ปลื้มตัวเลขศก.ขยายตัว
บิ๊กตู่ยันการลงทนเพิ่มขึ้น
เปิดโปรแกรมครม.สัญจร
กระหึ่มอุบล-อำนาจเจริญ
‘สุภรณ์’แฉถูกนปช.ลอยแพ
“นายกฯ” ยินดีเอดีบีปรับตัวเลขเศรษฐกิจไทยขยายตัว ต่อเนื่อง ชี้การส่งออกแข็งแกร่งบวกลงทุนเพิ่มขึ้น ย้ำความสัมพันธ์สหรัฐฯ – จีน ยังไม่กระทบไทย “นายกฯ” เตรียมประชุมครม.สัญจรพร้อมตรวจราชการ “อุบลฯ-อำนาจเจริญ” 23-24 กรกฎาคมนี้ “แรมโบ้อีสาน” แฉแหลก“นปช.-พท.” ตัดหาง ปัดถูกอำนาจเงินดูด
เมื่อวันที่ 21 ก.ค. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รู้สึกยินดีผลการคาดการณ์เศรษฐกิจไทยโดยธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งเอเชีย (เอดีบี) ที่ระบุว่า เศรษฐกิจไทยในปี 2561 จะขยายตัวถึงร้อยละ 4.2 จากเดิมที่คาดการณ์ไว้เพียงร้อยละ 4.0 เมื่อเดือน เม.ย.ที่ผ่านมา ซึ่งถือเป็นประเทศเดียวในภูมิภาคอาเซียนที่เอดีบีปรับตัวเลขเพิ่มขึ้น
“ปัจจัยที่สนับสนุนการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยปีนี้ เป็นเพราะไทยเรามีการส่งออกที่แข็งแกร่ง โดยปรับตัวสูงขึ้นถึงร้อยละ 5 ในช่วงไตรมาสแรกของปี เช่นเดียวกับการลงทุนภาคเอกชนและการบริโภคภายในประเทศที่ขยายตัวเพิ่มขึ้น”
ทั้งนี้ ตนได้รับรายงานว่าความตึงเครียดทางการค้าระหว่างจีนและสหรัฐยังไม่ส่งผลต่อเศรษฐกิจเอเชียและประเทศไทย โดยเอดีบียังคงคาดการณ์การขยายตัวของกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาในภูมิภาคเอเชียในปีนี้ไว้ที่ร้อยละ 6 ทั้งนี้ หากพิจารณาย้อนหลังไปในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาเศรษฐกิจไทยขยายตัวถึงร้อยละ 6-7 แต่ตกต่ำที่สุดในช่วงที่มีวิกฤตการณ์ทางการเมืองจนเหลือเพียงร้อยละ 0.8 และเมื่อรัฐบาลชุดนี้เข้ามาบริหารประเทศได้ทำให้เศรษฐกิจค่อย ๆ ขยายตัวขึ้นถึงร้อยละ 4.0 และมีแนวโน้มดีขึ้นเรื่อย ๆ
ภาคอุตสาหกรรมมาแรง
อย่างไรก็ตาม เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านอาจจะเห็นว่าตัวเลขการขยายตัวสูงกว่าไทย แต่ความจริงแล้ว ขนาดเศรษฐกิจของเราโตกว่าเวียดนาม 12 เท่า โตกว่าเมียนมา 7 – 8 เท่า โตกว่ากัมพูชา 20 เท่า และโตกว่า สปป.ลาว 30 เท่า ดังนั้น เมื่อมูลค่าทางเศรษฐกิจจากการผลิตของประเทศเหล่านี้ขยายตัวเพียงเล็กน้อยก็ทำให้ตัวเลขการขยายตัวขยับขึ้นทันที
“มูลค่าการผลิตโดยเฉพาะภาคอุตสาหกรรมของประเทศเพื่อนบ้านส่วนใหญ่มาจากอุตสาหกรรมสิ่งทอ รองเท้า และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งประเทศไทยผ่านจุดนั้นมาแล้ว วันนี้เรากำลังจะเปลี่ยนประเทศให้ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยี ที่จะช่วยให้ไทยหลุดพ้นจากกับดักรายได้ปานกลางอย่างยั่งยืน”
เปิดโปรแกรมครม.สัญจร
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันที่ 23-24 ก.ค.นี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี จะนำคณะรัฐมนตรีเพื่อประชุมครม.นอกสถานที่(ครม.สัญจร)ในจังหวัดอุบลราชธานี พร้อมตรวจราชการที่จ.อำนาจเจริญด้วย โดยเวลา 07.00 น.ของวันจันทร์ที่ 23 ก.ค.นายกฯและคณะ จะออกเดินทางจากท่าอากาศยานทหาร 2 กองบิน 6 (บน.6) ดอนเมือง ไปยังท่าอากาศยานทหาร กองบิน 21 ต.ในเมือง อ.เมือง จ.อุบลราชธานี โดยเครื่องบินแอร์บัส 320 ของกองทัพอากาศ และเดินทางต่อไปยังจุดจอดเฮลิคอปเตอร์ ร.ร.คีมใหญ่วิทยา ต.คีมใหญ่ อ.เมือง จ.อำนาจเจริญ โดยนายกฯจะเยี่ยมชมการดำเนินงานของศูนย์เรียนรู้ผักอินทรีย์ เมืองธรรมเกษตร ไร่ภูตะวัน ออร์แกนิคฟาร์ม บ้านหนองเม็ก จากนั้นเยี่ยมชมและฟังบรรยายสรุปการดำเนินงานของศูนย์แพทย์แผนไทยพนา ต.พระเหลา อ.พนา จ.อำนาจเจริญ
ในช่วงบ่าย นายกฯจะเดินทางไปยังจ.อุบลราชธานี โดยเวลา 14.30 น.จะเข้ากราบสักการะพระอัฐิธาตุของพระโพธิญาณเถร ณ วัดหนองป่าพง ต.โนนผึ้ง อ.วาริณชำราบ จ.อุบลราชธานี และช่วงเย็นเวลา 16.00 น.จะเยี่ยมชมการปลูกป่าในเมืองและพบปะประชาชน ณ สวนพฤกษศาสตร์ดงฟ้าห่วน ต.ขามใหญ่ อ.เมือง จ.อุบลราชธานี โดยจะมีการมองหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์หรืออยู่อาศัยในพื้นที่เป้าหมายการจัดการที่ดินทำกินให้ชุมชนภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง 2 และในเวลา 18.30 น. นายกฯจะเป็นประธานเปิดงานเทศกาลประเพณีแห่เทียนเข้าพรรษา จ.อุบลราชธานี ประจำปี 2561 “ฮีตศรัทธา ราชธานีแห่งเทียน” ณ ลานเทียน มณฑลพิธีทุ่งศรีเมือง และร่วมกิจกรรมงาน “ชื่นสุขี ศรีวนาลัย”ณ ลานขวัญเมือง ทั้งนี้นายกฯ จะเข้าสักการะอนุสาวรีย์พระประทุมวรราชสุริยวงศ์ (เจ้าคำผง) พร้อมถวายผ้าอาบน้ำฝน และร่วมชมการแสดงชุด “ฮีตศรัทธา ราชธานีแห่งเทียน”
สำหรับวันอังคารที่ 24 ก.ค.เวลา 08.30 น.นายกรัฐมนตรีพร้อมคณะจะประชุมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมกลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง 2 จากนั้นเวลา 10.30 น.จะประชุมครม.ที่มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ทั้งนี้ ภายหลังการประชุมครม.นายกฯจะเยี่ยมชมแอ่งท่องท่องเที่ยวชีทวน ต.ชีทวน อ.เขื่องใน จ.อุบลราชธานี และเดินทางกลับกทม.ในเวลา 17.40 น.ด้วยเครื่องแอร์บัส 320 จากท่าอากาศยานทหาร กองบิน 21 ไปยังท่าอากาศยานทหาร 2 กองบิน 6 (บน.6) ดอนเมือง เวลา 18.30 น.
“สุภรณ์”เผยถูกนปช.ลอยแพ
อีกประเด็นหนึ่ ง นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ หรือแรมโบ้อีสาน อดีตแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) กล่าวที่ จ.นครราชสีมา ถึงข้อกล่าวหาที่ระบุว่าแกนนำ นปช.แตกคอกันและนายสุภรณ์ถูกดูดไปอยู่กับพรรคพลังประชารัฐ ว่า ตนไม่ได้ร่วมงานกับ นปช.มานานแล้ว ตั้งแต่นางธิดา ถาวรเศรษฐ์ มาเป็นประธาน ด้วยเหตุผลแนวทางและความเห็นของตนขัดแย้งกับนางธิดามาตลอด จึงทำงานไปด้วยกันไม่ได้ ซึ่งตนก็ขอออกมา ไม่ได้เข้าไปเกี่ยวข้องอะไรกับ นปช.อีกเลย ทั้งนี้แกนนำ นปช.ทุกคนก็ทราบดี จากนั้นตนก็ได้มาตั้งกลุ่มอาสาสมัครพิทักษ์ประชาธิปไตยหรือ อพปช.เคลื่อนไหวในแนวทางของตนเอง และต่อมาก็ถูกนางธิดา , นพ.เหวง โตจิราการ และนายจตุพร พรหมพันธุ์ กล่าวหาโจมตีและระบุชัดเจนว่าแรมโบ้ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับ นปช.แล้ว
นายสุภรณ์ กล่าวอีกว่า ต่อมาเดือน พ.ค.57 คสช.เข้ายึดอำนาจ ตนก็ได้ประกาศยุติบทบาททางการเมืองเพราะตนอึดอัดเจอสารพัดปัญหา ทั้งถูกดำเนินคดีหลายคดี แม่กับภรรยาก็ป่วยเป็นมะเร็ง ครอบครัวได้รับความเดือดร้อน ถ้าขืนยังทำการเมืองอยู่ต่อไปครอบครัวก็คงจะลำบาก ที่
“สำคัญขณะที่ผมถูกทหารควบคุมตัว พรรคเพื่อไทยไม่มีใครมาเหลียวแลถามไถ่ความเป็นอยู่เลย ต้องช่วยตัวเองทุกอย่าง จึงเห็นธาตุแท้ของนักการเมือง จำเป็นต้องเอาตัวรอดก่อน ในที่สุดทหารก็ปล่อยผมออกมา ซึ่งในช่วงนั้นก็รอดูว่าจะมีผู้ใหญ่ในพรรคเพื่อไทยคนใดโทร.มาถามสารทุกข์สุกดิบว่ามีชีวิตอยู่อย่างไร ครอบครัวเดือดร้อนหรือไม่ เพียงแค่นี้ก็ดีใจแล้ว ไม่จำเป็นต้องเอาเงินทองมาให้ แต่ก็ไร้วี่แววไม่เห็นมีใครสนใจสักคน” นายสุภรณ์ กล่าว
ลาออกจากเพื่อไทยนานแล้ว
นายสุภรณ์ กล่าวอีกว่า เมื่อตนถูกพรรคเพื่อไทยทอดทิ้ง ไม่เห็นคุณค่า จึงตัดสินใจยื่นใบลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทย และพรรคก็ตอบหนังสือกลับมาให้ลาออกได้ โดยไม่มีใครมาทัดทานหรือห้ามปรามอะไรทั้งสิ้น มิหนำซ้ำตนยังถูกกล่าวหาว่าเป็นคนทรยศพรรค ขายตัวให้กับทหาร สารพัดที่จะหาเรื่องด่า เช่น กล่าวหาว่าตนเอารายชื่อแกนนำกลุ่มคนเสื้อแดงไปให้ทหารตามจับบ้าง ซึ่งไม่เป็นความจริง หัวใจตนเองยังผูกพันกับคนเสื้อแดงเหมือนเดิม แต่ตนไม่ได้ไปร่วมทำงานกับแกนนำ นปช.เท่านั้น
นายสุภรณ์ กล่าวต่อว่า มาถึงวันนี้ประชาชนในพื้นที่อยากให้ตนกลับมาเล่นการเมือง ทำประโยชน์ให้กับชาวบ้าน ตนก็ต้องฟังเสียงประชาชน เพราะที่ผ่านมาตนมีบทบาทในการผลักดันงบประมาณมาสร้างประโยชน์ในพื้นที่หลายโครงการ จนทำให้ชาวบ้านรักและศรัทธา เมื่อเป็นเช่นนี้ตนก็เลยตัดสินใจจะกลับมาทำงานทางการเมือง แต่ก่อนจะกลับก็ต้องไปกราบย่าโม ที่ตนเคารพบูชาบอกท่านเสียก่อน เพราะตอนจะเลิกตนก็มาบอกย่าโม ซึ่งถือเป็นวัฒนธรรมของลูกหลานย่าโมคนโคราชปู่ย่าตายายปฏิบัติมาอย่างนี้ ไม่ไม่ใช่เป็นการนำเอาย่าโมมาหากินตามที่มีคนกล่าวหาตนเอง ตนทำตามปู่ย่าตายายเคยพาทำมันจะผิดหรือเสียหายตรงไหน
“หลังจากนี้ผมจะตัดสินใจเข้าสังกัดพรรคการเมือง ที่เห็นว่ามีนโยบายและผู้นำพรรคที่จะสร้างประโยชน์ให้กับประชาชนได้ ถ้าผมจะไปสังกัดพรรคที่มีทหารเป็นแกนนำ ก็ถือเป็นสิทธิของผม แต่ก่อนผมถูกคนออกมาด่าเสียๆหายๆทั้งผ่านโซเชียลต่างๆ สารพัดวิธีที่จะด่า ณ วันนี้ผมได้ตัดสินใจแล้วที่จะเข้ามาสร้างคุณประโยชน์ให้กับประเทศชาติ โดยเฉพาะพรรคการเมืองที่มีแนวทางการสร้างความปรองดอง การสลายสีเสื้อ เพื่อให้บ้านเมืองเกิดความรัก ความสามัคคี เป็นปรึกแผ่นซึ่งสังคมไทยในปัจจุบันกำลังต้องการอย่างยิ่ง” นายสุภรณ์ กล่าว
ยืนยันไมมีการใช้เงินดูด
เมื่อถามว่ามีกระแสข่าวโจมตีหนักว่านายสุภรณ์ เข้าร่วมกับกลุ่มสามมิตรและพรรคพลังประชารัฐ เพราะถูกเสนอเงินให้เป็นตัวเลขที่สูงนั้น นายสุภรณ์ กล่าวว่า ตนบอกได้เลยว่าไม่เป็นความจริง ที่ผ่านมาไม่เห็นมีกลุ่มหรือพรรคไหนมาเสนอเงินให้ตนแม้แต่บาทเดียว ที่ตนต้องการเข้าร่วมเพราะมองเห็นเจตนารมณ์ที่ดี ที่อยากจะสร้างความรักความสามัคคีให้เกิดกับแผ่นดินไทยโดยไม่เลือกสี เลือกข้าง ซึ่งตนเห็นว่า ณ วันนี้ถึงเวลาแล้วที่ทุกกลุ่ม ทุกฝ่ายจะต้องหันหน้ามาพูดคุยกันเพื่อขับเคลื่อนประเทศไทยให้เดินไปข้างหน้าให้ได้
พลังประชารัฐเจาะลพบุรี
ผู้สื่อข่าวรายงานการเคลื่อนไหวเดินสายหาผู้สมัครส.ส.ของพรรคพลังประชารัฐ ว่าในส่วนของพื้นที่ จ.ลพบุรี พล.อ.สรชัช วรปัญญา ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก บุตรชายนายนิยม วรปัญญา จะลงสมัครในเขต 4 แทน นายพหล วรปัญญา อดีตส.ส.ลพบุรีพรรคเพื่อไทย เนื่องจากเขตดังกล่าวเป็นพื้นที่เดิมของนายนิยม เมื่อ พล.อ.สรชัช จะเกษียณอายุราชการ ในเดือนต.ค. จึงลงเล่นการเมืองแทนบิดา ส่วนนายพหลนั้นยอมที่จะหลีกทางให้
ด้านนายอำนวย คลังผา อดีตส.ส.ลพบุรี พรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีกระแสข่าวบุตรชายนายนิยม จะลงสมัครส.ส.ในนามพรรคพลังประชารัฐ แทน นายพหล วรปัญญา ว่าการที่นายพหล จะหลบให้ พล.อ.สรชัช ถือเป็นเรื่องของคนในครอบครัว ก่อนหน้านี้ พล.อ.สรชัช ไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับการเมือง เมื่อเขาเป็นข้าราชการทหารที่เพิ่งปลดเกษียณอายุราชการ แล้วจะลงสมัครในนามพรรคพลังประชารัฐ ก็ถือเป็นสิทธิ์ของแต่ละบุคคล
นายอำนวย กล่าวด้วยว่า ในส่วนของพรรคเพื่อไทย ต้องหาบุคคลที่มีความรู้ความสามารถมาลงสมัครในเขตดังกล่าวในนามพรรคเพื่อไทยต่อไป เพราะถือเป็นพื้นที่เดิมของพรรค และยืนยันตนยังอยู่กับพรรคเพื่อไทยเช่นเดิมเชื่อว่าประชาชนยังมั่นคงกับพรรคเพื่อไทยไม่เปลี่ยนแปลง ด้วยนโยบายและผลงานที่สร้างประโยชน์ให้กับประชาชนในอดีตที่ผ่านมา และขณะนี้ส่วนตัวมองว่าการเมืองเริ่มมีความชัดเจน พรรคต่างๆเช่นพรรคพลังประชารัฐมีการเคลื่อนไหว ก็เรียกร้องให้คสช.ยกเลิกคำสั่งห้ามพรรคการเมืองทำกิจกรรมได้แล้ว มันถึงเวลาของพรรคการเมืองทุกพรรคต้องเตรียมตัวเลือกตั้งแล้ว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี