6 ส.ค.61 นายนิสิต จันทร์สมวงศ์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย (มท.) ในฐานะโฆษก มท.เปิดเผยว่า จากที่กรมอุตุนิยมวิทยาได้มีประกาศเตือนภัยลักษณะอากาศว่าในช่วงต้นเดือน ส.ค.จะเกิดคลื่นลมแรงบริเวณภาคใต้ และฝนตกหนักบริเวณประเทศไทย จะมีฝนเพิ่มขึ้นและมีฝนตกหนักบางแห่งทั่วทุกภาคของประเทศ อาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก น้ำล้นตลิ่ง และดินโคลนถล่ม อีกทั้งบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยตอนบนจะมีคลื่นสูง 2 - 4 เมตร ขอให้ชาวเรือเดินเรือด้วยความระมัดระวัง และเรือเล็กควรงดออกจากฝั่งในช่วงเวลาดังกล่าวนั้น
ทั้งนี้ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย ในฐานะผู้บัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ จึงได้สั่งการให้ผู้ว่าราชการจังหวัดทั่วประเทศ ดำเนินการตามแนวทางการเตรียมความพร้อม และแนวทางเผชิญเหตุ ดังนี้
ด้านการเตรียมความพร้อม
1.เพิ่มประสิทธิภาพการแจ้งเตือนภัยสู่ประชาชนในทุกช่องทางทั้งที่เป็นทางการและไม่เป็นทางการ เช่น สื่อสังคมออนไลน์ วิทยุชุมชน วิทยุภาคเอกชน หอกระจายข่าวประจำหมู่บ้าน เครือข่ายอาสาสมัคร อปพร. มิสเตอร์เตือนภัย กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ต้องให้ความสำคัญในการส่งข้อมูลการแจ้งเตือนถึงประชาชน อย่างรวดเร็ว ต่อเนื่อง และทั่วถึง โดยประชาชนต้องรับทราบข้อมูลการปฏิบัติงาน การเตรียมความพร้อมของภาครัฐ ช่องทางการรับข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้อง แนวทางการปฏิบัติตนของประชาชนให้เกิดความปลอดภัย และช่องทางการแจ้งข้อมูลการขอรับความช่วยเหลือบรรเทาทุกข์จากภาครัฐและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
2.ตั้งคณะทำงานติดตามสถานการณ์ขึ้นในส่วนอำนวยการของศูนย์บัญชาการเหตุการณ์จังหวัด เพื่อทำหน้าที่ติดตามสถานการณ์ทางด้านสภาวะอากาศและการจัดการน้ำ ซึ่งอย่างน้อยต้องมีองค์ประกอบจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ ได้แก่ หน่วยงานด้านอุตุนิยมวิทยา สำนักงานเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำและการเกษตร (องค์การมหาชน) หน่วยงานด้านอุทกวิทยา ประกอบด้วย กรมทรัพยากรน้ำ และกรมชลประทาน หน่วยงานด้านธรณีวิทยา องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น สถาบันการศึกษาที่มีผู้เชี่ยวชาญ และเครือข่ายด้านการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เพื่อทำหน้าที่ติดตาม วิเคราะห์ และประเมินสถานการณ์สภาวะอากาศ สภาพน้ำท่า น้ำหลาก และคลื่นลมในทะเลในพื้นที่ตลอด 24 ชั่วโมง โดยเมื่อประเมินแล้วเห็นว่ามีแนวโน้มสูงที่จะเกิดสาธารณภัยขึ้นในพื้นที่ ให้เสนอผู้มีอำนาจตามกฎหมายดำเนินการสั่งอพยพประชาชนออกจากพื้นที่เสี่ยงภัยไปอยู่ในจุดปลอดภัยในทันที และสามารถแจ้งเตือนภัยสู่ประชาชนได้ก่อนที่จะเกิดสถานการณ์ในพื้นที่
3.กำหนดจุดพื้นที่ปลอดภัย ด้วยการจัดเตรียมวัสดุอุปกรณ์ เครื่องมือ เต็นท์สนาม ให้มีความพร้อมในการอพยพประชาชนก่อนที่จะเกิดสถานการณ์ในพื้นที่ โดยพิจารณากำหนดสถานที่ที่มีความปลอดภัยสูง เพื่อจัดตั้งเป็นศูนย์พักพิงชั่วคราวที่มีความปลอดภัยจากสถานการณ์น้ำท่วมขัง สถานการณ์น้ำป่าไหลหลากในพื้นที่เชิงเขาหรือพื้นที่ลาดเอียง สถานการณ์ดินถล่มในพื้นที่เชิงเขา สถานการณ์คลื่นลมแรงในพื้นที่ริมทะเล
4.ในพื้นที่ติดชายฝั่งทะเลให้วางมาตรการร่วมกับหน่วยงานที่มีหน้าที่กำกับดูแลด้านการคมนาคมทางทะเลและการท่องเที่ยว เพื่อให้มีมาตรการในการประกาศห้ามการเดินเรือออกจากหรือเข้ามายังฝั่ง ในกรณีที่มีการฝ่าฝืนประกาศ หรือคำสั่งของทางราชการ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กรมเจ้าท่า กองทัพเรือ ตำรวจน้ำ และหน่วยกู้ภัย ร่วมกันกำหนดแนวทางวิธีการและระบบในการบังคับควบคุมนำเรือที่ฝ่าฝืนซึ่งอยู่ในภาวะเสี่ยงภัยกลับเข้าสู่ฝั่ง หากมีการฝ่าฝืนให้ดำเนินการทางกฎหมายในทุกกรณี และสำหรับจังหวัดที่มีสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติโดยเฉพาะถ้ำ น้ำตก ถ้ำลอด หากมีความเสี่ยงที่จะเกิดภัย ให้สั่งการหน่วยงานที่รับผิดชอบประกาศแจ้งเตือนและปิดกั้นพื้นที่ห้ามนักท่องเที่ยวหรือบุคคลใดเข้าพื้นที่โดยเด็ดขาด พร้อมทั้งจัดเจ้าหน้าที่เฝ้าระวังพื้นที่เสี่ยงดังกล่าวตลอด 24 ชั่วโมง
ด้านการเผชิญเหตุ ให้ยึดแนวทางการจัดการสาธารณภัยตามแผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ และกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยในการจัดการภาวะฉุกเฉิน โดยจัดระบบและโครงสร้างศูนย์บัญชาการเหตุการณ์จังหวัด อำเภอ และศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ที่มีการแบ่งมอบภารกิจและผู้รับผิดชอบให้ชัดเจนตามสถานการณ์ความรุนแรงและความซับซ้อนของภัย โดยกำหนดให้มีกลไกของศูนย์ประสานการปฏิบัติ ศูนย์ข้อมูลประชาสัมพันธ์ร่วม กลุ่มที่ปรึกษา/ผู้เชี่ยวชาญ ส่วนปฏิบัติการ ส่วนอำนวยการ และส่วนสนับสนุน เพื่อให้เกิดเอกภาพและประสิทธิภาพในการควบคุมสั่งการ โดยในการเผชิญเหตุ ให้ทุกจังหวัดให้ความสำคัญกับการประกาศพื้นที่ประสบสาธารณภัยตามแผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ เมื่อเกิดอุทกภัยในพื้นที่เป็นลำดับแรก และกำหนดขั้นตอน วิธีการที่เป็นรูปธรรมชัดเจนใน 4 ด้าน ได้แก่
1.ด้านการสื่อสาร ด้วยการจัดระบบการสื่อสารระหว่างหน่วยงานภาครัฐ หน่วยทหาร เอกชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เครือข่ายด้านการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยให้มีประสิทธิภาพ และเพิ่มช่องทางและระบบการสื่อสารกับประชาชน โดยจัดให้มีช่องทางที่สามารถติดต่อสื่อสารกับประชาชนได้อย่างต่อเนื่อง เพื่อใช้สำหรับการแจ้งข้อมูลข่าวสาร การรับเรื่องราวร้องทุกข์ การขอรับความช่วยเหลือในด้านต่างๆ จากประชาชน
2.ด้านการดำรงชีพและการบรรเทาทุกข์ ให้จัดเตรียมคลังเสบียงอาหารให้มีความพร้อมในการจัดตั้งครัวสนาม โรงครัวเคลื่อนที่ เพื่อช่วยเหลือด้านการดำรงชีพ อาหาร น้ำดื่ม แก่ประชาชนได้ทันที ทั้งนี้ หากพื้นที่ใดมีการจัดตั้งโรงครัวพระราชทานขึ้น ให้บูรณาการทุกหน่วยงานร่วมดำเนินการภายใต้โรงครัวพระราชทานให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อยและโปร่งใส โดยมอบหมายผู้รับผิดชอบดูแลการดำเนินการดังกล่าวอย่างชัดเจน
3.การจัดการทรัพยากรด้านการคมนาคมขนส่ง ให้ปรับปรุงทะเบียนเครื่องจักรกลของจังหวัดให้เป็นปัจจุบัน โดยระบุหน่วยงานที่รับผิดชอบ การติดต่อประสานงาน ผู้มีอำนาจสั่งการเคลื่อนย้ายยานพาหนะเครื่องจักรกลดังกล่าว เพื่อให้สามารถใช้ในการจัดการสถานการณ์ได้อย่างรวดเร็ว
4.การจัดตั้งศูนย์ข้อมูลประชาสัมพันธ์ร่วม ให้เป็นศูนย์ข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้อง รวดเร็ว สามารถใช้เป็นจุดประสานข้อมูลสถานการณ์ร่วมกันของทุกหน่วยงาน และเพื่อให้การสื่อสารประชาสัมพันธ์ข้อมูลให้กับประชาชนและสื่อมวลชนเป็นไปอย่างถูกต้อง ชัดเจน อีกทั้งสามารถใช้เป็นช่องทางหนึ่งในการที่ประชาชนจะแจ้งขอรับความช่วยเหลือจากภาครัฐได้ด้วย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี