31 ก.ค.61 เวลา 09.00 น. ณ ห้องประชุม 501 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ภายหลังเสร็จสิ้นการประชุม พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย พ.อ.อธิสิทธิ์ ไชยนุวัติ ผู้ช่วยโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้ร่วมแถลงผลการประชุม ครม.ซึ่งสรุปสาระสำคัญดังนี้
กฎหมาย
1. เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติที่คณะรัฐมนตรีขอรับไปพิจารณาก่อนรับหลักการ (ร่างพระราชบัญญัติป้องกันการทารุณกรรมและการจัดสวัสดิภาพสัตว์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบดังนี้
1. รับทราบผลการพิจารณาและข้อสังเกตของร่างพระราชบัญญัติที่คณะรัฐมนตรีขอรับไปพิจารณาก่อนรับหลักการ [ร่างพระราชบัญญัติป้องกันการทารุณกรรมและการจัดสวัสดิภาพสัตว์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ซึ่งนายวัลลภ ตังคณานุรักษ์ กับคณะเป็นผู้เสนอ] ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ
2. ให้ส่งคืนร่างพระราชบัญญัติป้องกันการทารุณกรรมและการจัดสวัสดิภาพสัตว์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (นายวัลลภ ตังคณานุรักษ์ กับคณะ เป็นผู้เสนอ) ที่คณะรัฐมนตรีขอรับไปพิจารณาก่อนรับหลักการไปยังสภานิติบัญญัติแห่งชาติภายในกำหนดเวลา พร้อมให้แจ้งข้อสังเกตของคณะรัฐมนตรีไปด้วยว่า ควรชะลอการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติป้องกันการทารุณกรรมและการจัดสวัสดิภาพสัตว์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (นายวัลลภ ตังคณานุรักษ์ เป็นผู้เสนอ) เพื่อรอร่างพระราชบัญญัติป้องกันการทารุณกรรมและการจัดสวัสดิภาพสัตว์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ที่อยู่ระหว่างการดำเนินการของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เพื่อพิจารณาไปในคราวเดียวกันต่อไป
3. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับข้อสังเกตของกระทรวงมหาดไทย สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปประกอบการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติป้องกันการทารุณกรรมและการจัดสวัสดิภาพสัตว์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ซึ่งอยู่ระหว่างดำเนินการยกร่าง แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป
2. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดท้องที่งดอนุญาตให้ตั้งสถานบริการ พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดท้องที่งดอนุญาตให้ตั้งสถานบริการ พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ และให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
สาระสำคัญของร่างพระราชกฤษฎีกา
1. ให้ยกเลิก
1.1 พระราชกฤษฎีกากำหนดเขตจังหวัดกาญจนบุรี จังหวัดกำแพงเพชร จังหวัดชัยนาท จังหวัดชุมพร จังหวัดนนทบุรี จังหวัดน่าน จังหวัดปทุมธานี จังหวัดปัตตานี จังหวัดพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพะเยา จังหวัดพังงา จังหวัดเพชรบุรี จังหวัดยโสธร จังหวัดระนอง จังหวัดศรีสะเกษ จังหวัดสกลนคร จังหวัดสิงห์บุรี จังหวัดสุพรรณบุรี จังหวัดหนองคาย จังหวัดหนองบัวลำภู และจังหวัดอุทัยธานี เป็นท้องที่งดอนุญาตให้ตั้งสถานบริการ พ.ศ. 2545 และ
1.2 พระราชกฤษฎีกากำหนดเขตจังหวัดนครนายก จังหวัดพิจิตร จังหวัดสตูล จังหวัดสุโขทัย และจังหวัดอ่างทอง เป็นท้องที่งดอนุญาตให้ตั้งสถานบริการ พ.ศ. 2545
2. กำหนดเขตพื้นที่งดอนุญาตให้ตั้งสถานบริการ โดยตัดจังหวัดกาญจนบุรี จังหวัดศรีสะเกษ จังหวัดหนองบัวลำภู และจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติ (16 พฤษภาคม 2560 และ 11 กรกฎาคม 2560) กำหนดให้เป็นเขตพื้นที่อนุญาตให้ตั้งสถานบริการได้ รวมทั้งปรับรูปแบบกฎหมาย โดยกำหนดจังหวัดที่เป็นพื้นที่งดอนุญาตให้ตั้งสถานบริการที่เหลืออยู่จำนวน 22 จังหวัด ให้รวมอยู่ในร่างพระราชกฤษฎีกานี้เพียงฉบับเดียว
3. กำหนดให้พระราชกฤษฎีกานี้ไม่ใช้บังคับแก่สถานบริการที่ได้รับอนุญาตให้ตั้งก่อนวันที่พระราชกฤษฎีกานี้ใช้บังคับ และสถานบริการที่จะตั้งขึ้นในโรงแรมตามกฎหมายว่าด้วยโรงแรม
เศรษฐกิจ-สังคม
3. เรื่อง ยุทธศาสตร์การบริหารจัดการแร่ 20 ปี (พ.ศ. 2560 – 2579) และแผนแม่บทการบริหารจัดการแร่ พ.ศ. 2560 – 2564
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) เสนอ ดังนี้
1. เห็นชอบในหลักการของยุทธศาสตร์การบริการจัดการแร่ 20 (พ.ศ. 2560 – 2579) และแผนแม่บทการบริหารจัดการแร่ พ.ศ. 2560 – 2564 และให้ ทส. รับความเห็นของกระทรวงกลาโหม กระทรวงพาณิชย์และสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
2. ให้ ทส. โดยกรมทรัพยากรธรณี ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการนโยบายบริหารจัดการแร่แห่งชาติเร่งรัดกระบวนการแต่งตั้งคณะกรรมการนโยบายบริหารจัดการแร่แห่งชาติชุดใหม่ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว และนำความเห็นของคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอต่อคณะกรรมการนโยบายบริหารจัดการแร่แห่งชาติชุดใหม่เพื่อพิจารณาความเหมาะสมในการปรับปรุงยุทธศาสตร์การบริหารจัดการแร่ 20 ปี (พ.ศ. 2560 – 2579) และแผนแม่บทการบริหารจัดการแร่ พ.ศ. 2560 – 2564 ให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. 2560 และสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ (พ.ศ. 2561 – 2580) ก่อนที่จะให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำยุทธศาสตร์การบริหารจัดการแร่ 20 ปี (พ.ศ. 2560 – 2579) และแผนแม่บทการบริหารจัดการแร่ พ.ศ. 2560 – 2564 ไปสู่การปฏิบัติตามขั้นตอนต่อไป ทั้งนี้ ในการพิจารณาประเด็นต่าง ๆ ให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกภาคส่วน โดยเฉพาะภาคประชาชนที่อาศัยอยู่ในบริเวณเขตแหล่งแร่เข้ามามีส่วนร่วมในทุกขั้นตอนด้วย เพื่อให้การบริหารจัดการแร่เกิดดุลยภาพในทุกด้านทั้งเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม และสุขภาพของประชาชน
4. เรื่อง ขอบเขตพื้นที่เมืองเก่า และกรอบแนวทางการอนุรักษ์และพัฒนาเมืองเก่า เมืองเก่าแม่ฮ่องสอน
เมืองเก่ากาญจนบุรี เมืองเก่ายะลา และเมืองเก่านราธิวาส และแนวทางการอนุรักษ์และพัฒนาเมืองอู่ทองและเมืองสรรคบุรี
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบ ดังนี้
1. เห็นชอบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) เสนอขอบเขตพื้นที่เมืองเก่าแม่ฮ่องสอน เมืองเก่ากาญจนบุรี เมืองเก่ายะลา และเมืองเก่านราธิวาส เพื่อประกาศเขตพื้นที่เมืองเก่าตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการอนุรักษ์และพัฒนากรุงรัตนโกสินทร์และเมืองเก่า พ.ศ. 2546 และกรอบแนวทางการอนุรักษ์และพัฒนาเมืองเก่า เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำไปพิจารณาและจัดทำรายละเอียดเพื่อดำเนินการต่อไป และเห็นชอบแนวทางการอนุรักษ์และพัฒนาเมืองอู่ทองและเมืองสรรคบุรี เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่นำไปปรับใช้ในการดำเนินงานด้านการอนุรักษ์และพัฒนาเมืองต่อไป โดยให้ ทส. รับความเห็นของกระทรวงคมนาคมไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
2. ให้ ทส. เป็นเจ้าภาพประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่และชุมชนเพื่อดำเนินการขับเคลื่อนในการนำแนวทางการอนุรักษ์และพัฒนาเมืองเก่าไปสู่การปฏิบัติ เพื่อให้การอนุรักษ์และพัฒนาเมืองเก่ามี ผลในทางปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรมตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
3. ให้ ทส. ร่วมกับกระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำข้อมูลรายงานผลการดำเนินงานของเมืองเก่ามาประกอบการพิจารณาทบทวนกรอบแนวทางการอนุรักษ์และพัฒนาเพื่อปรับให้มีความเหมาะสมกับสถานการณ์และสภาพทางสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป รวมทั้งให้สอดคล้องกับข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2560 ที่ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากำหนดแนวทางในการบริหารจัดการพื้นที่ที่ได้มีการประกาศให้เป็นพื้นที่ที่ราษฎรไม่สามารถครอบครองได้ เช่น เขตพื้นที่โบราณสถาน เพื่อให้ประชาชนที่เข้าครอบครองหรือทำประโยชน์ในเขตพื้นที่ดังกล่าวอยู่ก่อนการประกาศฯ สามารถใช้ประโยชน์ร่วมกันในบริเวณเขตพื้นที่ดังกล่าวได้โดยไม่ขัดกับกฎหมายที่เกี่ยวข้องและสอดคล้องกับหลักการมาตรฐานสากล รวมทั้งพิจารณากำหนดแนวทางการแก้ไขปัญหากรณีการบุกรุกในเขตพื้นที่ดังกล่าวด้วย
5. เรื่อง ขออนุมัติดำเนินโครงการก่อสร้างทางรถไฟ สายเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ ของการรถไฟแห่งประเทศไทย
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงคมนาคม (คค.) เสนอ ดังนี้
1. อนุมัติให้การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ดำเนินโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ สายเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ ในวงเงินรวม 85,345 ล้านบาท ระยะเวลาดำเนินการ 7 ปี โดยดำเนินการประกวดราคาจ้างก่อสร้างด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. 2549 หรือที่ประกาศใช้ล่าสุด (ในปัจจุบันระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 ใช้บังคับแล้ว ตั้งแต่วันที่ 24 สิงหาคม 2560) และให้ รฟท. แบ่งสัญญาในการดำเนินโครงการฯ เป็น 3 สัญญา
2. ให้รัฐบาลรับภาระค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการทั้งสิ้น โดยให้สำนักงบประมาณ (สงป.) จัดสรรงบประมาณรายปี และ/หรือกระทรวงการคลัง (กค.) จัดหาแหล่งเงินกู้และค้ำประกันเงินกู้ภายในประเทศให้ตามความเหมาะสม เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินการตามแผนการดำเนินงานและแผนการเบิกจ่ายเงินของโครงการฯ ทั้งนี้ เห็นชอบให้ รฟท. กู้เงินตามพระราชบัญญัติการรถไฟแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2494 มาตรา 39 (4) ตามความเห็นของกระทรวงการคลัง
3. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืนของโครงการก่อสร้างทางรถไฟ สายเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
สาระสำคัญของเรื่อง
1. โครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ สายเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ ที่ คค. เสนอ เป็นโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่สายใหม่ เพื่อเพิ่มความครอบคลุมพื้นที่ของโครงข่ายทางรถไฟในบริเวณภาคเหนือตอนบน และเชื่อมต่อการเดินทางและขนส่งสินค้ากับสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา และสาธารณรัฐประชาชนจีนตอนใต้ อันนำไปสู่การเพิ่มศักยภาพด้านการคมนาคมขนส่ง การค้า และการท่องเที่ยว ทั้งในประเทศและระหว่างประเทศ นอกจากนี้ โครงการดังกล่าวมีความสอดคล้องกับร่างยุทธศาสตร์ชาติ ที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (5 มิถุนายน 2561) เห็นชอบแล้ว
2. โครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ สายเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ มีระยะทางรวมประมาณ 323 กิโลเมตร โดยมีจุดเริ่มต้นที่สถานีเด่นชัย จังหวัดแพร่ แนวเส้นทางมุ่งไปทางทิศเหนือ ผ่านจังหวัดลำปาง จังหวัดพะเยา และจังหวัดเชียงราย ไปสิ้นสุดที่บริเวณด่านพรมแดนเชียงของ จังหวัดเชียงราย และมีวงเงินลงทุน รวม 85,345 ล้านบาท แบ่งออกเป็น ค่าเวนคืนที่ดินและอสังหาริมทรัพย์ ค่าก่อสร้าง และค่าจ้างที่ปรึกษา
3. ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืนของโครงการก่อสร้างทางรถไฟ สายเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน เพื่อสร้างทางรถไฟ และสร้างทางและสะพานข้ามทางรถไฟตามโครงการก่อสร้างทางรถไฟ สายเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ ในท้อง ที่ดังต่อไปนี้
จังหวัด |
อำเภอ |
ตำบล |
จังหวัดแพร่ |
อำเภอเด่นชัย |
ตำบลเด่นชัย ตำบลปงป่าหวาย |
อำเภอสูงเม่น |
ตำบลน้ำชำ ตำบลสูงเม่น ตำบลพระหลวง ตำบลสบสาย ตำบลดอนมูล ตำบลร่องกาศ |
|
อำเภอเมืองแพร่ |
ตำบลนาจักร ตำบลกาญจนา ตำบลเหมืองหม้อ ตำบลทุ่งกวาว ตำบลทุ่งโฮ้ง ตำบลแม่หล่าย ตำบลแม่คำมี |
|
อำเภอสอง |
ตำบลหนองม่วงไข่ อำเภอหนองม่วงไข่ ตำบลหัวเมือง ตำบลแดนชุมพล ตำบลทุ่งน้าว ตำบลห้วยหม้าย ตำบลบ้านขนุน ตำบลบ้านกลาง |
|
จังหวัดลำปาง |
อำเภองาว |
ตำบลแม่ตีบ ตำบลหลวงใต้ ตำบลบ้านแหง ตำบลหลวงเหนือ ตำบลนาแก ตำบลปงเตา ตำบลบ้านร้อง |
จังหวัดพะเยา |
อำเภอเมืองพะเยา |
ตำบลแม่กา ตำบลจำป่าหวาย ตำบลแม่ต๋ำ ตำบลท่าวังทอง |
อำเภอดอกคำใต้ |
ตำบลดอกคำใต้ ตำบลห้วยลาน |
|
อำเภอภูกามยาว |
ตำบลแม่อิง ตำบลดงเจน ตำบลห้วยแก้ว |
|
จังหวัดเชียงราย |
อำเภอป่าแดด |
ตำบลสันมะค่า ตำบลป่าแดด ตำบลโรงช้าง ตำบลป่าแงะ |
อำเภอเทิง |
ตำบลเชียงเคียน |
|
อำเภอเมืองเชียงราย |
ตำบลดอยลาน ตำบลห้วยสัก ตำบลท่าสาย ตำบลรอบเวียง |
|
อำเภอเวียงชัย |
ตำบลเวียงชัย ตำบลเวียงเหนือ ตำบลเมืองชุม |
|
อำเภอเวียงเชียงรุ้ง |
ตำบลทุ่งก่อ ตำบลป่าซาง |
|
อำเภอดอยหลวง |
ตำบลโชคชัย |
|
อำเภอเชียงของ |
ตำบลห้วยซ้อ ตำบลศรีดอนชัย ตำบลสถาน ตำบลเวียง |
6. เรื่อง การเพิ่มอัตราข้าราชการตั้งใหม่ให้กับกระทรวงการคลังและสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติการเพิ่มอัตราข้าราชการตั้งใหม่ให้กับกระทรวงการคลัง (กค.) จำนวน 475 อัตรา และสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (สกท.) จำนวน 78 อัตรา รวมทั้งสิ้น 553 อัตรา ตามมติ คปร. ในการประชุมครั้งที่ 1/2561 เมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2561 และครั้งที่ 2/2561 เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม 2561 ตามที่สำนักงาน ก.พ. ในฐานะฝ่ายเลขานุการร่วมคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ (คปร.) เสนอ
7. เรื่อง รายงานผลการประเมินองค์การมหาชนและผู้อำนวยการองค์การมหาชนประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 (ตามคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 5/2559 เรื่อง มาตรการปรับปรุงประสิทธิภาพ ในการปฏิบัติราชการ)
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบดังนี้
1. รับทราบรายงานผลการประเมินองค์การมหาชนและผู้อำนวยการองค์การมหาชน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 และผลการคัดเลือกโรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์เป็นองค์การมหาชนดีเด่น ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 ตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอ
2. เห็นชอบตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอ ให้เพิ่มเติมเรื่องการจ่ายค่าตอบแทนผันแปร ของผู้อำนวยการองค์การมหาชน เป็นแนวทางที่เป็นคำแนะนำในการควบคุมดูแลกิจการของคณะกรรมการองค์การมหาชนที่จัดตั้งตามพระราชบัญญัติองค์การมหาชน พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2561 และให้เป็นคำแนะนำสำหรับคณะกรรมการขององค์การมหาชนที่จัดตั้งตามพระราชบัญญัติเฉพาะด้วย โดยให้ได้รับค่าตอบแทนผันแปรเต็มตามจำนวนเมื่อมีผลการประเมินองค์การมหาชนและผู้อำนวยการองค์การมหาชนอยู่ในระดับ “คุณภาพ” ขึ้นไป และให้เริ่มใช้ตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 เป็นต้นไป ทั้งนี้ ให้สำนักงาน ก.พ.ร. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องด้วย
3. ให้สำนักงาน ก.พ.ร. (คณะกรรมการพัฒนาและส่งเสริมองค์การมหาชน) กำกับดูแล ให้องค์การมหาชนที่จัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติเฉพาะนำแนวทางการนำกรอบการประเมินผลการปฏิบัติงานขององค์การมหาชนที่จัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติเฉพาะ ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2552 (เรื่อง กรอบประเมินผลการปฏิบัติงานของหน่วยงานของรัฐที่จัดตั้งตามพระราชบัญญัติเฉพาะ) ไปปฏิบัติด้วย เพื่อให้เกิดการศึกษาและวิเคราะห์แนวทางการบริหารองค์การมหาชนที่จัดตั้งตามพระราชบัญญัติเฉพาะที่เหมาะสมต่อไป
4. ให้สำนักงาน ก.พ.ร. (คณะกรรมการพัฒนาและส่งเสริมองค์การมหาชน) กำกับดูแลให้มีการประเมินองค์การมหาชนและผู้อำนวยการองค์การมหาชนให้ครบถ้วนทุกแห่งอย่างเคร่งครัด โดยพิจารณาถึงความเหมาะสมของเกณฑ์การประเมินอย่างต่อเนื่องด้วย
8. เรื่อง การยกระดับจุดผ่อนปรนการค้าบ้านฮวก อำเภอภูซาง จังหวัดพะเยา เป็นจุดผ่านแดนถาวร
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบดังนี้
1. เห็นชอบการดำเนินการยกระดับจุดผ่อนปรนการค้าบ้านฮวก อำเภอภูซาง จังหวัดพะเยา เป็นจุดผ่านแดนถาวร โดยให้กระทรวงมหาดไทย ดำเนินการออกประกาศกระทรวงมหาดไทยในส่วนที่เกี่ยวข้อง ตามที่สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) เสนอ สำหรับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นจากการดำเนินการดังกล่าว ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ ให้สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงกลาโหม กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และข้อสังเกตของกระทรวงพาณิชย์ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
2. ให้กระทรวงยุติธรรมนำประเด็นเกี่ยวกับการเปิดสำนักงานประสานงานแก้ไขปัญหายาเสพติดชายแดน อำเภอภูซาง จังหวัดพะเยา ในแผนบริหารจัดการพื้นที่รองรับการยกระดับจุดผ่อนปรนการค้าบ้านฮวก อำเภอภูซาง จังหวัดพะเยา เป็นจุดผ่านแดนถาวรไปประสานกับกระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณาดำเนินการต่อไป
3. ให้กระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ตามแผนที่กำหนดไว้เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ในการส่งเสริมและสนับสนุนการเชื่อมโยงการท่องเที่ยว การค้า การลงทุนการขนส่ง ศิลปวัฒนธรรมและชาติพันธุ์ในกลุ่มประเทศอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง เช่น การก่อสร้างถนนและจุดเปลี่ยนช่องจราจร โครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน แผนงาน/โครงการในการบริหารจัดการพื้นที่ เป็นต้น
4. กรณีมีความจำเป็นต้องก่อสร้างหรือดำเนินกิจกรรมใด ๆ บริเวณชายแดน ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องประสานกรมแผนที่ทหาร กองบัญชาการกองทัพไทยและกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศ ตรวจสอบข้อมูลให้ชัดเจนก่อนการดำเนินการ ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 2542 (เรื่อง แนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับการก่อสร้างถนนหรือกระทำกิจการใดๆ ตามบริเวณชายแดน) และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2548 (เรื่อง การระงับการก่อสร้างถนนบริเวณจุดผ่านแดนถาวรช่องจอม จังหวัดสุรินทร์) ทั้งนี้ ให้ดำเนินการให้ถูกต้องเป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ มติคณะรัฐมนตรี และหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัดด้วย
5. สำหรับการดำเนินการในระยะต่อไป ที่มีแผนจะดำเนินการก่อสร้างอาคารเพิ่มเติมและการก่อสร้างถนนซึ่งมีพื้นที่บางส่วนอยู่ในเขตพื้นที่ลุ่มน้ำชั้น 1 ที่ต้องจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม ให้กระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วนต่อไปด้วย
9. เรื่อง ขอรับการสนับสนุนงบประมาณ การดำเนินโครงการปรับปรุงฟื้นฟูแหล่งน้ำประจำปีงบประมาณ 2561 (ความร่วมมือกองทัพบก – มูลนิธิอุทกพัฒน์ ในพระบรมราชูปถัมภ์)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน 468,912,800 บาท ให้กองทัพบก เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการปรับปรุงฟื้นฟูแหล่งน้ำ ประจำปีงบประมาณ 2561 (ความร่วมมือกองทัพบก – มูลนิธิอุทกพัฒน์ในพระบรมราชูปถัมภ์) จำนวน 47 โครงการ ในพื้นที่ 9 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดแพร่ พะเยา พิจิตร สุโขทัย เพชรบูรณ์ นครสวรรค์ บุรีรัมย์ ปราจีนบุรี และพัทลุง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำ การเก็บกักน้ำ รวมทั้งเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำชุมชน ตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอและให้กระทรวงกลาโหมรับความเห็นของสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติไปดำเนินการต่อไป และให้กระทรวงกลาโหมส่งแผนการดำเนินโครงการปรับปรุงฟื้นฟูแหล่งน้ำ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 (ความร่วมมือกองทัพบก – มูลนิธิอุทกพัฒน์ในพระบรมราชูปถัมภ์) เสนอต่อคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติเพื่อนำไปประกอบเป็นแผนดำเนินการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำของประเทศในภาพรวมต่อไปด้วย
10. เรื่อง มาตรการลดภาระหนี้เพื่อเพิ่มสภาพคล่องให้เกษตรกรรายย่อย
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบมาตรการลดภาระหนี้เพื่อเพิ่มสภาพคล่องให้เกษตรกรรายย่อยและเห็นชอบวงเงินงบประมาณ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 สำหรับวงเงินชดเชยดอกเบี้ยเงินกู้ของเดือนสิงหาคมและเดือนกันยายน 2561 จำนวน 2,724.85 ล้านบาท เพื่อชดเชยดอกเบี้ยเงินกู้แทนเกษตรกรลูกค้า ธ.ก.ส. ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
สาระสำคัญ
กระทรวงการคลังได้หารือร่วมกับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เพื่อพิจารณาจัดทำมาตรการลดภาระหนี้เพื่อเพิ่มสภาพคล่องให้เกษตรกรรายย่อย ซึ่งประกอบด้วย 2 โครงการ ได้แก่ โครงการขยายเวลาชำระหนี้ให้แก่เกษตรกรลูกค้า ธ.ก.ส. และโครงการลดดอกเบี้ยเงินกู้ให้แก่เกษตรกรรายย่อย โดยมีรายละเอียด ดังนี้
เกษตรกรลูกค้า ธ.ก.ส. ฟื้นฟูการประกอบอาชีพ
เป็นระยะเวลา 3 ปี ตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2561 ถึงวันที่ 31 กรกฎาคม 2564 ตามความสมัครใจ โดยต้องแสดงความประสงค์เข้าร่วมโครงการภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2561 และกำหนดให้ชำระดอกเบี้ยเงินกู้อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง หรือในกรณีที่มีหนี้เงินกู้เป็นภาระหนักให้ดำเนินการตามโครงการสินเชื่อเพื่อฟื้นฟูการประกอบอาชีพ หรือปรับปรุงโครงสร้างหนี้ตามวิธีปฏิบัติของ ธ.ก.ส. เป็นราย ๆ ไป นอกจากนี้ เกษตรกรลูกค้า ธ.ก.ส. ที่เข้าร่วมโครงการจะได้รับการสนับสนุนสินเชื่อเพื่อเพิ่มศักยภาพการประกอบอาชีพ สินเชื่อเพื่อปรับโครงสร้างการผลิต หรือสินเชื่อเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายฉุกเฉินและจัดหาปัจจัยการผลิตได้ รวมทั้ง ธ.ก.ส. จะส่งเสริมการออมเงินที่เหมาะสมให้กับเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการ
ในการประกอบอาชีพของเกษตรกรลูกค้า ธ.ก.ส.
ไม่เกิน 300,000 บาท
300,000 บาท เป็นระยะเวลา 1 ปี เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2561 ถึงวันที่ 31 กรกฎาคม 2562 โดยรัฐบาลชดเชยดอกเบี้ยเงินกู้แทนเกษตรกรลูกค้า ธ.ก.ส. ให้กับ ธ.ก.ส. ในอัตราร้อยละ 2.50 ต่อปี และ ธ.ก.ส. รับภาระดอกเบี้ยเงินกู้แทนเกษตรกรลูกค้า ธ.ก.ส. ในอัตราร้อยละ 0.50 ต่อปี ทั้งนี้ ในส่วนต้นเงินกู้ที่เกินกว่า 300,000 บาท คิดดอกเบี้ยในอัตราปกติ
11. เรื่อง รายงานเหตุการณ์ดินโคลนถล่ม ณ บ้านห้วยขาบ อำเภอบ่อเกลือ จังหวัดน่าน
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานเหตุการณ์ดินโคลนถล่ม ณ บ้านห้วยขาบ อำเภอบ่อเกลือ จังหวัดน่าน ตามที่กระทรวงมหาดไทย เสนอ ดังนี้
เมื่อวันเสาร์ที่ 28 กรกฎาคม 2561 เกิดฝนตกหนักในพื้นที่จังหวัดน่าน โดยเฉพาะพื้นที่อำเภอบ่อเกลือ มีปริมาณฝนสะสม 24 ชั่วโมงมากที่สุด เวลา 03.00 น. เท่ากับ 103 มิลลิเมตร [ข้อมูลจากสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำและการเกษตร (องค์การมหาชน)] ซึ่งต่อมาได้เกิดเหตุการณ์ดินโคลนถล่มทับบ้านเรือนประชาชนและเส้นทางคมนาคม
สถานการณ์
1. เหตุการณ์ดินโคลนถล่มทับบ้านเรือนประชาชน เวลาประมาณ 06.00 น. เกิดเหตุการณ์ดินโคลนถล่มทับบ้านเรือนประชาชน บริเวณบ้านห้วยขาบ หมู่ที่ 7 ตำบลบ่อเกลือเหนือ อำเภอบ่อเกลือ โดยมีบ้านที่ ถูกดินทับ จำนวน 6 หลัง (ทับทั้งหลัง จำนวน 4 หลัง และทับบางส่วน จำนวน 2 หลัง ต่อมาเจ้าหน้าที่พบผู้เสียชีวิต รวม 8 ราย (ชาย 2 ราย หญิง 6 ราย) ซึ่งเป็นผู้ที่อาศัยอยู่ในบ้านที่ถูกดินทับ ดังนี้ (1) นายตุ้ย อักขระอายุ 47 ปี (2) นางกาบแก้ว อักขระอายุ 57 ปี (3) นายธนกร อักขระ อายุ 33 ปี (4) นางสาวกมลรัตน์ อักขระ อายุ 34 ปี (5) เด็กหญิงชรินรัตน์ อักขระ อายุ 10 ปี (6) นางสาวณัฐทิชา อักขระ อายุ 21 ปี (7) เด็กหญิง ณัฎธิดา อักขระ อายุ 3 ปี และ (8) นางกา อักขระ อายุ 64 ปี
2. เหตุการณ์ดินโคลนถล่มทับเส้นทางคมนาคม
(1) เส้นทางหมายเลข 1333 ตอนแม่สะนาน - ผักเฮือด กิโลเมตร ที่ 33+030 ถึง 33+080 ทั้งสองช่องทางจราจร มูลดินสูงประมาณ 5 เมตร ยาว 50 เมตร บริเวณบ้านห่างทางหลวง หมู่ที่ 2 ตำบลภูฟ้า อำเภอบ่อเกลือ
(2) เส้นทางบ้านสะเละ - บ้านบ่อหยวก ตำบลบ่อเกลือเหนือ ห่างจากบ้านห้วยขาบ ประมาณ 1 กิโลเมตร เป็นเส้นทางที่มาจากอำเภอเฉลิมพระเกียรติ
(3) เส้นทางเข้าบ้านห้วยขาบ ตำบลบ่อเกลือเหนือ อำเภอบ่อเกลือ
(4) เส้นทางบ้านสว้า ตำบลดงพญา อำเภอบ่อเกลือ ห่างจากตัวอำเภอบ่อเกลือ ประมาณ 3 กิโลเมตร
การดำเนินการให้ความช่วยเหลือ
1. สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้นายจิรายุ อิศรางกูร ณ อยุธยา องคมนตรี เชิญสิ่งของพระราชทานมอบแก่ประชาชนผู้ประสบภัย จำนวน 261 ชุด ณ โรงเรียนบ้านสว้า ตำบลดงพญา อำเภอบ่อเกลือ เมื่อวันอาทิตย์ที่ 29 กรกฎาคม 2561
2. จังหวัดน่านได้ประกาศเขตการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน (อุทกภัย น้ำป่าไหลหลาก ในพื้นที่อำเภอบ่อเกลือ) และหน่วยงานในพื้นที่ ได้แก่ นายอำเภอ บ่อเกลือ พร้อมเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง เทศบาลตำบลบ่อเกลือใต้ องค์การบริหารส่วนตำบลบ่อเกลือเหนือ องค์การบริหารส่วนตำบลดงพญา องค์การบริหารส่วนตำบลภูฟ้า โรงพยาบาลบ่อเกลือ สถานีตำรวจภูธรบ่อเกลือ เหล่ากาชาดจังหวัด สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัด หน่วยงานจากกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช มณฑลทหารบกที่ 38 หน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 32 กองกำลังผาเมือง หน่วยพัฒนาการเคลื่อนที่ 31 และจิตอาสาในพื้นที่ เป็นต้น เข้าให้การค้นหา และช่วยเหลือผู้ประสบภัยในการขนย้ายสิ่งของและทำความสะอาดบ้านเรือนและสถานที่ต่าง ๆ
3. จังหวัดน่านได้อพยพประชาชนผู้ประสบภัย จำนวน 61 ครัวเรือน 261 คน ไปยังที่ปลอดภัย ณ ศูนย์พักพิงชั่วคราวโรงเรียนบ้านสว้า ตำบลดงพญา อำเภอบ่อเกลือ (ห่างจากหมู่บ้านที่เกิดเหตุ ประมาณ 5 กิโลเมตร) และได้จัดเจ้าหน้าที่และสิ่งอำนวยความสะดวกรองรับผู้ประสบภัย ดังนี้
(1) ด้านสุขภาพอนามัยของผู้ประสบภัย โรงพยาบาลบ่อเกลือ โรงพยาบาล ค่ายสุริยพงษ์ จัดแพทย์และพยาบาลเข้าไปดูแลสุขภาพกายและสุขภาพจิต เช่น ไข้หวัด และดูแลพูดคุยกับเด็ก ผู้สูงอายุ และผู้หญิง ซึ่งอ่อนไหวต่อเหตุการณ์
(2) ด้านอาหาร น้ำ สิ่งของเครื่องใช้ และการจัดการภายในศูนย์พักพิงฯ จังหวัดน่าน อำเภอบ่อเกลือ หน่วยทหารในพื้นที่ เหล่ากาชาดจังหวัด องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่เข้าให้การช่วยเหลือ เช่น การสนับสนุนรถผลิตน้ำประปา จัดหาอุปกรณ์ส่องสว่าง และเครื่องปั่นกระแสไฟฟ้า เป็นต้น
4. การแก้ไขกรณีดินโคลนถล่มทับเส้นทางคมนาคม หมวดทางหลวงบ่อเกลือ ได้เข้ากั้นเส้นทาง ตัดกิ่งไม้ เคลื่อนย้ายสิ่งกีดขวาง และนำเครื่องจักรดำเนินการตักดินโคลนออกจากผิวจราจรแล้ว
ทั้งนี้ เมื่อวันจันทร์ที่ 30 กรกฎาคม 2561 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย (พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา) และคณะ ได้เดินทางไปเยี่ยมและให้กำลังใจประชาชนผู้ประสบภัย ณ ศูนย์พักพิงชั่วคราวโรงเรียนบ้านสว้า พร้อมทั้ง มอบเงินช่วยเหลือแก่ญาติผู้เสียชีวิตและมอบถุงยังชีพช่วยเหลือแก่ผู้ประสบภัย และประชุมเตรียมความพร้อมในการจัดการภัยพิบัติร่วมกับผู้ว่าราชการจังหวัด จำนวน 10 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดน่าน พะเยา อุตรดิตถ์ แพร่ เชียงราย เชียงใหม่ ลำปาง ลำพูน ตาก และแม่ฮ่องสอน ณ ศาลากลางจังหวัดน่าน
ต่างประเทศ
12. เรื่อง ท่าทีไทยสำหรับการประชุมคณะกรรมการร่วมทางการค้า (JTC) ไทย – เวียดนาม ครั้งที่ 3
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงพาณิชย์ (พณ.) เสนอ ดังนี้
1. เห็นชอบท่าทีไทยสำหรับการประชุมคณะกรรมการร่วมทางการค้า (Joint Trade Committee: JTC) ไทย – เวียดนาม ครั้งที่ 3
2. หากในการประชุมดังกล่าว มีผลให้มีการตกลงเรื่องความร่วมมือด้านเศรษฐกิจการค้าในประเด็นอื่น ๆ นอกเหนือจากประเด็นในท่าทีตามข้อ 1 อันจะเป็นประโยชน์ต่อการส่งเสริมความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจการค้าสองฝ่ายระหว่างไทยกับเวียดนาม โดยไม่มีการจัดทำเป็นความตกลงหรือหนังสือสัญญาขึ้นมาขอให้ พณ. และผู้แทนไทยที่เข้าร่วมการประชุมดังกล่าวสามารถดำเนินการได้ โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณา
3. อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายรับรองผลการประชุม JTC ไทย – เวียดนาม ครั้งที่ 3 รวมถึงเอกสารอื่น ๆ ที่เป็นผลจากการหารือขยายความร่วมมือเฉพาะด้าน (หากมี)
สาระสำคัญของเรื่อง
พณ. รายงานว่า
1. ไทยและเวียดนามมีกลไกสำคัญในการหารือด้านการค้าระดับทวิภาคีคือการประชุม JTC ไทย-เวียดนาม โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ไทยเป็นหัวหน้าคณะฝ่ายไทย และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมและการค้าแห่งสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนามเป็นหัวหน้าคณะฝ่ายเวียดนาม โดยการประชุมดังกล่าวเป็นเวทีการประชุมหารือระดับรัฐมนตรีการค้าเกี่ยวข้องกับการกำหนดทิศทางการปฏิสัมพันธ์ทางการค้าและการลงทุนระหว่างไทย – เวียดนาม และแนวทางการจัดทำความร่วมมือทางเศรษฐกิจที่ทั้งสองฝ่ายมีศักยภาพร่วมกันหรือเอื้อประโยชน์ต่อกัน ทั้งนี้ การประชุมดังกล่าวจัดขึ้นมาแล้ว 2 ครั้ง โดยครั้งล่าสุดจัดขึ้นเมื่อวันที่ 20 – 22 กรกฎาคม 2558 ณ กรุงเทพมหานคร
2. ในการประชุม JTC ไทย – เวียดนาม ครั้งที่ 3 เวียดนามจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมดังกล่าวในวันที่ 2 – 3 สิงหาคม 2561 ณ กรุงฮานอย สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม โดย พณ. ได้จัดประชุมเตรียมการฝ่ายไทยกับหน่วยงานราชการและภาคเอกชนไทยที่เกี่ยวข้องเมื่อวันที่ 17 เมษายน 2561 เพื่อพิจารณาท่าทีไทยสำหรับการประชุม JTC ไทย – เวียดนาม ครั้งที่ 3 โดยท่าทีสำหรับการประชุมฯ มีสาระสำคัญคือ กำหนดทิศทางการปฏิสัมพันธ์ทางการค้าและการลงทุนระหว่างไทย – เวียดนาม และแนวทางการจัดทำความร่วมมือทางเศรษฐกิจที่ทั้งสองฝ่ายมีศักยภาพร่วมกันหรือเอื้อประโยชน์ต่อกัน ได้แก่ (1) หารือแนวทางเพื่อบรรลุเป้าหมายทางการค้าระหว่างไทย – เวียดนาม (20,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2563) (2) หารือถึงการแก้ไขปัญหาและส่งเสริมการค้าระหว่างกันภายใต้ความร่วมมือด้านต่าง ๆ เช่น ความร่วมมือเพื่อลดอุปสรรคทางการค้าและการอำนวยความสะดวกด้านการค้า ความร่วมมือด้านการส่งเสริมการค้า ความร่วมมือด้านการเกษตรและประมง ความร่วมมือด้านทรัพย์สินทางปัญญา ความร่วมมือด้านการเชื่อมโยงการขนส่ง ความร่วมมือด้านการธนาคาร ความร่วมมือด้านการลงทุน ความร่วมมือด้านแรงงาน ความร่วมมือด้านพลังงาน ความร่วมมือในกรอบอนุภูมิภาค ภูมิภาคและพหุภาคี และความร่วมมือด้านอื่น ๆ (ความร่วมมือด้านพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ ความร่วมมือด้าน SMEs ความร่วมมือด้านศุลกากร ความร่วมมือภาครัฐ – เอกชน ความร่วมมือด้านการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ และความมือด้านมาตรการเยียวยาทางการค้า) โดยการค้าระหว่างประเทศของเวียดนามและไทย ปี 2561 เวียดนามเป็นประเทศตลาดส่งออกอันดับ 1 ของไทยในอาเซียน ในขณะเดียวกันไทยเป็นตลาดส่งออกที่ใหญ่อันดับที่ 1 ของเวียดนามในอาเซียน โดยในปี 2560 การค้ารวมไทย-เวียดนาม มีมูลค่า 16,634.99 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งไทยเป็นฝ่ายเกินดุลการค้ามูลค่า 6,688.87 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สินค้าที่เวียดนามส่งออกมายังไทย ได้แก่ โทรศัพท์ โทรศัพท์มือถือและชิ้นส่วน น้ำมันดิบ คอมพิวเตอร์ ผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้า อะไหล่และส่วนประกอบ เครื่องจักร อุปกรณ์ เครื่องมือและส่วนประกอบ และยานพาหนะการขนส่งชิ้นส่วน อุปกรณ์และส่วนประกอบ และสินค้าที่เวียดนามนำเข้ามาจากไทย ได้แก่ น้ำมันทุกชนิด เครื่องใช้ไฟฟ้าและชิ้นส่วน รถยนต์ วัสดุพลาสติก ผักและผลไม้ และเครื่องจักร อุปกรณ์เครื่องมือและส่วนประกอบ
13. เรื่อง การขอความเห็นชอบต่อเอกสารผลลัพธ์การประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน ครั้งที่ 51 และการประชุมระดับรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) เสนอ ดังนี้
1. เห็นชอบต่อร่างเอกสารผลลัพธ์การประชุมที่เกี่ยวข้อง จำนวน 10 ฉบับ และหากมีความจำเป็นต้องแก้ไขร่างเอกสารในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญหรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของประเทศไทย ให้ กต. ดำเนินการได้ โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีก
2. ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายร่วมรับรองเอกสาร ทั้ง 10 ฉบับดังกล่าว
สาระสำคัญของเรื่อง
กต. รายงานว่า
1. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศจะไปร่วมประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน ครั้งที่ 51 และการประชุมระดับรัฐมนตรีอื่นที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ (1) การประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนกับประเทศคู่เจรจา (2) การประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนบวกสาม ครั้งที่ 19 (3) การประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศของการประชุมสุดยอดเอเชียตะวันออก ครั้งที่ 8 และ (4) การประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศของการประชุมอาเซียนว่าด้วยความร่วมมือด้านการเมืองและความมั่นคงในภูมิภาคเอเชีย – แปซิฟิก (ASEAN Regional Forum -ARF) ครั้งที่ 25 ระหว่างวันที่ 31 กรกฎาคม – 4 สิงหาคม 2561 ณ สาธารณรัฐสิงคโปร์ ซึ่งเป็นประธานอาเซียนในปีนี้
2. การประชุมดังกล่าวเป็นการแสดงเจตนารมณ์ของประเทศสมาชิกอาเซียนที่จะปฏิบัติให้เป็นไปตามวิสัยทัศน์ประชาคมอาเซียน ค.ศ. 2025 ทั้งนี้ ในช่วงการประชุมฯ จะมีการรับรองเอกสารผลลัพธ์การประชุมที่เกี่ยวข้อง จำนวน 10 ฉบับ ได้แก่ 1) ร่างแถลงการณ์ร่วมของการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน ครั้งที่ 51 เป็นการแสดงเจตนารมณ์ของประเทศสมาชิกอาเซียนที่จะส่งเสริมให้ประชาคมอาเซียนมีความเข้มแข็งและมีนวัตกรรม โดยมีประชาชนเป็นศูนย์กลาง ซึ่งจะดำเนินการภายใต้สามเสาหลักประชาคมอาเซียน ดังนี้ (1) ประชาคมการเมืองและความมั่นคงอาเซียน (2) ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (3) ประชาสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน (4) อื่น ๆ (ประเด็นนอกภูมิภาค) และ (5) การประชุมต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต 2) ร่างแถลงการณ์ของรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนและรัสเซียว่าด้วยความร่วมมือด้านความมั่นคงของเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารและการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร 3) ร่างแถลงการณ์ร่วมว่าด้วยการสนับสนุนสตรี สันติภาพ และความมั่นคงในการประชุมอาเซียนว่าด้วยความร่วมมือด้านการเมืองและความมั่นคงในภูมิภาคเอเชีย – แปซิฟิก (ARF) 4) ร่างแถลงการณ์การประชุมอาเซียนว่าด้วยความร่วมมือด้านการเมืองและความมั่นคงในภูมิภาคเอเชีย – แปซิฟิกว่าด้วยการเป็นหุ้นส่วนทางการบิน : ก้าวไปข้างหน้าด้วยกัน 5) ร่างแถลงการณ์การประชุมอาเซียนว่าด้วยความร่วมมือด้านการเมืองและความมั่นคงในภูมิภาคเอเชีย – แปซิฟิกว่าด้วยความร่วมมือในการจัดการภัยพิบัติ 6) ร่างรายการกิจกรรมที่เป็นทางการ (Track 1) สำหรับปีกิจกรรม ค.ศ. 2018 – 2019 ของการประชุมอาเซียนว่าด้วยความร่วมมือด้านการเมืองและความมั่นคงในภูมิภาคเอเชีย – แปซิฟิก 7) แผนงานการประชุมอาเซียนว่าด้วยความร่วมมือด้านการเมืองและความมั่นคงในภูมิภาคเอเชีย – แปซิฟิกด้านความมั่นคงทางทะเล ค.ศ. 2018 - 2020 8) แผนงานการประชุมอาเซียนว่าด้วยความร่วมมือด้านการเมืองและความมั่นคงในภูมิภาคเอเชีย – แปซิฟิกด้านการไม่แพร่ขยายและการลดอาวุธ 9) แผนงานการประชุมอาเซียนว่าด้วยความร่วมมือด้านการเมืองและความมั่นคงในภูมิภาคเอเชีย – แปซิฟิกด้านการทูตเชิงป้องกัน และ 10) แผนการประชุมอาเซียนว่าด้วยความร่วมมือด้านการเมืองและความมั่นคงในภูมิภาคเอเชีย – แปซิฟิกด้านการบรรเทาภัยพิบัติ ค.ศ. 2018 -2020
3. ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ การร่วมรับรองในเอกสารผลลัพธ์การประชุมฯ ดังกล่าว เป็นการแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นและความพร้อมของประเทศไทยในการสนับสนุนการดำเนินงานต่าง ๆ ในกรอบอาเซียน รวมทั้งเป็นการกระชับความสัมพันธ์กับประเทศคู่เจรจาในกรอบต่าง ๆ ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างและส่งเสริมผลประโยชน์ทางด้านความมั่นคงของประเทศไทย ตลอดจนร่วมกันแก้ไขปัญหาท้าทายที่มีผลกระทบต่อประเทศไทยและภูมิภาคในภาพรวมด้วย
14. เรื่อง การประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศกรอบความร่วมมือลุ่มน้ำโขง
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) เสนอ ดังนี้
1. เห็นชอบในหลักการต่อร่างเอกสารผลลัพธ์การประชุมที่เกี่ยวข้อง รวม 5 ฉบับ และหากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขร่างเอกสารดังกล่าวในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญหรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของไทย ให้ กต. ดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีกครั้ง
2. อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายให้เป็นหัวหน้า คณะผู้แทนไทยเข้าร่วมการประชุมรัฐมนตรีกรอบความร่วมมืออนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขงทั้ง 4 กรอบ เป็นผู้ร่วมให้ การรับรองร่างเอกสารดังกล่าว
สาระสำคัญของเรื่อง
กระทรวงการต่างประเทศได้นำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบในหลักการต่อร่างเอกสารผลลัพธ์การประชุม รวม 5 ฉบับ ประกอบด้วย 1) ร่างถ้อยแถลงประธานการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศลุ่มน้ำโขงกับญี่ปุ่น ครั้งที่ 11 (Draft Chair’s Statement of the 11th Mekong – Japan Foreign Ministers’ Meeting) 2) ร่างถ้อยแถลงร่วมการประชุมรัฐมนตรีกรอบความร่วมมือลุ่มน้ำโขง – คงคา ครั้งที่ 9 (Draft Joint Ministerial Statement for the 9th MGC Ministerial Meeting) 3) ร่างถ้อยแถลงประธานร่วมการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศลุ่มน้ำโขงกับสาธารณรัฐเกาหลี ครั้งที่ 8 (Draft Co-Chairs’ Statement of the Eighth Mekong-ROK Foreign Ministers’ Meeting) 4) ร่างถ้อยแถลงร่วมการประชุมรัฐมนตรีข้อริเริ่มลุ่มน้ำโขงตอนล่าง ครั้งที่ 11 (Eleventh Ministerial Meeting of the Lower Mekong Initiative: Draft Joint Statement) และ 5) ร่างถ้อยแถลงร่วมเพื่อสร้างความเข้มแข็งด้านการจัดการและแลกเปลี่ยนข้อมูลด้านน้ำในลุ่มน้ำโขงตอนล่าง (Draft Joint Statement to Strengthen Water Data Management and Information Sharing in the Lower Mekong) ซึ่งจะมีการรับรองโดยที่ประชุมรัฐมนตรีกรอบความร่วมมืออนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง ในช่วงการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน ครั้งที่ 51 ระหว่างวันที่ 2- 3 สิงหาคม 2561 ณ สาธารณรัฐสิงคโปร์ ซึ่งประกอบด้วยกรอบความร่วมมือต่าง ๆ รวม 4 กรอบความร่วมมือ ได้แก่ (1) ความร่วมมือลุ่มน้ำโขงกับญี่ปุ่น ครั้งที่ 11 (2) ความร่วมมือลุ่มน้ำโขง – คงคา ครั้งที่ 9 (3) ความร่วมมือลุ่มน้ำโขงกับสาธารณรัฐเกาเหลี ครั้งที่ 8 และ (4) ข้อริเริ่มลุ่มน้ำโขงตอนล่าง ครั้งที่ 11 ซึ่งกรอบความร่วมมือลุ่มน้ำโขงทั้ง 4 กรอบดังกล่าวจะเป็นเวทีที่ส่งเสริมความร่วมมือระหว่างประเทศในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขงกับหุ้นส่วนเพื่อการพัฒนานอกภูมิภาค ได้แก่ ญี่ปุ่น อินเดีย สาธารณรัฐเกาหลี และสหรัฐอเมริกา โดยมีเป้าประสงค์หลักเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน ลดความเหลื่อมล้ำของการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ การพัฒนาทางสังคม และส่งเสริมการรวมตัวเป็นประชาคมอาเซียนของอนุภูมิภาค โดยประเทศไทยเน้นการแสดงบทบาทนำในฐานะผู้ให้ ร่วมกับหุ้นส่วนเพื่อการพัฒนาของประเทศในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง ทั้งนี้ ความร่วมมือดังกล่าวจะช่วยส่งเสริมบทบาทของไทยในเรื่องการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ลดช่องว่างการพัฒนาระหว่างประเทศสมาชิก ซึ่งจะทำให้เศรษฐกิจประเทศไทยและประเทศเพื่อนบ้านเข้าสู่ห่วงโซ่มูลค่าในภูมิภาคและของโลก อันจะนำไปสู่การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ การพัฒนาทางสังคม การลดความเหลื่อมล้ำ และการพัฒนาที่ยั่งยืน
15. เรื่อง การให้เงินอุดหนุนแก่ศูนย์แพทย์ทหารอาเซียน
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเสนอ ให้กระทรวงกลาโหม (กห.) จ่ายเงินอุดหนุนแก่ศูนย์แพทย์ทหารอาเซียน (ศูนย์ฯ) เป็นประจำทุกปี ตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 เป็นต้นไป จำนวนปีละ 35,000 ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 1.22 ล้านบาท) โดยไม่ต้องเสนอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาเป็นรายปีอีก
สาระสำคัญของเรื่อง
การจ่ายเงินอุดหนุนดังกล่าวเป็นการปฏิบัติตามพันธกรณีของประเทศไทย ในความร่วมมือภายใต้กรอบการประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียน เพื่อการเสริมสร้างและพัฒนาความร่วมมือระหว่างหน่วยแพทย์ทหารของประเทศสมาชิกอาเซียน และเป็นไปตามผลการประชุมผู้บริหารศูนย์แพทย์ทหารอาเซียน ครั้งที่ 1 ระหว่างวันที่ 2-4 สิงหาคม 2559 ที่ได้กำหนดให้ประเทศสมาชิกอาเซียน (รวมประเทศไทย) ให้เงินอุดหนุนแก่ศูนย์แพทย์ทหารอาเซียนประเทศละ 35,000 ดอลลาร์สหรัฐ เป็นประจำทุกปี ตั้งแต่ พ.ศ. 2561 เป็นต้นไป (มีกำหนดให้ประเทศสมาชิกอาเซียนจ่ายเงินอุดหนุนครั้งแรกภายในปี 2561) โดยกระทรวงกลาโหมได้จัดเตรียมเงินอุดหนุนแก่ศูนย์แพทย์ทหารอาเซียนไว้แล้วในงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 และได้เสนอขอรับการสนับสนุนเงินอุดหนุนดังกล่าวไว้ในคำของบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 ไว้แล้ว ทั้งนี้ กระทรวงกลาโหมจะได้จัดทำคำของบประมาณดังกล่าวเป็นประจำทุกปี ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2563 เป็นต้นไป
แต่งตั้ง
16. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงการคลัง)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงการคลัง ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน 3 ราย ดังนี้
1. นายลวรณ แสงสนิท ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ดำรงตำแหน่ง ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง
2. นางสาววิไล ตันตินันท์ธนา ที่ปรึกษาด้านยุทธศาสตร์ภาษีสรรพสามิต (นักวิชาการสรรพสามิตทรงคุณวุฒิ) กรมสรรพสามิต ดำรงตำแหน่ง ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง
3. นายบุญชัย จรัสแสงสมบูรณ์ ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจระหว่างประเทศ (เศรษฐกรทรงคุณวุฒิ) สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ดำรงตำแหน่ง ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง
ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2561 เป็นต้นไป เพื่อทดแทนผู้ที่จะเกษียณอายุราชการ และสับเปลี่ยนหมุนเวียน ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป
17. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงคมนาคม)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอแต่งตั้ง นายสมัย โชติสกุล รองอธิบดีกรมทางหลวงชนบท ให้ดำรงตำแหน่ง ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงคมนาคม ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง
18. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงมหาดไทย)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอแต่งตั้ง นายสุธี ทองแย้ม รองผู้ว่าราชการจังหวัดอุดรธานี สำนักงานปลัดกระทรวง ให้ดำรงตำแหน่ง ที่ปรึกษาด้านการปกครอง (นักวิเคราะห์นโยบายและแผนทรงคุณวุฒิ) สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงมหาดไทย ตั้งแต่วันที่ 23 มีนาคม 2561 ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี