21 ส.ค.61 เวลา 12.00 น. ณ ห้องประชุมชั้น 4 อาคารคณะวิศวกรรมศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) วิทยาเขตชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ ต.ชุมโค อ.ปะทิว จ.ชุมพร พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ครั้งที่ 6/2561 ภายหลังเสร็จสิ้นการประชุม พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้แถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรี ซึ่งสรุปสาระสำคัญดังนี้
กฎหมาย
1.เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติการจัดประชารัฐสวัสดิการเพื่อเศรษฐกิจฐานรากและสังคม พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและรับทราบ ดังนี้
1. เห็นชอบร่างพระราชบัญญัติการจัดประชารัฐสวัสดิการเพื่อเศรษฐกิจฐานรากและสังคม พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว และให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป
2. รับทราบคำชี้แจงข้อสังเกตของคณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ 12) ของกระทรวงการคลัง
3. ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์รับข้อสังเกตของคณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ 12) ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
สาระสำคัญของร่างพระราชบัญญัติ
1. กำหนดบทนิยามคำว่า “ประชารัฐสวัสดิการ” และ “โครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ” เพื่อให้เกิดความชัดเจนและสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของการใช้จ่ายเงินของกองทุนฯ
2. กำหนดให้มีคณะกรรมการประชารัฐสวัสดิการเพื่อเศรษฐกิจฐานรากและสังคม ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเป็นประธานกรรมการ เสนอแผนการดำเนินงานมาตรการ หรือโครงการเกี่ยวกับประชารัฐสวัสดิการสำหรับผู้มีรายได้น้อยที่ลงทะเบียนตามโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ และพิจารณาการสนับสนุนโครงการที่ให้บริการทางสังคมผ่านหน่วยงานของเอกชนมูลนิธิ และองค์กรสาธารณประโยชน์ สำหรับช่วยเหลือประชาชนในภาวะลำบากทุกประเภทต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อให้ความเห็นชอบ รวมทั้งกำหนดองค์ประกอบของคณะกรรมการ คุณสมบัติ และลักษณะต้องห้ามของกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ วาระการดำรงตำแหน่ง การพ้นจากตำแหน่ง และการประชุมของคณะกรรมการและคณะอนุกรรมการ
3. กำหนดให้คณะกรรมการกำหนดผู้รับผิดชอบในการดำเนินงาน ประมาณการรายจ่ายและประโยชน์ที่จะได้รับ รวมทั้งวิเคราะห์ผลกระทบจากการดำเนินโครงการตามมาตรา 8 (1) และ (2) เพื่อประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรีด้วย
4. กำหนดให้การจัดประชารัฐสวัสดิการที่เป็นการให้ความช่วยเหลือโดยการสนับสนุนค่าใช้จ่ายบางส่วนที่จำเป็นในการดำรงชีพ ให้ดำเนินการผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ทั้งนี้ การจัดประชารัฐสวัสดิการตามมาตรานี้อาจแตกต่างกันตามความเหมาะสมและความจำเป็น โดยให้กระทรวงการคลัง (กค.) ออกบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ รวมทั้งให้คณะกรรมการกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการในการออกและการใช้บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ
5. กำหนดให้สำนักงานปลัดกระทรวงการคลังเป็นสำนักงานเลขานุการ และรับผิดชอบงานธุรการของคณะกรรมการประชารัฐสวัสดิการเพื่อเศรษฐกิจฐานรากและสังคม
6. กำหนดให้จัดตั้งกองทุนประชารัฐสวัสดิการเพื่อเศรษฐกิจฐานรากและสังคมในสำนักงานปลัดกระทรวงการคลัง มีวัตถุประสงค์เพื่อใช้จ่ายในการจัดประชารัฐสวัสดิการ ในการให้ความช่วยเหลือประชาชนผู้มีรายได้น้อยและการสนับสนุนโครงการให้บริการทางสังคมผ่านหน่วยงาน มูลนิธิ และองค์กรสาธารณประโยชน์ และกำหนดเงินและทรัพย์สินของกองทุน การใช้จ่ายเงินของกองทุน รวมทั้งการเก็บรักษาเงินของกองทุน
7. กำหนดบทบัญญัติเกี่ยวกับการรับจ่ายเงิน การบัญชี และการตรวจสอบภายในของกองทุน
8. กำหนดบทบัญญัติเกี่ยวกับการยุบเลิกกองทุน และการตรวจสอบทรัพย์สินและชำระบัญชี
9. กำหนดบทเฉพาะกาลเพื่อรองรับการโอนบรรดาเงิน ทรัพย์สิน สิทธิ หนี้สิน และภาระผูกพัน ที่เกี่ยวเนื่องกับกองทุนประชารัฐเพื่อเศรษฐกิจฐานราก คณะกรรมการบริหารกองทุนประชารัฐเพื่อเศรษฐกิจฐานราก การจัดทำโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ และการให้ความช่วยเหลือผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และข้อบังคับคณะกรรมการบริหารกองทุนประชารัฐเพื่อเศรษฐกิจฐานราก ว่าด้วยการบริหารกองทุนประชารัฐเพื่อเศรษฐกิจฐานราก พ.ศ. 2560
2.เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. (แก้ไขเพิ่มเติมหลักเกณฑ์การวินิจฉัยปัญหาโดยที่ประชุมใหญ่และที่ประชุมแผนกคดีในศาลชั้นอุทธรณ์และศาลฎีกา) และร่างพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการศาลยุติธรรม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. (แก้ไขเพิ่มเติมอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการบริหารศาลยุติธรรมเพื่อออกระเบียบกำหนดเบี้ยประชุมสำหรับข้าราชการตุลาการซึ่งเข้าร่วมการประชุมใหญ่ในศาลชั้นอุทธรณ์หรือศาลฎีกา) รวม 2 ฉบับ
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและรับทราบ ดังนี้
1. เห็นชอบร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. (แก้ไขเพิ่มเติมหลักเกณฑ์การวินิจฉัยปัญหาโดยที่ประชุมใหญ่และที่ประชุมแผนกคดีในศาลชั้นอุทธรณ์และศาลฎีกา) และร่างพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการศาลยุติธรรม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. (แก้ไขเพิ่มเติมอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการบริหารศาลยุติธรรมเพื่อออกระเบียบกำหนดเบี้ยประชุมสำหรับข้าราชการตุลาการซึ่งเข้าร่วมการประชุมใหญ่ในศาลชั้นอุทธรณ์หรือศาลฎีกา) รวม 2 ฉบับ ของสำนักงานศาลยุติธรรม ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว และให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป
2. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลาและกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรอง ซึ่งต้องออกตามร่างพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการศาลยุติธรรม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (แก้ไขเพิ่มเติมอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการบริหารศาลยุติธรรมเพื่อออกระเบียบกำหนดเบี้ยประชุมสำหรับข้าราชการตุลาการซึ่งเข้าร่วมการประชุมใหญ่ในศาลชั้นอุทธรณ์หรือศาลฎีกา) ตามที่สำนักงานศาลยุติธรรมเสนอ
สาระสำคัญของร่างพระราชบัญญัติ
1. ร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ..)
พ.ศ. ….
1.1 กำหนดให้ภายใต้บทบัญญัติมาตรา 13 ถ้าคำพิพากษาหรือคำสั่งจะต้องทำโดยผู้พิพากษาหลายคน คำพิพากษาหรือคำสั่งนั้นจะต้องบังคับตามความเห็นของฝ่ายข้างมาก
ในศาลชั้นอุทธรณ์หรือศาลฎีกา ประธานศาลชั้นอุทธรณ์หรือศาลฎีกาจะให้มีการวินิจฉัยปัญหาใดในคดีเรื่องใดโดยที่ประชุมใหญ่หรือที่ประชุมแผนกคดีก็ได้ หรือถ้ามีกฎหมายกำหนดให้วินิจฉัยปัญหาใดหรือคดีเรื่องใดโดยที่ประชุมใหญ่หรือที่ประชุมแผนกคดีก็ให้วินิจฉัยได้ แล้วแต่กรณี
ในคดีซึ่งที่ประชุมใหญ่หรือที่ประชุมแผนกคดีได้วินิจฉัยปัญหาแล้ว คำพิพากษาหรือคำสั่งต้องเป็นไปตามคำวินิจฉัยของที่ประชุมใหญ่หรือที่ประชุมแผนกคดี และต้องระบุด้วยว่าปัญหาข้อใดได้วินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่หรือที่ประชุมแผนกคดีผู้พิพากษาที่เข้าประชุม แม้มิใช่เป็นผู้นั่งพิจารณา ก็ให้มีอำนาจพิพากษาหรือทำคำสั่งในคดีนั้นได้ และเฉพาะในศาลชั้นอุทธรณ์ให้ทำความเห็นแย้งพร้อมเหตุผลไว้ด้วย
1.2 กำหนดบทเฉพาะกาลเพื่อรองรับว่าพระราชบัญญัตินี้ไม่มีผลกระทบถึงกระบวนพิจารณาของศาลที่ได้กระทำไปแล้วก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ
2. ร่างพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการศาลยุติธรรม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. กำหนดให้คณะกรรมการบริหารศาลยุติธรรมมีอำนาจหน้าที่ในการออกระเบียบกำหนดเบี้ยประชุมสำหรับข้าราชการตุลาการซึ่งเข้าร่วมการประชุมใหญ่ในศาลชั้นอุทธรณ์หรือศาลฎีกา
3.เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอว่า
1. มาตรา 13 แห่งพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี พ.ศ. 2546 ได้กำหนดให้คณะรัฐมนตรีจัดให้มีแผนการบริหารราชการแผ่นดินตลอดระยะเวลาการบริหารราชการของคณะรัฐมนตรี เป็นแผน 4 ปี โดยนำนโยบายของรัฐบาลที่แถลงต่อรัฐสภามาพิจารณาดำเนินการให้สอดคล้องกับแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และแผนพัฒนาประเทศด้านต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง และกำหนดให้หน่วยงานต่าง ๆ ต้องจัดทำแผนปฏิบัติราชการทั้งแผน 4 ปี และแผนรายปี รวมทั้งต้องจัดทำแผนนิติบัญญัติขึ้นด้วย
2. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 ได้กำหนดให้รัฐจัดให้มียุทธศาสตร์ชาติเป็นเป้าหมายในการบริหารประเทศอย่างยั่งยืนตามหลักธรรมาภิบาล เพื่อใช้เป็นกรอบในการจัดทำแผนต่าง ๆ ให้สอดคล้องและบูรณาการกันเพื่อให้เกิดเป็นพลังผลักดันร่วมกันไปสู่เป้าหมายดังกล่าว และต่อมาได้มีการตราพระราชบัญญัติการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติ พ.ศ. 2560 และพระราชบัญญัติแผนและขั้นตอนการดำเนินการปฏิรูปประเทศ พ.ศ. 2560 ขึ้น ซึ่งตามกฎหมายดังกล่าวได้กำหนดให้มีการจัดทำกรอบในการบริหารราชการแผ่นดินไว้ในรูปยุทธศาสตร์ชาติ ซึ่งทุกหน่วยงานต้องปฏิบัติตาม ประกอบกับได้มีการจัดทำแผนการปฏิรูปประเทศ เพื่อเป็นกลไก วิธีการ และขั้นตอนการดำเนินการปฏิรูปประเทศในด้านต่าง ๆ ขึ้นแล้ว
3. สำนักงานก.พ.ร. ได้พิจารณาทบทวนความเหมาะสมของพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี พ.ศ. 2546 ตามหลักเกณฑ์ที่บัญญัติไว้ในพระราชกฤษฎีกาการทบทวนความเหมาะสมของกฎหมาย พ.ศ. 2558 ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการจัดทำแผนการบริหารราชการแผ่นดิน แผนปฏิบัติราชการ และแผนนิติบัญญัติ แล้ว เห็นว่า การจัดทำยุทธศาสตร์ชาติ แผนแม่บท และแผนและขั้นตอนการปฏิรูปประเทศตามพระราชบัญญัติการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติ พ.ศ. 2560 และพระราชบัญญัติแผนและขั้นตอนการดำเนินการปฏิรูปประเทศ พ.ศ. 2560 มีเป้าหมายที่ชัดเจน และมีความต่อเนื่องอย่างเป็นระบบและชัดเจนกว่ามาตรการตามที่กำหนดไว้ในพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี พ.ศ. 2546 ดังนั้น จึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องจัดทำแผนการบริหารราชการแผ่นดิน แผนปฏิบัติราชการ 4 ปี และแผนนิติบัญญัติอีกต่อไป สมควรยกเลิกการจัดทำแผนการบริหารราชการแผ่นดิน แผนปฏิบัติราชการ 4 ปี และแผนนิติบัญญัติ และแก้ไขเพิ่มเติมหลักเกณฑ์การจัดทำแผนปฏิบัติราชการประจำปี ให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ แผนการปฏิรูปประเทศ และแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ รวมทั้งสมควรกำหนดให้การบริการประชาชนและการประสานงานระหว่างส่วนราชการต้องกระทำโดยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อให้สอดคล้องกับการปฏิรูปประสิทธิภาพในการทำงานของระบบราชการตามรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน
สาระสำคัญของร่างพระราชกฤษฎีกา
1. ให้ยกเลิกการจัดทำแผนการบริหารราชการแผ่นดิน แผนปฏิบัติราชการ 4 ปี และแผนนิติบัญญัติตามหลักเกณฑ์ที่บัญญัติไว้ในพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี พ.ศ. 2546
2. แก้ไขเพิ่มเติมหลักเกณฑ์การจัดทำแผนปฏิบัติราชการประจำปีให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ แผนการปฏิรูปประเทศ และแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
3. กำหนดให้การบริการประชาชนและการประสานงานระหว่างส่วนราชการด้วยกัน ต้องกระทำโดยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์โดยใช้แพลตฟอร์มอิเล็กทรอนิกส์กลางที่สำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) กำหนด
4.เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการขอและการออกใบอนุญาตขับรถ และการขอต่ออายุและการอนุญาตให้ต่ออายุใบอนุญาตขับรถ พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการขอและการออกใบอนุญาตขับรถ และการขอต่ออายุและการอนุญาตให้ต่ออายุใบอนุญาตขับรถ พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงคมนาคม (คค.) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
คค. ได้รับรายงานจากกรมการขนส่งทางบกว่า
1. กฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการขอและการออกใบอนุญาตขับรถ และการขอต่ออายุและการอนุญาตให้ต่ออายุใบอนุญาตขับรถ พ.ศ. 2548 ยังมีความไม่เหมาะสม เนื่องจากการตรวจสุขภาพเพื่อออกใบรับรองแพทย์สำหรับใช้เป็นหลักฐานประกอบการขอรับใบอนุญาตขับรถตามกฎหมายว่าด้วยรถยนต์ เป็นการตรวจเบื้องต้นว่าบุคคลนั้นไม่เป็นผู้ทุพพลภาพ ไร้ความสามารถ จิตฟั่นเฟือนไม่สมประกอบ และไม่เป็นโรค 5 โรค ได้แก่ โรคเรื้อนในระยะติดต่อหรือระยะที่ปรากฏอาการเป็นที่น่ารังเกียจแก่สังคม วัณโรคในระยะอันตราย โรคเท้าช้างในระยะที่ปรากฏอาการอันเป็นที่น่ารังเกียจแก่สังคม ติดยาเสพติดให้โทษ และโรคพิษสุราเรื้อรัง เท่านั้น ใบรับรองแพทย์ดังกล่าว จึงไม่สามารถคัดกรองบุคคลในการขับขี่รถ อันส่งผลให้ไม่สามารถช่วยลดอุบัติเหตุหรือสร้างความปลอดภัยให้ผู้ขับขี่และผู้ใช้รถบนถนนได้ อีกทั้งโรคที่เป็นสาเหตุก่อให้เกิดอุบัติเหตุไม่ได้ถูกนำมาอยู่ในรายการตรวจสุขภาพ และยังปรากฏข้อเท็จจริงอีกว่า ผู้มายื่นขอรับใบอนุญาตขับรถหรือต่ออายุใบอนุญาตขับรถบางรายมีสภาพจิตใจ หรือบุคลิกภาพที่ไม่ถึงขั้นวิกลจริตหรือจิตฟั่นเฟือน แต่มีความปกติทางอารมณ์ที่ไม่เหมาะสมจะอนุญาตให้เป็นผู้ขับรถได้
2. นอกจากนี้ ปัจจุบันมีผู้นิยมใช้รถจักรยานยนต์ที่มีกำลังสูง (Big Bike) ซึ่งรถดังกล่าวมีสมรรถนะด้านความเร็วสูง การควบคุมรถกระทำได้ยากกว่ารถจักรยานยนต์ทั่วไป หากผู้ขับขี่ไม่ได้รับการอบรมในการขับขี่ที่ถูกต้อง ย่อมมีโอกาสที่จะเกิดอุบัติเหตุอันนำไปสู่การบาดเจ็บและสูญเสียชีวิตและทรัพย์สินทั้งต่อตนเองและผู้อื่น
3. ดังนั้น จึงมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขกฎกระทรวงฯ พ.ศ. 2548 โดยปรับปรุงหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการขอและการออกใบอนุญาตขับรถ และการขอต่ออายุและการอนุญาตให้ต่ออายุใบอนุญาตขับรถเพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว โดยพัฒนาใบรับรองแพทย์ให้เพิ่มกลุ่มโรคที่เป็นอันตรายในขณะขับรถ หรือการกำหนดให้แพทย์ผู้ออกใบรับรองแพทย์ต้องทำการซักประวัติและให้ผู้นั้นยืนยันความสมบูรณ์ปราศจากโรคที่เป็นอันตรายขณะขับรถ รวมทั้งควรเพิ่มเติมข้อกำหนดให้อำนาจนายทะเบียนในการใช้ดุลยพินิจให้ผู้ขออนุญาตเข้ารับการตรวจและนำใบรับรองแพทย์มายืนยันความเหมาะสมในการขับรถได้ด้วย
สาระสำคัญของร่างกฎกระทรวง
1. ให้ยกเลิกกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการขอและการออกใบอนุญาตขับรถ และการขอต่ออายุและการอนุญาตให้ต่ออายุใบอนุญาตขับรถ พ.ศ. 2548
2. ปรับปรุงหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการขอและการออกใบอนุญาตขับรถ และการขอต่ออายุและการอนุญาตให้ต่ออายุใบอนุญาตขับรถ ดังนี้
2.1 ปรับปรุงเอกสารหลักฐานประกอบคำขอรับใบอนุญาตขับรถ
2.2 กำหนดเพิ่มเติมให้ใบรับรองแพทย์ที่จะนำมาใช้ประกอบการขอ หรือต่อใบอนุญาตขับรถส่วนบุคคลต้องแสดงให้เห็นว่า ผู้ขอนอกจากไม่มีโรคประจำตัวแล้ว ยังไม่มีสภาวะของโรคที่ผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมเห็นว่า อาจเป็นอันตรายขณะขับรถ
2.3 กำหนดให้การขอต่อใบอนุญาตขับรถทุกกรณีต้องใช้ใบรับรองแพทย์ โดยใบรับรองแพทย์มีอายุใช้ได้ตามที่แพทย์ผู้รับรองกำหนด แต่หากแพทย์ไม่ได้กำหนดอายุไว้ ให้ใช้ได้ไม่เกิน 1 เดือน นับแต่วันที่ออกใบรับรองแพทย์
2.4 เพิ่มเติมอำนาจนายทะเบียนในการสั่งให้ผู้ขอรับหรือขอต่อใบอนุญาตขับรถต้องเข้ารับการตรวจ และนำใบรับรองแพทย์มายืนยันความเหมาะสมในการขับรถเป็นหลักฐานประกอบการดำเนินการ
2.5 ยกเลิกการใช้บัตรอื่นที่ใช้แทนบัตรประจำตัวประชาชน ภาพถ่ายบัตรประจำตัวประชาชน ภาพถ่ายบัตรอื่นที่ใช้แทนบัตรประจำตัวประชาชน และภาพถ่ายหรือสำเนาทะเบียนบ้านเป็นหลักฐานประกอบคำขอรับใบอนุญาตขับรถ
2.6 เพิ่มเติมให้สามารถนำหลักฐานที่ออกโดยหน่วยงานที่กรมการขนส่งทางบกมอบหมายให้ดำเนินการอบรมมาใช้ประกอบการขอรับใบอนุญาตขับรถได้
2.7 เพิ่มเติมข้อกำหนดให้ผู้ที่ประสงค์จะขับรถจักรยานยนต์ที่มีกำลังสูง (Big Bike) ต้องผ่านการอบรมและทดสอบการขับรถตามที่อธิบดีประกาศกำหนดเป็นการเพิ่มเติม
2.8 กำหนดให้ใบอนุญาตเป็นผู้ขับรถของรถประเภทเดียวกันกับที่ขอรับใบอนุญาตซึ่งรัฐบาลของประเทศอื่นออกให้ต้องยังไม่สิ้นอายุ
2.9 เพิ่มเติมกรณีเป็นแรงงานต่างด้าวที่มีมติคณะรัฐมนตรีเข้ามาทำงานในประเทศไทยได้ชั่วคราวเป็นกรณีพิเศษ ไม่มีสิทธิขอรับใบอนุญาตขับรถชนิดส่วนบุคคล (5 ปี)
5.เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกำหนดมาตรฐานในการบริหาร จัดการ และดำเนินการด้านความปลอดภัยอาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงานเกี่ยวกับเครื่องจักร ปั้นจั่น และหม้อน้ำ พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดมาตรฐานในการบริหาร จัดการ และดำเนินการด้านความปลอดภัยอาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงานเกี่ยวกับเครื่องจักร ปั้นจั่น และหม้อน้ำ พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
สาระสำคัญของร่างกฎกระทรวง
1. กำหนดคำนิยามคำว่า “เครื่องจักร” “เครื่องป้องกันอันตรายจากเครื่องจัรก” “เครื่องปั๊มโลหะ” “รถยก” “ลิฟต์โดยสาร” “ลิฟต์ขนส่งวัสดุ” “รอก” “ปั้นจั่น” ฯลฯ
2. กำหนดมาตรฐานในการบริหาร จัดการ และดำเนินการด้านความปลอดภัยอาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงานเกี่ยวกับ
2.1 เครื่องจักร 6 ประเภท คือ (1) เครื่องปั๊มโลหะ (2) เครื่องเชื่อมไฟฟ้า และเครื่องเชื่อมก๊าซ (3) รถยก (4) ลิฟต์ (5) เครื่องจักรที่ใช้ในการยกคนขึ้นทำงานบนที่สูง (6) รอก
2.2 ปั้นจั่น 3 ประเภท คือ (1) ปั้นจั่นเหนือศีรษะและปั้นจั่นขาสูง (2) ปั้นจั่นหอสูง (3) รถปั้นจั่นและเรือปั้นจั้น รวมถึงอุปกรณ์ที่ใช้เกี่ยวกับปั้นจั่น
2.3 หม้อน้ำ 4 ประเภท คือ (1) หม้อน้ำ (2) หม้อน้ำร้อนหรือหม้อต้มที่ใช้ของเหลวเป็นสื่อนำความร้อน (3) ภาชนะรับความดัน (4) ภาชนะบรรจุก๊าซทนความดัน
3. กำหนดให้นายจ้างต้องจัดและดูแลให้ลูกจ้างใช้อุปกรณ์คุ้มครองความปลอดภัยส่วนบุคคลที่ได้มาตรฐานในงาน 10 ประเภท (1) งานเชื่อมหรือตัดชิ้นงาน (2)
งานลับ ฝน หรือแต่งผิวโลหะ (3) งานกลึง (4) งานปั๊มโลหะ (5) งานชุบโลหะ (6) งานพ่นสี (7) งานยก ขนย้าย หรือติดตั้ง (8) งานควบคุมเครื่องจักร (9) งานปั้นจั่น (10) งานหม้อน้ำ หม้อน้ำมันร้อนหรือหม้อต้มที่ใช้ของเหลวเป็นสื่อนำความร้อน ภาชนะรับความดัน และภาชนะบรรจุก๊าซทนความดัน
4. กำหนดให้วิศวกรตามคำนิยาม “วิศวกร” ในกฎกระทรวงนี้ เป็นผู้ทดสอบและรับรองการดำเนินการตามกฎหมาย จนกว่าจะได้มีบุคคลขึ้นทะเบียนตามมาตรา 9 หรือนิติบุคคลได้รับใบอนุญาตตามมาตรา 11 แห่งพระราชบัญญัติความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน พ.ศ. 2554 แล้วแต่กรณี
6.เรื่อง ร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้อาวุธยุทโธปกรณ์เป็นสินค้าที่ต้องห้ามส่งออกและห้ามนำผ่านไปยังสาธารณรัฐแอฟริกากลาง (ฉบับที่..) พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้อาวุธยุทโธปกรณ์เป็นสินค้าที่ต้องห้ามส่งออกและห้ามนำผ่านไปยังสาธารณรัฐแอฟริกากลาง (ฉบับที่..) พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงพาณิชย์ (พณ.) เสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา โดยให้รับข้อสังเกตของกระทรวงการต่างประเทศ และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้
พณ. เสนอว่า โดยที่ประเทศไทยในฐานะรัฐสมาชิกสหประชาชาติมีพันธะกรณีที่ต้องดำเนินการตามข้อมติของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติที่ 2399 (ค.ศ. 2018) ซึ่งเป็นไปตามข้อ 25 แห่งกฎบัตรสหประชาชาติ โดยมีสาระสำคัญเป็นการเห็นชอบต่อการต่ออายุมาตรการลงโทษทางอาวุธ การห้ามเดินทาง และการอายัดทรัพย์สินต่อสาธารณรัฐแอฟริกากลาง ตามที่ระบุไว้ในข้อมติฯ ที่ 2239 (ค.ศ. 2017) ตลอดจนข้อยกเว้นที่เกี่ยวข้อง โดยให้มีผลใช้บังคับจนถึงวันที่ 31 มกราคม 2562 นอกจากนี้ยังได้มีการปรับถ้อยคำในข้อ 5 (1) ของประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้อาวุธและยุทโธปกรณ์เป็นสินค้าที่ต้องห้ามส่งออกและห้ามนำผ่านไปยังสาธารณรัฐแอฟริกากลาง พ.ศ. 2560 จากกองกำลังสหภาพยุโรป (European Union Missions) เป็น ภารกิจฝึกอบรมของสหภาพยุโรป (European Union training missions) และกำหนดเพิ่มเติมความในข้อ 5 วรรคสอง ของประกาศฯ ด้วย ซึ่งกระทรวงการต่างประเทศ กรมศุลกากร กรมอุตสาหกรรมทหาร และกรมองค์การระหว่างประเทศไม่ขัดข้องในการเพิ่มเติมถ้อยคำดังกล่าว
สาระสำคัญของร่างประกาศ
1. กำหนดบทนิยามคำว่า “ข้อมติ” โดยให้หมายความว่า ข้อมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ที่ 2262 (ค.ศ. 2016) เมื่อวันที่ 27 มกราคม 2559 ข้อมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ที่ 2239 (ค.ศ. 2017) เมื่อวันที่ 27 มกราคม 2560 และข้อมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ที่ 2239 (ค.ศ. 2018) เมื่อวันที่ 30 มกราคม 2561
2. แก้ไขเพิ่มเติมในข้อยกเว้นของประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้อาวุธและยุทโธปกรณ์เป็นสินค้าที่ต้องห้ามส่งออกและห้ามนำผ่านไปยังสาธารณรัฐแอฟริกากลาง พ.ศ. 2560 โดยการปรับถ้อยคำในข้อ 5 (1) จาก “กองกำลัง สหภาพแอฟริกา (African Union-Regional Task Force: AU-RTF) กองกำลังสหภาพยุโรป (European Union Missions) และกองกำลังฝรั่งเศส (French Forces) ที่ปฏิบัติการในสาธารณรัฐแอฟริกากลาง” เป็น “ภารกิจฝึกอบรมของสหภาพยุโรป (European Union training missions) ที่ปฏิบัติการในสาธารณรัฐแอฟริกากลาง กองกำลังฝรั่งเศส (French Forces) ภายใต้ความร่วมมือทวิภาคีกับสาธารณรัฐแอฟริกากลางและกองกำลังของรัฐสมาชิกอื่นที่ให้ความช่วยเหลือและฝึกอบรม” เพื่อให้สอดคล้องกับข้อมติฯ
3. กำหนดเพิ่มเติมความในข้อ 5 วรรคสอง ของประกาศฯ จาก “การส่งออกหรือนำผ่านอาวุธและยุทโธปกรณ์ตาม (3) (4) (5) (6) (7) และ (8) ต้องเป็นไปตามวิธีการที่กำหนดไว้ในข้อมติ” เป็น “การส่งออกหรือนำผ่านอาวุธและยุทโธปกรณ์ตาม (1) (3) (4) (5) (6) (7) และ (8) ต้องเป็นไปตามวิธีการที่กำหนดไว้ในข้อมติ”
7.เรื่อง ร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยคณะกรรมการเตรียมการด้านการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยคณะกรรมการเตรียมการด้านการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
สาระสำคัญของร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี
แก้ไขเพิ่มเติมระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยคณะกรรมการเตรียมการด้านการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ พ.ศ. 2560 โดยเพิ่มเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา เป็นกรรมการโดยตำแหน่งในคณะกรรมการเตรียมการด้านการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ
เศรษฐกิจ-สังคม
8.เรื่อง ขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉิน หรือจำเป็น เพื่อสนับสนุนโครงการสาธารณสุข 100 ปี หมออนามัยห่วงใยประชาชน สร้างชุมชนปลอดขยะ ร่วมขจัดภัยไข้เลือดออกและไข้มาลาเรีย ปีงบประมาณ พ.ศ. 2561
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ที่กระทรวงการคลังอนุมัติให้เบิกจ่ายเงินงบประมาณถึงวันทำการสุดท้ายของเดือนกันยายน 2561 จำนวนทั้งสิ้น 373,834,500 บาท (สามร้อยเจ็ดสิบสามล้านแปดแสนสามหมื่นสี่พันห้าร้อยบาทถ้วน) ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ในการดำเนินงาน ดังนี้
1. โครงการส่งเสริมสุขภาพและสิ่งแวดล้อมชุมชนเพื่อประชาชนสุขภาพดี จำนวน 179,664,300 บาท (หนึ่งร้อยเจ็ดสิบเก้าล้านหกแสนหกหมื่นสี่พันสามร้อยบาทถ้วน)
2. โครงการรวมพลังสร้างชุมชนสุขภาพดี จำนวน 53,260,200 บาท (ห้าสิบสามล้านสองแสนหกหมื่นสองร้อยบาทถ้วน)
3. โครงการพัฒนาคุณภาพและความพร้อมของโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน จำนวน 140,910,000 บาท (หนึ่งร้อยสี่สิบล้านเก้าแสนหนึ่งหมื่นบาทถ้วน) ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
ต่างประเทศ
9.เรื่อง การรับรองเอกสารการจัดทำบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านสารสนเทศและสื่อสารมวลชนระหว่างราชอาณาจักรไทย และสาธารณรัฐฟิลิปปินส์
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบต่อบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านสารสนเทศและสื่อสารมวลชนระหว่างราชอาณาจักรไทยและสาธารณรัฐฟิลิปปินส์ และอนุมัติให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล) เป็นผู้ลงนามฝ่ายไทย ตามที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล) เสนอ
ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงร่างบันทึกความเข้าใจฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้สำนักนายกรัฐมนตรี โดยกรมประชาสัมพันธ์ดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2558 (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย และในโอกาสต่อไปหากมีการจัดทำข้อตกลงด้านการเงิน (financial arrangements) ภายใต้บันทึกความเข้าใจฯ ดังกล่าว ให้สำนักนายกรัฐมนตรี โดยกรมประชาสัมพันธ์ พิจารณาส่งร่างข้อตกลงด้านการเงินดังกล่าวให้กระทรวงการต่างประเทศพิจารณาด้วย
สาระสำคัญของบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านสารสนเทศและสื่อสารมวลชนระหว่างราชอาณาจักรไทยและสาธารณรัฐฟิลิปปินส์ เป็นการส่งเสริมการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร ข่าว รายการ หรือกิจกรรมด้านสารสนเทศและสื่อสารมวลชนที่สอดคล้องกับกฎหมาย ระเบียบข้อบังคับ นโยบาย แนวทางการบริหาร และขั้นตอนการปฏิบัติของทั้งสองประเทศ อันจะนำไปสู่การสร้างความรู้ ความเข้าใจ และมิตรภาพระหว่างประชาชนของทั้งสองประเทศ ทั้งนี้ กรมประชาสัมพันธ์ได้ประสานงานไปยังฝ่ายฟิลิปปินส์เพื่อที่จะลงนามร่างบันทึกความเข้าใจฯ ดังกล่าว ในการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือทวิภาคีไทย - ฟิลิปปินส์ ครั้งที่ 6 ที่กระทรวงการต่างประเทศจะจัดขึ้น ในระหว่างวันที่ 5 - 7 กันยายน 2561 ณ กรุงเทพมหานคร
10.เรื่อง การร่วมรับรองเอกสารในการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Minister: AEM) ครั้งที่ 50 และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบต่อร่างเอกสารที่จะมีการรับรองในการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Minister: AEM) ครั้งที่ 50 และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง จำนวน 7 ฉบับ โดยให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายร่วมรับรองเอกสารทั้ง 7 ฉบับ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และหากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขร่างเอกสารดังกล่าว ที่ไม่ใช่สาระสำคัญหรือไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดงกล่าวด้วย
สำหรับกรณีร่างความตกลงว่าด้วยพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ของอาเซียน (The ASEAN Agreement on Electronic Commerce) ที่ต้องขอความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีก่อนการลงนาม ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการตามความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาอย่างเคร่งครัด
สาระสำคัญของเรื่อง
ร่างเอกสารที่จะมีการรับรองในการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Minister: AEM) ครั้งที่ 50 ระหว่างวันที่ 26 สิงหาคม – 1 กันยายน 2561 ณ สาธารณรัฐสิงคโปร์ จำนวน 7 ฉบับ ได้แก่
1. ร่างความตกลงว่าด้วยพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ของอาเซียน มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้ในการพัฒนาและส่งเสริมพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ ประเทศสมาชิกต้องพัฒนาสภาพแวดล้อมทางด้านกฎหมายหรือกฎระเบียบสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการสร้างความสามารถในการแข่งขันทางการค้า และคุ้มครองประโยชน์สาธารณะ
2. ร่างกรอบการบูรณาการด้านดิจิทัลในอาเซียน มีสาระสำคัญเพื่อส่งเสริมผู้ประกอบการโดยเฉพาะวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ให้เข้าไปมีส่วนร่วมในเศรษฐกิจดิจิทัลของอาเซียนได้อย่างทั่วถึง
3. ร่างหลักการสำคัญเรื่องแนวปฏิบัติที่ดีด้านกฎระเบียบของอาเซียน เป็นการกำหนดแนวทางสำหรับประเทศสมาชิกอาเซียน ในการออก/ทบทวนกฎระเบียบไม่ให้เกิดภาระต่อการค้าเกินความจำเป็น
4. ร่างบัญชีกฎเฉพาะรายสินค้าในพิกัดศุลกากรระบบฮาร์โมไนซ์ ฉบับปี 2017 และบัญชีรายการสินค้าสิ่งทอและผลิตภัณฑ์สิ่งทอของพิกัดศุลกากรระบบฮาร์โมไนซ์ ฉบับปี 2017 เป็นการดำเนินการเพื่อสร้างความสอดคล้องกับการดำเนินการขององค์การศุลกากรโลก ที่จะมีการปรับพิกัดศุลกากรระบบฮาร์โมไนซ์เป็นประจำทุก ๆ 5 ปี
5. ร่างแนวปฏิบัติสำหรับการดำเนินการตามข้อตกลงอาเซียนว่าด้วยมาตรการที่ไม่ใช่ภาษีของสินค้า เป็นเอกสารที่ระบุถึงแนวปฏิบัติสำหรับการออกมาตรการที่มิใช่ภาษีในประเทศสมาชิกอาเซียน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้เกิดความโปร่งใสเป็นธรรมทางการค้าระหว่างกันในประเทศสมาชิก ลดผลกระทบจากการบิดเบือนทางการค้า
6. ร่างแผนการดำเนินงานด้านความร่วมมือทางเศรษฐกิจของกรอบอาเซียนบวกสาม ปี 2562 – 2563เป็นเอกสารพื้นฐานเพื่อดำเนินการตามแผนงานความร่วมมือของกรอบอาเซียนบวกสามช่วงปี 2561 – 2565 มีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมสร้างความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจในกรอบอาเซียนบวกสามผ่านการหารือและกิจกรรมต่าง ๆ
7. ร่างเป้าหมายความสำเร็จของการเจรจาในปีนี้ มีประเด็นสำคัญที่จะสรุปการเจรจาภายในปี 2561 เช่น สรุปการเจรจาทั้งหมดสำหรับบทสุขอนามัยและสุขอนามัยพืช กฎระเบียบทางเทคนิคพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ การแข่งขันการระงับข้อพิพาท สรุปการเจรจาข้อผูกพันเปิดตลาดสินค้า บริการ และการลงทุน
โดยที่ร่างเอกสารทั้ง 7 ฉบับ ที่จะมีการรับรองระหว่างการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Minister: AEM) ในครั้งนี้ เป็นการดำเนินการร่วมกันระหว่างประเทศสมาชิก เพื่อประโยชน์ทางด้านการค้าและการลงทุนร่วมกันระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียน ทั้งนี้ เพื่อเป็นการเสริมสร้างความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจในกรอบอาเซียน ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อเศรษฐกิจในภาพรวมของประเทศไทยในหลาย ๆ ด้าน เช่น การเข้าไปมีส่วนร่วมในเศรษฐกิจดิจิทัลของอาเซียน การสร้างความเชื่อมโยงระหว่างบทการค้าและการค้าบริการ การดำเนินการตามพันธกรณีอาเซียนว่าด้วยมาตรการที่มิใช่ภาษีของสินค้าได้อย่างถูกต้อง และการลดผลกระทบจากการบิดเบือนทางการค้า เป็นต้น
11.เรื่อง ขอความเห็นชอบต่อร่างเอกสารที่จะมีการลงนามในระหว่างการประชุมคณะกรรมการร่วมว่าด้วยการค้า การลงทุน และความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างไทย - จีน ครั้งที่ 6
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้
คณะกรรมการร่วมว่าด้วยการค้า การลงทุน และความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างไทย – จีน ครั้งที่ 6 จำนวน 6 ฉบับ (ได้แก่ ร่างเอกสารผลลัพธ์การประชุม JC เศรษฐกิจไทย – จีน ครั้งที่ 6 และร่างบันทึกความเข้าใจ/ร่างพิธีสารของหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องอีก 5 ฉบับ) และหากมีความจำเป็นต้องแก้ไขร่างเอกสารในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญหรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของประเทศไทย ให้กระทรวงพาณิชย์และ/หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีก
2. อนุมัติให้รองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายลงนามในเอกสารผลลัพธ์การประชุม JC เศรษฐกิจไทย - จีน ครั้งที่ 6 (Agreed Record of the Sixth Meeting of the Joint Committee on Trade, Investment and Economic Cooperation between the Government of the Kingdom of Thailand and the Government of the People’s Republic of China)
3. อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมาย ลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการจัดตั้งคณะทำงานเพื่อส่งเสริมการค้าอย่างไร้อุปสรรคระหว่างกระทรวงพาณิชย์แห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงพาณิชย์แห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน
4. อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมาย ลงนามในร่างพิธีสารระหว่างกระทรวงเกษตรและสหกรณ์แห่งราชอาณาจักรไทยกับสำนักงานศุลกากรแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีนว่าด้วยหลักเกณฑ์การตรวจสอบ การกักกัน และสุขอนามัยทางสัตวแพทย์ เพื่อการส่งออกเนื้อสัตว์ปีกแช่แข็งและชิ้นส่วนสัตว์ปีกจากประเทศไทยไปยังประเทศจีน
5. อนุมัติให้เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนหรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมาย ลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนแห่งราชอาณาจักรไทยกับสภาส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศแห่งประเทศจีน
6. อนุมัติให้เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกหรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมาย ลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกกับกระทรวงพาณิชย์ของสาธารณรัฐประชาชนจีน
7. อนุมัติให้ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศหรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมาย ลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศของไทยกับสถาบันอวกาศแห่งชาติของสาธารณรัฐประชาชนจีนเรื่องความร่วมมือด้านอวกาศ
สาระสำคัญของเรื่อง
1. ไทยมีกำหนดเป็นเจ้าภาพจัดการประชุม JC เศรษฐกิจไทย – จีน ครั้งที่ 6 การประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น การประชุมเตรียมการระดับอธิบดีสำหรับการประชุม JC เศรษฐกิจไทย - จีน ครั้งที่ 6 การเข้าเยี่ยมคารวะนายกรัฐมนตรี และการหารือทวิภาคีระหว่างรองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) และมนตรีแห่งรัฐของสาธารณรัฐประชาชนจีน (นายหวัง หย่ง) และการจัดกิจกรรมคู่ขนาน เช่น การจัดงานสัมมนา การจับคู่ทางธุรกิจ และการลงพื้นที่ศึกษาดูงานเขตเศรษฐกิจพิเศษ EEC ระหว่างวันที่ 22-26 สิงหาคม 2561 ณ กรุงเทพมหานคร และต่างจังหวัด โดยที่ผ่านมา กระทรวงพาณิชย์ได้จัดการประชุมร่วมกับหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องอย่างต่อเนื่อง เพื่อติดตามและพิจารณาประเด็นความร่วมมือทางการค้าการลงทุน และเศรษฐกิจ รวมทั้งกิจกรรมต่าง ๆ ที่ฝ่ายไทยประสงค์จะผลักดันในการประชุมดังกล่าวเพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายและผลประโยชน์ของประเทศไทย
2. ในระหว่างการประชุม JC เศรษฐกิจไทย – จีน ครั้งที่ 6 ซึ่งมีรองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) และมนตรีแห่งรัฐของสาธารณรัฐประชาชนจีน (นายหวัง หย่ง) เป็นประธานการประชุมร่วมและมีผู้แทนจากหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมด้วยนั้น ที่ประชุมฯ จะมีการร่วมลงนามเอกสารต่าง ๆ ที่เป็นผลลัพธ์ของการประชุมฯ เพื่อให้มีผลที่เป็นรูปธรรม จำนวน 6 ฉบับ ได้แก่ ร่างเอกสารผลลัพธ์การประชุม JC เศรษฐกิจไทย – จีน ครั้งที่ 6 และร่างบันทึกความเข้าใจ/ร่างพิธีสารของหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องอีก 5 ฉบับ สรุปสาระสำคัญได้ดังนี้
2.1 ร่างเอกสารผลลัพธ์การประชุม JC เศรษฐกิจไทย- จีน ครั้งที่ 6 (Agreed Record of the Sixth Meeting of the Joint Committee on Trade, Investment and Economic Cooperation between the Government of the Kingdom of Thailand and the Government of the People’s Republic of China) ร่างเอกสารฯ มีสาระสำคัญเกี่ยวกับความร่วมมือทางเศรษฐกิจในสาขาสำคัญที่มีผลต่อการพัฒนาขีดความสามารถทางการแข่งขันของไทยและจีน การติดตามผลการดำเนินการที่สืบเนื่องจากการประชุมครั้งก่อน รวมทั้งเป็นการแสดงเจตนารมณ์ของทั้งสองฝ่ายที่มุ่งเสริมสร้าง กระชับ และขยายความสัมพันธ์และความร่วมมือด้านการค้า การลงทุน และความร่วมมือทางเศรษฐกิจอื่น ๆ ระหว่างกัน โดยเฉพาะในสาขาหลัก เช่น ความร่วมมือด้านการค้าและการลงทุน การค้าสินค้าเกษตร ทรัพย์สินทางปัญญา ความเชื่อมโยงด้านสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน ความเชื่อมโยงด้านดิจิทัล ความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี อวกาศ และนวัตกรรม การท่องเที่ยว การเงิน การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ความร่วมมือทางการค้าและเศรษฐกิจในระดับท้องถิ่น/อนุภูมิภาค รวมถึงการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค
2.2 ร่างบันทึกความเข้าใจ/ร่างพิธีสาร จำนวน 5 ฉบับ หน่วยงานต่าง ๆ ของไทยได้หารือร่วมกับจีนและเห็นพ้องให้มีการจัดทำบันทึกความเข้าใจ/พิธีสารระหว่างกันในประเด็นความร่วมมือทางเศรษฐกิจที่เกี่ยวข้อง โดยมีเอกสารที่สามารถหาข้อสรุปร่วมกันและพร้อมจะลงนามในการประชุมฯ ดังนี้
2.2.1 ร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการจัดตั้งคณะทำงานเพื่อส่งเสริมการค้าอย่างไร้อุปสรรคระหว่างกระทรวงพาณิชย์แห่งราชอาณาจักรไทย กับกระทรวงพาณิชย์แห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน (Memorandum of Understanding on Establishing Working Group on Promoting Unimpeded Trade between the Ministry of Commerce of the Kingdom of Thailand and the Ministry of Commerce of the People’s Republic of China)
สาระสำคัญ เพื่อจัดตั้งคณะทำงานเพื่อส่งเสริมการค้าอย่างไร้อุปสรรคระหว่างกระทรวงพาณิชย์แห่งสาธารณรัฐประชาชนจีนกับกระทรวงพาณิชย์แห่งราชอาณาจักรไทย ซึ่งมีภารกิจหลักในการประสานงานเพื่อแก้ไขปัญหาทางการค้า การประเมินสถานะของความร่วมมือทางการค้าทวิภาคี และสำรวจความเป็นไปได้ในการพัฒนาการเติบโตทางเศรษฐกิจ และขายการค้าระหว่างกัน
2.2.2 ร่างพิธีสารระหว่างกระทรวงเกษตรและสหกรณ์แห่งราชอาณาจักรไทยกับสำนักงานศุลกากรแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีนว่าด้วยหลักเกณฑ์การตรวจสอบ การกักกัน และสุขอนามัยทางสัตวแพทย์ เพื่อการส่งออกเนื้อสัตว์ปีกแช่แข็งและชิ้นส่วนสตว์ปีกจากประเทศไทยไปยังประเทศจีน (Protocol between the Ministry of Agriculture and Cooperatives of the Kingdom of Thailand and the General Administration of Customs of the People’s Republic of China on Inspection, Quarantine and Veterinary Sanitary Requirements for Frozen Poultry Meat and By - products to be exported from Thailand to China)
สาระสำคัญ กำหนดหลักเกณฑ์การตรวจสอบ การกักกันและสุขอนามัยทางสัตวแพทย์ เพื่อการส่งออกเนื้อสัตว์ปีกแช่แข็ง และชิ้นส่วนสัตว์ปีกจากไทยไปยังประเทศจีน เพื่ออำนวยความสะดวกในการส่งออกสินค้าสัตว์ปีกของไทยไปยังจีน
2.2.3 ร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนแห่งราชอาณาจักรไทยกับสภาส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศแห่งประเทศจีน (Memorandum of Understanding on Cooperation between the Office of the Board of Investment of the Kingdom of Thailand and China Council for the Promotion of International Trade)
สาระสำคัญ ส่งเสริมการลงทุนระหว่างไทยและจีนในสาขาต่าง ๆ เช่น อุตสาหกรรมเป้าหมายของประเทศไทย ตลอดจนสนับสนุนการแลกเปลี่ยนข้อมูลและประสบการณ์เกี่ยวกับการดำเนินการด้านนโยบาย เพื่อสนับสนุนการทำธุรกิจและการลงทุนระหว่างคู่ภาคี
2.2.4 ร่างบันทึกความใจระหว่างสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกกับกระทรวงพาณิชย์ของสาธารณรัฐประชาชนจีน (Memoradum of Understanding between Eastern Economic Corridor Office of the Kingdom of Thailand and the Ministry of Commerce of the People’s Republic of China to Promote the Strategic Cooperation wuth the “Eastern Economic Corridor” under the Belt and Road Initiative)
สาระสำคัญ ส่งเสริมความร่วมมือเชิงยุทธสาสตร์ระหว่างรัฐบาลไทยและจีนตามโครงการ “ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก” ภายใต้ยุทธศาสตร์และนโยบาย “ประเทศไทย 4.0” ของไทย และโครงการ “ความริเริ่มหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง” ของจีน
2.2.5 ร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศของไทยกับสถาบันอวกาศแห่งชาติของสาธารณรัฐประชาชนจีน เรื่อง ความร่วมมือด้านอวกาศ (Memorandum of Understanding between Geo-informatics and Space Technology Development Agency of Thailand and China National Space Administration of the People’s Republic of China on Space Cooperation)
สาระสำคัญ ส่งเสริมความร่วมมือด้านการสำรวจอวกาศ เช่น การส่งเสริมโครงการวิจัยไทยขึ้นไปดำเนินการวิจัยและทดลองบนสถานีอวกาศนานาชาติเทียนกง/การพัฒนาบุคลากรและโครงการวิจัยไทยให้มีศักยภาพเพื่อการดำเนินวิจัยและทดลองในสถานีอวกาศรวมไปถึงการใช้และพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านอวกาศร่วมกัน
12.เรื่อง การจัดทำบันทึกความร่วมมือว่าด้วยการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ด้านอุตสาหกรรม ระหว่างกระทรวงศึกษาธิการแห่งราชอาณาจักรไทยและกระทรวงศึกษาธิการ วัฒนธรรม กีฬา วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี แห่งประเทศญี่ปุ่น
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอดังนี้
1. อนุมัติการจัดทำบันทึกความร่วมมือว่าด้วยการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ด้านอุตสาหกรรมระหว่างกระทรวงศึกษาธิการแห่งราชอาณาจักรไทยและกระทรวงศึกษาธิการ วัฒนธรรม กีฬา วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี แห่งประเทศญี่ปุ่น (Memorandum of Cooperation on Industrial Human Resource Development between the Ministry of Education of the Kingdom of Thailand and the Ministry of Education, Culture, Sports, Science and Technology of Japan) ทั้งนี้ หากก่อนลงนามมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขบันทึกความร่วมมือฯ ในส่วนที่มิใช่สาระสำคัญ ให้กระทรวงศึกษาธิการหารือกับกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศ เพื่อพิจารณาดำเนินการในเรื่องนั้น ๆ โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้ง
2. อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ หรือผู้แทนเป็นผู้ลงนามในบันทึกความร่วมมือว่าด้วยการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ด้านอุตสาหกรรมไทย – ญี่ปุ่น
สาระสำคัญของบันทึกความร่วมมือฯ
บันทึกความร่วมมือว่าด้วยการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ด้านอุตสาหกรรมไทย – ญี่ปุ่น มีสารัตถะเป็นการระบุความร่วมมือด้านการศึกษา ที่แสดงความมุ่งมั่นระหว่างไทยและญี่ปุ่นในการผลักดันความร่วมมือเพื่อพัฒนาศักยภาพของบุคลากรของไทยให้สอดคล้องกับการพัฒนาประเทศ โดยการดำเนินการสองประเด็นหลัก ได้แก่ การก่อตั้งสถาบันการศึกษารูปแบบโคเซน (KOSEN) ในประเทศไทย และสนับสนุนนักเรียนนักศึกษาไทยในการไปศึกษาต่อ ณ สถาบันโคเซน (KOSEN) ประเทศญี่ปุ่น และส่งเสริมการแลกเปลี่ยนนักเรียนนักศึกษาระหว่างไทยและญี่ปุ่นให้เพิ่มมากขึ้น
แต่งตั้ง
13.เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงการคลัง)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอแต่งตั้ง นายเกียรติณรงค์ วงศ์น้อย ที่ปรึกษาด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (นักวิชาการคอมพิวเตอร์ทรงคุณวุฒิ)สำนักงานปลัดกระทรวง ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาด้านพัฒนาระบบการเงินการคลัง (นักวิชาการคลังทรงคุณวุฒิ) กรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง ตั้งแต่วันที่ 9 เมษายน 2561 ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป
14.เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงสาธารณสุข)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอแต่งตั้ง นางสาวอังคณา เจริญวัฒนาโชคชัย นายแพทย์เชี่ยวชาญ (ด้านเวชกรรมป้องกัน) กลุ่มงานวิจัยการให้บริการทางการแพทย์และสังคม กลุ่มโรคเอดส์ สำนักโรคเอดส์ วัณโรค และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ กรมควบคุมโรค ให้ดำรงตำแหน่ง นายแพทย์ทรงคุณวุฒิ (ด้านเวชกรรมป้องกัน) กลุ่มงานวิจัยการให้บริการทางการแพทย์และสังคม กลุ่มโรคเอดส์ สำนักโรคเอดส์ วัณโรค และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ตั้งแต่วันที่29 กันยายน 2560 ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป
15.เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการให้ดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กระทรวงเกษตรและสหกรณ์)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอแต่งตั้ง นายอนันต์ สุวรรณรัตน์ อธิบดีกรมการข้าว ให้ดำรงตำแหน่ง ปลัดกระทรวง สำนักปลัดกระทรวง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2561 เพื่อทดแทนผู้ที่จะเกษียณอายุราชการ ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป
16.เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหาร ระดับสูง กระทรวงมหาดไทย
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอให้ นางสุกานดา วรเชษฐบัญชา พ้นจากตำแหน่งที่ปรึกษาด้านการบริหารงานจังหวัดแบบบูรณาการ (นักวิเคราะห์นโยบายและแผน ระดับทรงคุณวุฒิ) สำนักงานปลัดกระทรวง และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครอง ระดับสูง) จังหวัดสมุทรสงคราม สำนักงานปลัดกระทรวง ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2561 ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป
17.เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงสาธารณสุข)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงสาธารณสุข ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน 10 ราย ดังนี้
1. นายเกียรติภูมิ วงศ์รจิต อธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ดำรงตำแหน่ง อธิบดีกรมสุขภาพจิต
2. นายมรุต จิรเศรษฐสิริ รองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ดำรงตำแหน่ง อธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก
3. นางพรรณพิมล วิปุลากร รองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ดำรงตำแหน่ง อธิบดีกรมอนามัย
4. นายโอภาส การย์กวินพงศ์ รองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ดำรงตำแหน่ง อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์
5. นายณัฐวุฒิ ประเสริฐสิริพงศ์ ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ดำรงตำแหน่ง อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ
6. นายธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ รองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ดำรงตำแหน่ง เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา
7. นายศุภกิจ ศิริลักษณ์ ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ดำรงตำแหน่ง รองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง
8. นายพิศิษฐ์ ศรีประเสริฐ ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ดำรงตำแหน่ง รองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง
9. นายประพนธ์ ตั้งศรีเกียรติกุล ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ดำรงตำแหน่ง รองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง
10. นายไพศาล ดั่นคุ้ม ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ดำรงตำแหน่ง รองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง
ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2561 เพื่อทดแทนผู้ที่จะเกษียณอายุราชการ และสับเปลี่ยนหมุนเวียน ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป
18.เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงคมนาคม)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอแต่งตั้งข้าราชการประเภทบริหารระดับสูง รวม 9 ราย ดังนี้
1. นายชัยวัฒน์ ทองคำคูณ ผู้อำนวยการ (นักบริหารระดับสูง) สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร กระทรวงคมนาคม ไปดำรงตำแหน่ง ปลัดกระทรวง (นักบริหารระดับสูง) สำนักงานปลัดกระทรวงคมนาคม กระทรวงคมนาคม
2. นายสราวุธ ทรงศิวิไล ผู้ตรวจราชการกระทรวง (ผู้ตรวจราชการกระทรวงระดับสูง) สำนักงานปลัดกระทรวงคมนาคม กระทรวงคมนาคม ไปดำรงตำแหน่ง ผู้อำนวยการ (นักบริหารระดับสูง) สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร กระทรวงคมนาคม
3. นางอัมพวัน วรรณโก ผู้ตรวจราชการกระทรวง (ผู้ตรวจราชการกระทรวงระดับสูง) สำนักงานปลัดกระทรวงคมนาคม กระทรวงคมนาคม ไปดำรงตำแหน่ง อธิบดี (นักบริหารระดับสูง) กรมท่าอากาศยาน กระทรวงคมนาคม
4. นายจิรุตม์ วิศาลจิตร อธิบดี (นักบริหารระดับสูง) กรมเจ้าท่า กระทรวงคมนาคม ไปดำรงตำแหน่ง ผู้ตรวจราชการกระทรวง (ผู้ตรวจราชการกระทรวงระดับสูง) สำนักงานปลัดกระทรวงคมนาคม กระทรวงคมนาคม
5. นายสมศักดิ์ ห่มม่วง รองปลัดกระทรวง (นักบริหารระดับสูง) สำนักงานปลัดกระทรวงคมนาคม กระทรวงคมนาคม ไปดำรงตำแหน่ง อธิบดี (นักบริหารระดับสูง) กรมเจ้าท่า กระทรวงคมนาคม
6. นายธานินทร์ สมบูรณ์ อธิบดี (นักบริหารระดับสูง) กรมทางหลวง กระทรวงคมนาคม ไปดำรงตำแหน่ง รองปลัดกระทรวง (นักบริหารระดับสูง) สำนักงานปลัดกระทรวงคมนาคม กระทรวงคมนาคม
7. นายอานนท์ เหลืองบริบูรณ์ ผู้ตรวจราชการกระทรวง (ผู้ตรวจราชการกระทรวงระดับสูง) สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงคมนาคม ไปดำรงตำแหน่ง อธิบดี (นักบริหารระดับสูง) กรมทางหลวง กระทรวงคมนาคม
8. นายพีระพล ถาวรสุภเจริญ รองปลัดกระทรวง (นักบริหารระดับสูง) สำนักงานปลัดกระทรวงคมนาคม กระทรวงคมนาคม ไปดำรงตำแหน่ง อธิบดี (นักบริหารระดับสูง) กรมการขนส่งทางบก กระทรวงคมนาคม
9. นายสนิท พรหมวงษ์ อธิบดี (นักบริหารระดับสูง) กรมการขนส่งทางบก กระทรวงคมนาคม ไปดำรงตำแหน่ง รองปลัดกระทรวง (นักบริหารระดับสูง) สำนักงานปลัดกระทรวงคมนาคม กระทรวงคมนาคม
ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2561 ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี