20 ส.ค.61 ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตเลขาธิการ กปปส. และผู้ร่วมก่อตั้งพรรครวมพลังประชาชาติไทย(รปช.) ในฐานะอดีตรองนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยนายทวีศักดิ์ ณ ตะกั่วทุ่ง นายสวัสดิ์ เจริญผล และนายสุพจน์ สุธรรม ทนายความเดินทางมาให้ถ้อยคำกรณีที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) ตั้งข้อกล่าวหาปฎิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือโดยทุจริตโครงการก่อสร้างสถานีตำรวจหรือโรงพักทดแทน 396 แห่ง
โดยนายสุเทพ ให้สัมภาษณ์ก่อนให้ถ้อยคำว่า ตนได้เตรียมเอกสารชุดเดิมจำนวน 94 หน้า ซึ่งเป็นเอกสารชุดเดียวกับที่ได้เคยนำเสนอต่อคณะอนุกรรมการป.ป.ช. เมื่อวันที่ 15 มิ.ย.2558 ที่ผ่านมา เพื่อนำมายืนยื่นประกอบกับคำชี้แจงของตนเองในครั้งนี้ ส่วนการชี้มูลความผิดก็ขึ้นอยู่กับคณะอนุกรรมการป.ป.ช. แต่ตนมั่นใจว่าการกระทำของตนนั้นไม่มีความผิด ที่ผ่านมาตนทำงานตามขั้นตอนและมีหลักฐานเอกสารทุกอย่างยืนยันความบริสุทธิ์ได้
ส่วนกรณีที่มีการระบุว่ามีการฮั้วประมูลเพื่อให้บางบริษัทได้รับการประมูลนั้น เรื่องนี้คณะอนุกรรมการป.ป.ช.มีอคติ เพราะถ้าอ่านข้อมูลเอกสารทั้งหมดคนธรรมดาก็เข้าใจได้ ไม่ต้องเป็นนักกฎหมาย อยากบอกว่าสิ่งที่ป.ป.ช.แถลงเมื่อวันที่ 15 ส.ค.ที่ผ่านมาทำให้สังคมเข้าใจผิด และตนได้รับความเสียหาย ป.ป.ช.เคยพูดเช่นนี้มาหลายครั้ง และตนก็เคยชี้แจงมาหลายรอบ แต่เรื่องก็ยังไม่ยุติ ดังนั้นจึงต้องออกมาชี้เเจงความชัดเจนอีกครั้งเพื่อให้ทุกฝ่ายได้มีความเข้าใจ
นายสุเทพ กล่าวว่า ส่วนบริษัทที่ชนะการประมูลดำเนินการสร้างโรงพักทดแทน 396 แห่ง ไม่เสร็จทันตามกำหนด ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องของการทำสัญญาการประมูล เพราะเรื่องการทำสัญญาประมูล ดำเนินการตามระเบียบของสำนักนายกรัฐมนตรีทุกขั้นตอนและถูกต้อง ส่วนขั้นตอนการก่อสร้างเป็นหน้าที่ของผู้ควบคุมกำกับตามเวลา ซึ่งตนไม่รู้ว่าใครเป็นผู้รับผิดชอบในเรื่องของการควบคุมการก่อสร้าง
"การอนุมัติ การจัดซื้อจัดจ้าง การเปลี่ยนแปลงวิธีการประมูล และการทำสัญญา ทำถูกต้องตามกฎหมาย ไม่มีความเกี่ยวข้องกับเรื่องของการก่อสร้างว่าจะเสร็จหรือไม่เสร็จ" นายสุเทพกล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่า มีข้อสงสัยเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงการประมูลแบบรายภาคมาเป็นการรวมศูนย์ นายสุเทพ กล่าวว่า เคยชี้แจงไปแล้วหลายรอบว่า ตอนที่อนุมัติครั้งแรกเป็นการพิจาณาตามที่ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ อดีตผบ.ตร. เป็นผู้เสนอมา ซึ่งตนเห็นว่ามีเหตุผลเรื่องของการแยกสัญญาออกเป็น 9 ภาค จึงอนุมัติให้ดำเนินการ
แต่ต่อมาในสมัยของพล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ เป็นผบ.ตร. ได้เสนอแก้ไขสัญญาว่าจ้างใหม่ ให้เป็นไปตามกฎหมายงบประมาณ ปี 2553 ที่ออกมาหลังจากที่ได้มีการอนุมัติโครงการครั้งแรกไปแล้ว โดยระบุว่าหากเป็นโครงการเดียวกันไม่สามารถแยกเป็นหลายสัญญาได้ จึงเป็นที่มาของการเปลี่ยนแปลงแก้ไขสัญญาใหม่ ให้ถูกต้องตามระเบียบงบประมาณ ปี 2553 ซึ่งทุกโครงการก็ทำตามระเบียบดังกล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี