่างแถลงข่าวร่วมในโอกาสการเยือนราชอาณาจักรภูฏาน (ภูฏาน) อย่างเป็นทางการของนายกรัฐมนตรี (Joint Press Statement on the Official Visit of His Excellency General Prayut Chan-o-cha, Prime Minister of the Kingdom of Thailand, to the Kingdom of Bhutan) ตามที่กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) เสนอ ทั้งนี้ ในกรณีที่มีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขร่างแถลงข่าวร่วมฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติหรือให้ความเห็นชอบไว้ ให้ กต. สามารถดำเนินการได้โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย
สาระสำคัญของเรื่อง
ร่างแถลงข่าวร่วมฯ มีสาระสำคัญครอบคลุมเกี่ยวกับการส่งเสริมความร่วมมือในด้านต่าง ๆ เช่น 1) การพัฒนาชุมชนโดยยึดหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง 2) การส่งเสริมการค้าและการลงทุน โดยหาโอกาสที่จะลงทุนร่วมกัน 3) การส่งเสริมด้านสุขอนามัย ซึ่งในปี พ.ศ. 2562 ประเทศไทยจะสนับสนุนการจัดตั้ง “ศูนย์แพทย์ด้านหู ตา คอ จมูก” ในภูฏาน 4) การส่งเสริมด้านการเกษตรผ่านโครงการผลิตภัณฑ์สินค้าเกษตรหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ (One Gewog One Product : OGOP) เป็นต้น ซึ่งจะช่วยส่งเสริมความเข้าใจและความสัมพันธ์อันดีระหว่างภาครัฐ เอกชน และประชาชนของทั้งสองประเทศ และส่งเสริมความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดระหว่างไทยกับภูฏานมาอย่างต่อเนื่องต่อไป
17. เรื่อง ร่างหนังสือยืนยันการยอมรับผลการเจรจาในกรณีพิพาทโควตาสัตว์ปีกระหว่างจีน-สหภาพยุโรป (DS492)
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบต่อร่างหนังสือยืนยันการยอมรับผลการเจรจาในกรณีพิพาทโควตาสัตว์ปีกระหว่างจีน-สหภาพยุโรป (DS492) ตามที่กระทรวงพาณิชย์ (พณ.) เสนอ โดยไม่ให้กระทบต่อสิทธิเดิมของไทยภายใต้องค์การการค้าโลก ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างหนังสือฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว ตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2558 ด้วย
สาระสำคัญของเรื่อง
พณ. ได้จัดทำร่างหนังสือยืนยันการยอมรับผลการเจรจาในกรณีพิพาทโควตาสัตว์ปีกระหว่างจีน-สหภาพยุโรป (DS492) เป็นเอกสารที่มีสาระสำคัญเป็นการแสดงการยอมรับผลการเจรจาทวิภาคีระหว่างสหภาพยุโรปกับจีนตามคำพิพากษาของคณะผู้พิจารณาข้อพิพาทที่ DS492 ภายใต้กระบวนการระงับข้อพิพาทของ WTO ซึ่งสหภาพยุโรปตกลงที่จะจัดสรรโควตารายประเทศ (country-specific allocation) ให้แก่จีน โดยไม่กระทบต่อสิทธิของประเทศอื่นที่ส่งออกสินค้าและไม่กระทบต่อสิทธิเดิมของไทยภายใต้ WTO และการจัดสรรโควตารายประเทศนี้ สหภาพยุโรปได้จัดสรรโควตารายประเทศให้แก่จีนเป็นปริมาณที่น้อยกว่าที่ไทยได้รับในปัจจุบัน และผู้ส่งออกสินค้าไก่ของไทยยังสามารถส่งออกภายใต้โควตารวมสำหรับทุกประเทศ (Erge Omnes) ที่เป็นข้อเสนอของสหภาพยุโรปในการเปิดตลาดเพิ่มเติมโควตาสินค้าเนื้อไก่ปรุงสุกด้วย นอกจากนี้ยังเป็นการแสดงออกถึงการให้ความร่วมมือกับสหภาพยุโรปและเป็นการรักษาสัมพันธ์อันดีระหว่างไทยกับสหภาพยุโรป และไทยกับจีนด้วย
แต่งตั้ง
18. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการ (สำนักนายกรัฐมนตรี)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนเสนอแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี ให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ จำนวน 2 ราย ตั้งแต่วันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ดังนี้
1. นายสลิล วิศาลสวัสดิ์ ผู้อำนวยการกองบริหารการลงทุน 3 สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริม การลงทุน ให้ดำรงตำแหน่ง ที่ปรึกษาด้านการลงทุน (นักวิเคราะห์นโยบายและแผนทรงคุณวุฒิ) สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ตั้งแต่วันที่ 24 มกราคม 2561
2. นายเศกสรรค์ เรืองโวหาร ผู้อำนวยการกองประสานและพัฒนาปัจจัยการลงทุน สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ให้ดำรงตำแหน่ง ที่ปรึกษาด้านการลงทุน (นักวิเคราะห์นโยบายและแผนทรงคุณวุฒิ) สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ตั้งแต่วันที่ 17 เมษายน 2561
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป
19. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (สำนักนายกรัฐมนตรี)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี ให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ โดยให้มีผลไม่ก่อนวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ จำนวน 2 ราย ดังนี้
1. นายณรงค์ บุญโญ ที่ปรึกษาการพัฒนาระบบราชการ (นักพัฒนาระบบราชการเชี่ยวชาญ) สำนักงาน ก.พ.ร. ดำรงตำแหน่ง ที่ปรึกษาการพัฒนาระบบราชการ (นักพัฒนาระบบราชการทรงคุณวุฒิ) สำนักงาน ก.พ.ร. ตั้งแต่วันที่ 18 พฤษภาคม 2561
2. นายสุวิทย์ อมรนพรัตนกุล ที่ปรึกษาการพัฒนาระบบราชการ (นักพัฒนาระบบราชการเชี่ยวชาญ) สำนักงาน ก.พ.ร. ดำรงตำแหน่ง ที่ปรึกษาการพัฒนาระบบราชการ (นักพัฒนาระบบราชการทรงคุณวุฒิ) สำนักงาน ก.พ.ร. ตั้งแต่วันที่ 18 พฤษภาคม 2561
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป
20. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงมหาดไทย)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอแต่งตั้ง นางสุกานดา วรเชษฐบัญชา นักวิเคราะห์นโยบายและแผนเชี่ยวชาญ สำนักงานปลัดกระทรวง ให้ดำรงตำแหน่ง ที่ปรึกษาด้านการบริหารงานจังหวัดแบบบูรณาการ (นักวิเคราะห์นโยบายและแผนทรงคุณวุฒิ) สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงมหาดไทย ตั้งแต่วันที่ 11 เมษายน 2561 ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป
21. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ (กระทรวงการต่างประเทศ)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอแต่ตั้ง นางสาวพรพรรณ บัวเกิด อัครราชทูต สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงโรม สาธารณรัฐอิตาลี ให้ดำรงตำแหน่ง เอกอัครราชทูต สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงลิสบอน สาธารณรัฐโปรตุเกส ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง ทั้งนี้ การแต่งตั้งเอกอัครราชทูตประจำต่างประเทศดังกล่าว ได้รับความเห็นชอบจากประเทศผู้รับ
22. เรื่อง ขอต่อเวลาการดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมบังคับคดี (กระทรวงยุติธรรม)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ ให้ต่อเวลาการดำรงตำแหน่งของ นางสาวรื่นวดี สุวรรณมงคล อธิบดีกรมบังคับคดี ซึ่งดำรงตำแหน่งดังกล่าวครบระยะเวลาการดำรงตำแหน่ง 4 ปี ในวันที่ 15 กรกฎาคม 2561 ต่อไปอีก 1 ปี (ครั้งที่ 1) ตั้งแต่วันที่ 16 กรกฎาคม 2561 ถึงวันที่ 15 กรกฎาคม 2562
23. เรื่อง การแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการอื่นในคณะกรรมการการยาสูบแห่งประเทศไทย
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการอื่นในคณะกรรมการการยาสูบแห่งประเทศไทย ดังนี้
1. นายระเฑียร ศรีมงคล ประธานกรรมการ
2. รองศาสตราจารย์สุดา วิศรุตพิชญ์ กรรมการ
3. นายวีรศักดิ์ โฆสิตไพศาล กรรมการ
4. พลตำรวจเอก รชต เย็นทรวง กรรมการ
5. นายณัฐวุฒิ หนูไพโรจน์ กรรมการ
6. นายอัญญา ขันธวิทย์ กรรมการ
7. นางสาวพรรณิภา อภิชาตบุตร กรรมการ
8. นายลวรณ แสงสนิท กรรมการ (ผู้แทนกระทรวงการคลัง)
9. นายยุทธนา หยิมการุณ กรรมการ (ผู้แทนกระทรวงการคลัง)
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 17 กรกฎาคม 2561 เป็นต้นไป
24. เรื่อง การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการบริหารสำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอแต่งตั้ง นางสาวนิลุบล เครือนพรัตน์ เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิสาขาการเงินในคณะกรรมการบริหารสำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ แทนตำแหน่งที่ว่าง ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 17 กรกฎาคม 2561 เป็นต้นไป
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี