11 ก.ย.61 เวลา 09.00 น. ณ ห้องประชุม 501 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ภายหลังเสร็จสิ้นการประชุม พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย พ.อ.อธิสิทธิ์ ไชยนุวัติ ผู้ช่วยโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้ร่วมแถลงผลการประชุม ครม.ซึ่งสรุปสาระสำคัญดังนี้
กฎหมาย
1.เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการลักลอบขนผู้โยกย้ายถิ่นฐาน พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติและรับทราบ ดังนี้
1. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการลักลอบขนผู้โยกย้ายถิ่นฐาน พ.ศ. .... ตามที่สำนักงานอัยการสูงสุดเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ และสำนักงาน ก.พ.ร. ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ทั้งนี้ ให้เสนอร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ไม่ก่อนการเสนอพิธีสารว่าด้วยการต่อต้านการลักลอบขนผู้โยกย้ายถิ่นโดยทางบก ทางทะเล และทางอากาศ เสริมอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านอาชญากรรมข้ามชาติที่กระทำโดยองค์กรอาชญากรรม ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติ
2. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลา และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองซึ่งต้องออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว ตามที่สำนักงานอัยการสูงสุดเสนอ
3. ให้สำนักงานอัยการสูงสุดรับความเห็นของฝ่ายกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม คณะรักษาความสงบแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
4. ให้กระทรวงการต่างประเทศเร่งรัดดำเนินการเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบการให้สัตยาบันพิธีสารว่าด้วยการต่อต้านการลักลอบขนผู้โยกย้ายถิ่นโดยทางบก ทางทะเล และทางอากาศ เสริมอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านอาชญากรรมข้ามชาติที่กระทำโดยองค์กรอาชญากรรม ต่อคณะรัฐมนตรีโดยด่วน
สาระสำคัญของร่างพระราชบัญญัติฯ
เป็นการกำหนดให้มีกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการลักลอบขนผู้โยกย้ายถิ่นฐาน โดยกำหนดลักษณะความผิดฐานลักลอบขนผู้โยกย้ายถิ่นฐาน กำหนดมาตรการในการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดดังกล่าว และกำหนดแนวทางในการประสานความร่วมมือในการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดดังกล่าวทั้งระหว่างหน่วยงานภายในและระหว่างประเทศ โดยร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้เป็นการรองรับการให้สัตยาบันพิธีสารว่าด้วยการต่อต้านการลักลอบขนผู้โยกย้ายถิ่นโดยทางบก ทางทะเล และทางอากาศ เสริมอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านอาชญากรรมข้ามชาติที่กระทำโดยองค์กรอาชญากรรมที่ประเทศไทยได้ลงนามเป็นภาคีไว้ อันจะเป็นการเสริมสร้างภาพลักษณ์ที่ดีของประเทศไทยต่อประชาคมโลกที่แสดงถึงเจตนารมณ์อันแน่วแน่ของประเทศไทยในการป้องกันและปราบปรามการลักลอบขนผู้โยกย้ายถิ่นฐาน ซึ่งจะทำให้ประเทศไทยได้รับความเชื่อถือ และเป็นที่เหมาะสมต่อการลงทุนและการท่องเที่ยว และทำให้เกิดการพัฒนาและขยายตัวทางเศรษฐกิจที่มีความมั่นคงและยั่งยืนต่อไป ซึ่งในปัจจุบันประเทศไทยไม่มีกฎหมายที่มีความสอดคล้องกับพันธกรณีตามพิธีสารดังกล่าว
2.เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่สำนักงานศาลยุติธรรมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงยุติธรรมไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป
สาระสำคัญของร่างพระราชบัญญัติ
1. กำหนดให้ก่อนยื่นฟ้องคดีแพ่ง ผู้ที่จะเป็นคู่ความอาจยื่นคำร้องต่อศาล เพื่อขอให้ศาลมีคำสั่งแต่งตั้งผู้ประนีประนอมยอมความทำหน้าที่ไกล่เกลี่ยให้คู่กรณีที่เกี่ยวข้องได้ตกลงกันหรือประนีประนอมยอมความกันในข้อพิพาท
2. กำหนดให้ในกรณีที่มีการทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน คู่สัญญาฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งสามารถยื่นคำร้องขอต่อศาลให้มีคำพิพากษาตามยอมได้
3. กำหนดให้ศาลสามารถไต่สวนสัญญาประนีประนอมยอมความที่คู่สัญญาได้ยื่นต่อศาลเพื่อขอให้พิพากษาตามยอม โดยหากศาลพิจารณาแล้วเห็นว่าสัญญาดังกล่าวมีความมุ่งหมายที่จะหลีกเลี่ยงกฎหมายเพื่อคุ้มครองประโยชน์สาธารณะ หรือความชอบธรรมทั้งต่อนโยบายสาธารณะหรือบุคคลภายนอก ให้ศาลมีอำนาจไต่สวนและปฏิเสธการพิพากษาตามสัญญานั้นได้
3.เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัล พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติและรับทราบดังนี้
1. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัล พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้ปรับแก้ไขร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวให้สอดคล้องกับมาตรา 26 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และมติคณะรัฐมนตรี (11 เมษายน 2560 และ 6 มิถุนายน 2560) แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป
2. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลาและกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
สาระสำคัญของร่างพระราชบัญญัติ
1. กำหนดคำนิยาม “พิสูจน์และยืนยันตัวตน” หมายความว่า การระบุตัวตน การแสดงตน การพิสูจน์ตัวตน การแสดงหลักฐานใดๆ และการตรวจสอบเพื่อทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับผู้ขอใช้บริการ และการยืนยันตัวตนของผู้ขอใช้บริการ ทั้งนี้ ให้หมายความรวมถึงการแสดงเจตนา การให้ความยินยอม การทำนิติกรรมสัญญาใด ๆ หรือการลงลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์ โดยให้เป็นไปตามความประสงค์หรือเจตนาของผู้ใช้บริการ และ “ระบบการพิสูจน์และยืนยันตัวตนของดิจิทัล” หมายความว่า ระบบและเครือข่ายกลางในการเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างสมาชิก หน่วยงานและบุคคลที่เกี่ยวข้อง ซึ่งพัฒนาและบริหารจัดการโดยบริษัทผู้ให้บริการระบบการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัล
2. กำหนดให้มี “คณะกรรมการกำกับดูแลการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัล” โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเป็นประธานกรรมการ ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเป็นรองประธานกรรมการ และกรรมการอื่นอีกจำนวนสิบสองคน ซึ่งคณะรัฐมนตรีแต่งตั้งจากผู้ทรงคุณวุฒิ และให้ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ เป็นกรรมการและเลขานุการ ทั้งนี้ ให้สำนักงานคณะกรรมการธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์รับผิดชอบงานธุรการของคณะกรรมการ
3. กำหนดให้คณะกรรมการมีอำนาจและหน้าที่ในการกำกับดูแลโครงข่ายระบบการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัลเป็นการทั่วไป อำนาจและหน้าที่ดังกล่าวให้รวมถึงการออกประกาศหรือคำสั่งเพื่อปฏิบัติการให้เป็นไปตามพระราชบัญญัตินี้ การออกประกาศกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขเกี่ยวกับบริษัทผู้ให้บริการระบบการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัล รวมถึงการกำหนดค่าธรรมเนียมและค่าดำเนินการอื่นใดที่เกี่ยวข้องกับระบบการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัล การสั่งให้บริษัทผู้ให้บริการยื่นรายงานเกี่ยวกับการดำเนินกิจการของบริษัทเป็นการทั่วไป หรือเป็นการเฉพาะ โดยมีรายการและระยะเวลาตามที่คณะกรรมการกำหนด การพิจารณาวินิจฉัยคำอุทธรณ์ตามพระราชบัญญัตินี้ การแต่งตั้งคณะอนุกรรมการเพื่อกำกับดูแลการใช้บริการระบบ การพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัลของธุรกิจในแต่ละภาคอุตสาหกรรม และปฏิบัติการอื่นใดตามที่มีกฎหมายหรือมติคณะรัฐมนตรีกำหนดให้เป็นอำนาจและหน้าที่ของคณะกรรมการ
4. กำหนดให้การให้บริการระบบการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัล จะกระทำได้ต่อเมื่อได้จัดตั้งในรูปบริษัทและได้รับใบอนุญาตจากรัฐมนตรี
5. กำหนดให้บริษัทผู้ให้บริการและผู้ให้บริการระบบทำการแทน ดำเนินการเข้ารหัส (Encryption) หรือดำเนินการอื่นใดเพื่อประโยชน์ในการรักษาความลับและความปลอดภัยของข้อมูลในโครงข่ายระบบการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัล โดยต้องมีมาตรฐานการเข้ารหัสหรือการดำเนินการอื่นใดตามที่คณะกรรมการกำหนดเป็นอย่างน้อย
6. กำหนดให้บริษัทผู้ให้บริการ ผู้ให้บริการระบบทำการแทนหรือสมาชิก ผู้ใดจงใจหรือประมาทเลินเล่อเปิดเผยข้อมูลที่ไม่ถูกต้องให้แก่ผู้อื่น หรือเปิดเผยข้อมูลที่ถูกต้อง แต่มิใช่เป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัตินี้จนเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่สมาชิก ผู้ใช้บริการ หรือเจ้าของข้อมูล บริษัท ผู้ให้บริการระบบทำการแทนหรือสมาชิกผู้เปิดเผยแล้วแต่กรณี ต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้น
7. กำหนดให้บริษัทผู้ให้บริการระบบการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัล ผู้ให้บริการระบบทำการแทนหรือผู้ใดไม่ปฏิบัติตามคำสั่ง ประกาศ หลักเกณฑ์หรือเงื่อนไขที่คณะกรรมการฯ หรือคณะอนุกรรมการกำหนดต้องระวางโทษปรับไม่เกินสามแสนบาท และปรับอีกไม่เกินวันละหนึ่งหมื่นบาทตลอดเวลาที่ยังฝ่าฝืนอยู่หรือจนกว่าจะได้ปฏิบัติให้ถูกต้อง
4.เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกาให้การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยดำเนินกิจการรถไฟฟ้าในจังหวัดเชียงใหม่ จังหวัดพังงา และจังหวัดภูเก็ต พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาให้การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยดำเนินกิจการรถไฟฟ้าในจังหวัดเชียงใหม่ จังหวัดพังงา และจังหวัดภูเก็ต พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้วดำเนินการต่อไปได้ และให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
สาระสำคัญของร่างพระราชกฤษฎีกา
เป็นการกำหนดให้การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยดำเนินกิจการรถไฟฟ้าในจังหวัดเชียงใหม่ จังหวัดพังงา และจังหวัดภูเก็ต เพิ่มเติมจากปัจจุบันที่สามารถดำเนินกิจการได้เพียงในกรุงเทพมหานครและปริมณฑลเท่านั้น อันเป็นการเพิ่มรูปแบบการเดินทางด้วยระบบขนส่งสาธารณะในเขตเมือง และขยายขีดความสามารถในการรองรับปริมาณผู้โดยสารของท่าอากาศยานในภูมิภาค
5.เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดบริเวณพื้นที่ป่าแม่แจ่ม และป่าขุนแม่ลาย ในท้องที่ตำบลปางหินฝน ตำบลช่างเคิ่ง ตำบลบ้านทับ ตำบลท่าผา ตำบลกองแขก อำเภอแม่แจ่ม และตำบลบ่อหลวง ตำบลบ่อสลี อำเภอฮอด จังหวัดเชียงใหม่ ให้เป็นอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. .... (อุทยานแห่งชาติแม่โถ)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดบริเวณพื้นที่ป่าแม่แจ่ม และป่าขุนแม่ลาย ในท้องที่ตำบลปางหินฝน ตำบลช่างเคิ่ง ตำบลบ้านทับ ตำบลท่าผา ตำบลกองแขก อำเภอแม่แจ่ม และตำบลบ่อหลวง ตำบลบ่อสลี อำเภอฮอด จังหวัดเชียงใหม่ ให้เป็นอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. .... (อุทยานแห่งชาติแม่โถ) ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
สาระสำคัญของร่างพระราชกฤษฎีกา
กำหนดบริเวณพื้นที่ดินป่าแม่แจ่ม และป่าขุนแม่ลาย ในท้องที่ตำบลปางหินฝน ตำบลช่างเคิ่ง ตำบลบ้านทับ ตำบลท่าผา ตำบลกองแขก อำเภอแม่แจ่ม และตำบลบ่อหลวง ตำบลบ่อสลี อำเภอฮอด จังหวัดเชียงใหม่ ให้เป็นอุทยานแห่งชาติ
6.เรื่อง ร่างกฎกระทรวงการขออนุญาตและการอนุญาตให้ทำการประมงน้ำจืดในที่จับสัตว์น้ำ ที่เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน พ.ศ. .... และร่างกฎกระทรวงการขออนุญาตและการอนุญาตให้ทำการประมงพื้นบ้าน พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงการขออนุญาตและการอนุญาตให้ทำการประมงน้ำจืดในที่จับสัตว์น้ำ ที่เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน พ.ศ. .... และร่างกฎกระทรวงการขออนุญาตและการอนุญาตให้ทำการประมงพื้นบ้าน พ.ศ. .... รวม 2 ฉบับ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กษ.) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้วดำเนินการต่อไปได้ และให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปได้ด้วย
กษ. เสนอว่า เนื่องจากกฎกระทรวงการขออนุญาตและการอนุญาตให้ทำการประมงน้ำจืดในที่จับสัตว์น้ำที่เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน พ.ศ. 2559 และกฎกระทรวงการขออนุญาตและการอนุญาตให้ทำการประมงพื้นบ้าน พ.ศ. 2559 ที่ใช้บังคับอยู่ในปัจจุบัน ไม่ได้กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการขออนุญาตและการอนุญาตสำหรับเครื่องมือการทำประมงที่ต้องใช้วิธีลงหลัก ปัก ผูก ขึง รั้ง ถ่วง หรือวิธีอื่นใดอันทำให้เครื่องมือนั้นอยู่กับที่ขณะทำการประมง ทำให้ไม่สามารถควบคุมการบริหารจัดการการทำประมงด้วยเครื่องมือดังกล่าวได้ สมควรปรับปรุงกฎกระทรวงดังกล่าวทั้ง 2 ฉบับ เพื่อกำหนดเพิ่มเติมหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการขออนุญาตและการอนุญาตให้ทำการประมงด้วยเครื่องมือลงหลัก ปัก ผูก ขึง รั้ง ถ่วง หรือวิธีการอื่นใดอันทำให้เครื่องมือนั้นอยู่กับที่ขณะทำการประมงได้ อันจะทำให้การทำประมงด้วยวิธีดังกล่าวมีการบริหารจัดการอย่างเหมาะสมทั้งจำนวนเครื่องมือและพื้นที่ที่ให้ติดตั้งทำการประมง ตลอดจนเพื่อประโยชน์ในการทำการประมงได้อย่างยั่งยืน
สาระสำคัญของร่างกฎกระทรวง
1. ร่างกฎกระทรวงการขออนุญาตและการอนุญาตให้ทำการประมงน้ำจืดในที่จับสัตว์น้ำที่เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน พ.ศ. .... เป็นการปรับปรุงกฎกระทรวงการขออนุญาตและการอนุญาตให้ทำการประมงน้ำจืดในที่จับสัตว์น้ำที่เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน พ.ศ. 2559 โดยกำหนดเพิ่มเติมหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการขออนุญาตและการอนุญาตทำการประมงที่ต้องใช้วิธีลงหลัก ปัก ผูก ขึง รั้ง ถ่วง หรือวิธีอื่นใดอันทำให้เครื่องมือนั้นอยู่กับที่ขณะทำการประมง ดังนี้
1.1 กำหนดให้ผู้ประสงค์จะทำการประมงต้องยื่นคำขอรับใบอนุญาตต่อพนักงานเจ้าหน้าที่พร้อมด้วยเอกสารหรือหลักฐานตามแบบคำขอ โดยให้อธิบดีหรือผู้ซึ่งอธิบดีมอบหมายกำหนดช่วงเวลายื่นคำขอรับใบอนุญาต โดยประกาศในราชกิจจานุเบกษาล่วงหน้าเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 15 วัน
1.2 กำหนดให้พนักงานเจ้าหน้าที่ต้องตรวจสอบจุดติดตั้งและพื้นที่ที่จะทำการติดตั้งเครื่องมือทำการประมงก่อนการอนุญาต
1.3 กำหนดให้การพิจารณาอนุญาตเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดในกฎกระทรวง โดยให้อธิบดีหรือผู้ซึ่งอธิบดีมอบหมายมีหนังสือแจ้งผลการพิจารณาภายใน 30 วัน นับแต่วันที่พ้นกำหนดเวลาที่ประกาศกำหนด และคำขอรับใบอนุญาตและเอกสารหรือหลักฐานถูกต้องและครบถ้วน ใบอนุญาตให้มีอายุ 2 ปี นับแต่วันที่ออกใบอนุญาต
1.4 กำหนดให้การออกใบอนุญาต ต้องระบุประเภท ชนิด ขนาด ลักษณะ และจำนวนของเครื่องมือทำการประมง และระบุพื้นที่ที่ติดตั้งเครื่องมือทำการประมงดังกล่าวด้วย
1.5 กำหนดข้อยกเว้นมิให้มีการต่ออายุใบอนุญาตสำหรับการทำประมงที่ต้องใช้วิธีลงหลัก ปัก ผูก ขึง รั้ง ถ่วง หรือวิธีอื่นใดทำให้เครื่องมือนั้นอยู่กับที่ขณะทำการประมง เพื่อให้การพิจารณาเป็นไปตามความเหมาะสมสอดคล้องกับสถานการณ์ที่อาจเปลี่ยนแปลงในอนาคต
2. ร่างกฎกระทรวงการขออนุญาตและการอนุญาตให้ทำการประมงพื้นบ้าน พ.ศ. .... เป็นการปรับปรุงกฎกระทรวงการขออนุญาตและการอนุญาตให้ทำการประมงพื้นบ้าน พ.ศ. 2559 โดยกำหนดเพิ่มเติมหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการขออนุญาตและการอนุญาตทำการประมงที่ต้องใช้วิธีลงหลัก ปัก ผูก ขึง รั้ง ถ่วง หรือวิธีอื่นใดอันทำให้เครื่องมือนั้นอยู่กับที่ขณะทำการประมง ดังนี้
2.1 กำหนดให้ผู้ประสงค์จะทำการประมงต้องยื่นคำขอรับใบอนุญาตต่ออธิบดีหรือผู้ซึ่งอธิบดีมอบหมายพร้อมด้วยเอกสารหรือหลักฐานตามแบบคำขอ โดยให้อธิบดีหรือผู้ซึ่งอธิบดีมอบหมายกำหนดช่วงเวลาการยื่นคำขอรับใบอนุญาต โดยประกาศในราชกิจจานุเบกษาล่วงหน้าเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 15 วัน
2.2 กำหนดให้อธิบดีหรือผู้ซึ่งอธิบดีมอบหมายนัดวันและเวลาโดยแจ้งเป็นหนังสือให้ผู้รับขอใบอนุญาตทราบเพื่อทำการตรวจสอบจุดติดตั้งเครื่องมือทำการประมงและตรวจสอบพื้นที่ที่จะให้ติดตั้งเครื่องมือทำการประมงนั้นให้ตรงกับที่ระบุในคำขอรับใบอนุญาต
2.3 กำหนดให้การพิจารณาอนุญาตเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดในกฎกระทรวง โดยให้อธิบดีหรือผู้ซึ่งอธิบดีมอบหมายแจ้งผลการพิจารณาภายใน 30 วัน นับแต่วันที่พ้นกำหนดเวลาที่ประกาศกำหนด และคำขอรับใบอนุญาตและเอกสารหรือหลักฐานถูกต้องและครบถ้วน ใบอนุญาตให้มีอายุ 2 ปี นับแต่วันที่ออกใบอนุญาต
2.4 กำหนดให้การออกใบอนุญาตต้องดำเนินการสำหรับเรือประมงแต่ละลำ และต้องระบุประเภท ชนิด ขนาด ลักษณะ และจำนวนของเครื่องมือทำการประมงไว้ในใบอนุญาตด้วยและกรณีที่เป็นการออกใบอนุญาตสำหรับการใช้เครื่องมือทำการประมงที่ต้องใช้วิธีลงหลัก ปัก ผูก ขึง รั้ง ถ่วง หรืออื่นใดอันทำให้เครื่องมือนั้นอยู่กับที่เวลาทำการประมง ให้ระบุพื้นที่ที่ติดตั้งเครื่องมือทำการประมงนั้นด้วย
2.5 กำหนดข้อยกเว้นมิให้มีการต่ออายุใบอนุญาตสำหรับการทำประมงที่ต้องใช้วิธีลงหลัก ปัก ผูก ขึง รั้ง ถ่วง หรือการอื่นใดอันทำให้เครื่องมือนั้นอยู่กับที่ขณะทำการประมง เพื่อให้การพิจารณาเป็นไปตามความเหมาะสมสอดคล้องกับสถานการณ์ที่อาจเปลี่ยนแปลงในอนาคต
เศรษฐกิจ-สังคม
7.เรื่อง ขอความเห็นชอบวงเงินอุดหนุนบริการสาธารณะประจำปีงบประมาณ 2562 ขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพและการรถไฟแห่งประเทศไทย
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลัง (กค.) เสนอ ดังนี้
1. เห็นชอบวงเงินอุดหนุนบริการสาธารณะประจำปีงบประมาณ 2562 ขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) จำนวน 2,251.644 ล้านบาท ตามมติคณะกรรมการเงินอุดหนุนบริการสาธารณะ (คณะกรรมการฯ)
2. เห็นชอบวงเงินอุดหนุนบริการสาธารณะประจำปีงบประมาณ 2562 ของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) จำนวน 3,333.371 ล้านบาท ตามมติคณะกรรมการฯ
3. ให้ ขสมก. และ รฟท. รายงานภาระที่รัฐต้องรับชดเชยค่าใช้จ่ายหรือการสูญเสียรายได้ ในการดำเนินกิจกรรมมาตรการ หรือโครงการตามที่กำหนดไว้ในมาตรา 28 แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 ให้ กค. (สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง) ทราบ เพื่อสำนักงานเศรษฐกิจการคลังจะได้ดำเนินการจัดเก็บข้อมูลยอดคงค้างให้เป็นไปตามข้อเท็จจริงต่อไป
ทั้งนี้ เพื่อให้การประมาณการรายได้และค่าใช้จ่าย (ต้นทุนของการให้บริการสาธารณะ) ในการขอรับเงินอุดหนุนบริการสาธารณะขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพและการรถไฟแห่งประเทศไทยเป็นไปอย่างเหมาะสม สามารถสะท้อนรายได้และต้นทุนที่แท้จริงของการให้บริการสาธารณะได้อย่างถูกต้อง เห็นควรให้กระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการดำเนินการตามข้อ 1) -3) ให้แล้วเสร็จโดยเร็วต่อไป ดังนี้
1) ให้กระทรวงคมนาคม (องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพและการรถไฟแห่งประเทศไทย) เร่งจัดทำต้นทุนมาตรฐานเพื่อใช้ในการกำกับดูแลอัตราค่าโดยสารและคุณภาพการให้บริการให้แล้วเสร็จโดยด่วน ตามที่คณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจได้มีมติมอบหมายไว้ ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติรับทราบตามมติคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจเมื่อวันที่ 17 มกราคม 2560 และ 4 เมษายน 2560 ด้วยแล้ว ทั้งนี้ เพื่อนำข้อมูลต้นทุนมาตรฐานดังกล่าวมาใช้ประกอบการพิจารณาจัดสรรเงินอุดหนุนบริการสาธารณะของคณะกรรมการเงินอุดหนุนบริการสาธารณะต่อไป
2) ให้กระทรวงการคลังร่วมกับกระทรวงเจ้าสังกัดของรัฐวิสาหกิจที่เข้าข่ายต้องขอรับเงินอุดหนุนบริการสาธารณะพิจารณาปรับปรุงแก้ไขระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการให้เงินอุดหนุนบริการสาธารณะของรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. 2554 รวมทั้งกำหนดหลักเกณฑ์ให้มีความชัดเจน เหมาะสม และสอดคล้องกับสภาพการณ์จริงที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน
3) ให้กระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดดำเนินการจัดทำข้อตกลงการให้บริการสาธารณะและเบิกจ่ายเงินอุดหนุนบริการสาธารณะให้มีความรวดเร็วมากยิ่งขึ้นเพื่อลดปัญหาการขาดสภาพคล่องของรัฐวิสาหกิจและภาระดอกเบี้ยที่เกิดจากการกู้ยืมเงินมาให้บริการสาธารณะ ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2561
8.เรื่อง ขอต่ออายุเงินกู้ระยะสั้นแบบ Credit Line ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบดังนี้
1. เห็นชอบให้กระทรวงพลังงาน (การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย) ต่ออายุเงินกู้ระยะสั้นแบบ Credit Line ในวงเงิน 10,000 ล้านบาท ระยะเวลา 3 ปี นับตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (11 กันยายน 2561) ภายใต้เงื่อนไขเดิม ประกอบด้วย กู้เบิกเกินบัญชี ตั๋วสัญญาใช้เงินการทำ Trust Receipt (T/R) และการทำสัญญากู้เงินเมื่อทวงถาม (Call Loan) โดยพิจารณาทำสัญญาเงินกู้กับสถาบันการเงินที่เสนอรูปแบบที่มีต้นทุนต่ำที่สุดตามอัตราดอกเบี้ยตลาด กระทรวงการคลังไม่ค้ำประกันเงินต้นและดอกเบี้ยจากการกู้เงินดังกล่าว ทั้งนี้ ให้กระทรวงพลังงานและการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยรับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
2. ในอนาคตหากการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยยังมีความจำเป็นต้องต่ออายุเงินกู้ระยะสั้นแบบ Credit Line ให้กระทรวงพลังงานเร่งรัดดำเนินการนำเรื่องดังกล่าวเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรีก่อนวันที่วงเงินกู้เดิมจะหมดอายุ เพื่อให้เป็นไปตามบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัติการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2511 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 43 (4) และป้องกันมิให้เกิดความเสี่ยงในการบริหารจัดการสภาพคล่องของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยต่อไป
9.เรื่อง ขออนุมัติโครงการเฉลิมพระเกียรติเจ้าฟ้าจุฬาภรณ์ เนื่องในโอกาสมหามงคลพระชนมายุ 60 พรรษา
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบ ดังนี้
1. เห็นชอบในหลักการโครงการเฉลิมพระเกียรติเจ้าฟ้าจุฬาภรณ์ เนื่องในโอกาสมหามงคล พระชนมายุ 60 พรรษา ตามที่ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ (รจภ.) เสนอ สำหรับค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการดังกล่าวให้เป็นตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
2. ให้ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ส่งข้อมูลเกี่ยวกับการเตรียมกำลังคนด้านการวิจัยและวิชาการของราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ รวมถึงโครงการทุนเฉลิมพระเกียรติเจ้าฟ้าจุฬาภรณ์ฯ เพื่อพัฒนาผู้มีอัจฉริยภาพทางวิทยาศาสตร์การแพทย์ และบุคลากรทางการแพทย์ด้านภัยพิบัติ และโครงการทุนเฉลิมพระเกียรติเจ้าฟ้าจุฬาภรณ์ฯ เพื่อพัฒนาผู้มีอัจฉริยภาพทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ให้คณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐไปประกอบการพิจารณาในการจัดทำแผนยุทธศาสตร์การปฏิรูปกำลังคนและภารกิจบริการด้านสาธารณสุข ตามนัยมติคณะรัฐมนตรี (28 พฤษภาคม 2561) ด้วย
3. ให้ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์รับความเห็นของกระทรวงศึกษาธิการ สำนักงบประมาณ และสำนักงาน ก.พ. ไปพิจารณาและดำเนินการต่อไปด้วย
สาระสำคัญของเรื่อง
ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ได้เสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบในหลักการโครงการเฉลิมพระเกียรติเจ้าฟ้าจุฬาภรณ์ เนื่องในโอกาสมหามงคลพระชนมายุ 60 พรรษา ภายในกรอบวงเงิน 10,232.731 ล้านบาท โดยดำเนินโครงการตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ.2562 - 2574 ประกอบด้วย 1. โครงการศูนย์การเรียนรู้และวิจัยเฉลิมพระเกียรติ 60 พรรษา เจ้าฟ้าจุฬาภรณ์ (ปีงบประมาณ พ.ศ.2562 - 2567) 2. โครงการทุนเฉลิมพระเกียรติเจ้าฟ้าจุฬาภรณ์ เนื่องในโอกาสมหามงคลพระชนมายุ 60 พรรษา เพื่อพัฒนาผู้มีอัจฉริยภาพทางวิทยาศาสตร์การแพทย์ และบุคลากรทางการแพทย์ด้านภัยพิบัติ (ปีงบประมาณ พ.ศ.2562 - 2574) 3. โครงการทุนเฉลิมพระเกียรติเจ้าฟ้าจุฬาภรณ์ เนื่องในโอกาสมหามงคลพระชนมายุ 60 พรรษา เพื่อพัฒนาผู้มีอัจฉริยภาพทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (ปีงบประมาณ พ.ศ.2562 - 2571) 4. โครงการศูนย์แพทย์ภัยพิบัติและฉุกเฉินเจ้าฟ้าจุฬาภรณ์ (ระยะที่ 1) (ปีงบประมาณ พ.ศ. 2562-2566)
10.เรื่อง ขอยกเว้นการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีในการนำเงินนอกงบประมาณไปใช้ในการบรรจุแต่งตั้งเจ้าหน้าที่เพื่อปฏิบัติงานในหน่วยงาน
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติดังนี้
1. อนุมัติให้สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (สำนักงาน ปปง.) ได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 30 กันยายน 2558 (เรื่อง การเพิ่มอัตราข้าราชการตั้งใหม่ให้กับส่วนราชการ ปีงบประมาณ พ.ศ. 2558) ในการจัดจ้างลูกจ้างชั่วคราวได้เฉพาะปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 จำนวน 70 อัตรา โดยใช้เงินจากกองทุนการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน และให้สำนักงาน ปปง. รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปดำเนินการต่อไปด้วย
2. ให้สำนักงาน ปปง. เร่งดำเนินการบรรจุข้าราชการในอัตราที่ได้รับการจัดสรรตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม 2559 (เรื่อง การเพิ่มอัตราข้าราชการตั้งใหม่ของสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินปีงบประมาณ พ.ศ. 2559) และอัตราว่างที่เหลืออยู่ให้แล้วเสร็จโดยเร็วภายในปีงบประมาณ 2562 รวมทั้ง ยกเลิกการจ้างลูกจ้างชั่วคราวดังกล่าวตามนัยความเห็นของสำนักงาน ก.พ. และฝ่ายเลขานุการร่วมคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ
3. ให้สำนักงาน ปปง. ปรับปรุงการบริหารจัดการและกระบวนการปฏิบัติงาน และพิจารณาจัดทำแผนอัตรากำลังที่เหมาะสมร่วมกับคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 26 กันยายน 2560 (เรื่อง ขอยกเว้นการดำเนินการนัยมติคณะรัฐมนตรีในการนำเงินนอกงบประมาณไปใช้ในการบรรจุแต่งตั้งเจ้าหน้าที่เพื่อปฏิบัติงานในหน่วยงาน) ต่อไปด้วย
11.ขออนุมัติผู้แทนรัฐบาลไทยลงนามในข้อตกลงซื้อสะพานเครื่องหนุนมั่น (Modular Fast Bridge) จำนวน 2 ชุด
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ ให้ผู้บัญชาการทหารบกหรือผู้แทน (เจ้ากรมการทหารช่าง) เป็นผู้แทนรัฐบาลไทยลงนามในข้อตกลงการจัดซื้อสะพานเครื่องหนุนมั่น (Modular Fast Bridge) จำนวน 2 ชุด ระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนจีน รวมถึงการลงนามในเอกสารการแก้ไขข้อตกลงในส่วนที่มิใช่สาระสำคัญโดยไม่เพิ่มวงเงินจากที่ได้รับอนุมัติไว้ในภายหลัง
12.เรื่อง การทบทวนโครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2561/62
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติทบทวนมาตรการรักษาเสถียรภาพราคาข้าว ปีการผลิต 2561/62 โครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2561/61 ตามมติคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าว (นบข.) ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอดังนี้
ข้าวเปลือกตันละ 1,500 บาท จากมติคณะรัฐมนตรี (24 กรกาคม 2561) เดิมให้สหกรณ์ตันละ 1,000 บาท และเกษตรกรได้รับตันละ 500 บาท ปรับเป็น “ให้เกษตรกรได้รับตันละ 1,000 บาท และสหกรณ์ได้รับตันละ 500 บาท”
13.เรื่อง การขอรับเงินจัดสรรเป็นทุนประเดิมและเงินอุดหนุนให้แก่กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษาปีงบประมาณ 2561
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ที่กระทรวงการคลังอนุมัติให้ขยายเวลาเบิกจ่ายเงินงบประมาณได้ถึงวันทำการสุดท้ายของเดือนมีนาคม 2562 แล้ว ให้แก่กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) เพื่อเป็นค่าใช้จ่าย ดังนี้
1. ทุนประเดิมงวดแรกให้แก่กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา จำนวน 700,000,000 บาท (เจ็ดร้อยล้านบาทถ้วน)
2. เงินรายปีสำหรับดำเนินภารกิจของกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา จำนวน 499,187,400 บาท (สี่ร้อยเก้าสิบเก้าล้านหนึ่งแสนแปดหมื่นเจ็ดพันสี่ร้อยบาทถ้วน)
ตามนัยพระราชบัญญัติกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา พ.ศ. 2561 โดยให้เบิกจ่ายในงบรายจ่ายอื่น และขอให้กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษาใช้จ่ายตามแผนการใช้เงินที่ผ่านความเห็นชอบของคณะกรรมการบริหารกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษาแล้ว โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของทางราชการเป็นสำคัญ รวมถึงการใช้จ่ายเงินสำหรับการดำเนินภารกิจดังกล่าวจะต้องเป็นไปอย่างโปร่งใส คุ้มค่าและประหยัด โดยพิจารณาเป้าหมายตามวัตถุประสงค์ของกองทุนฯ ให้ถูกต้องครบถ้วน ประโยชน์ที่ภาครัฐและประชาชนจะได้รับ เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพและเกิดผลสัมฤทธิ์ในการบริหารจัดการกองทุนฯ อย่างยั่งยืน ตามนัยของพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของภาครัฐ พ.ศ. 2561 ต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
14.เรื่อง รายงานผลการดำเนินการของคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐเกี่ยวกับมาตรการด้านกำลังคนภาครัฐ
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการของคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐเกี่ยวกับมาตรการด้านกำลังคนภาครัฐ ตามที่คณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐเสนอ และให้คณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐเร่งรัดการกำหนดมาตรการบริหารและพัฒนากำลังคนภาครัฐระยะถัดไปให้แล้วเสร็จโดยเร็ว ทั้งนี้ ให้พิจารณาให้สอดคล้องกับประเด็นการปฏิรูปและร่างกรอบยุทธศาสตร์ชาติ ระยะ 20 ปี ด้านการปรับสมดุลและพัฒนาระบบการบริหารจัดการภาครัฐด้วย
สาระสำคัญของเรื่อง
คณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ (คปร.) ได้รายงานผลการดำเนินการของ คปร. เกี่ยวกับมาตรการด้านกำลังคนภาครัฐ รวม 2 เรื่อง สรุปได้ดังนี้
1. แนวทางการดำเนินการเพื่อรองรับการทดแทนอัตราว่างจากผลการเกษียณอายุของข้าราชการด้วยการจ้างงานรูปแบบอื่น คปร. ได้กำหนดเป็น “แนวทางการดำเนินการ” เพื่อให้ส่วนราชการและองค์กรกลางบริหารทรัพยากรบุคคลที่เกี่ยวข้องนำไปปฏิบัติและใช้เป็นแนวทางประกอบการพิจารณาดำเนินการตามแนวทางการทดแทนอัตราว่างจากผลการเกษียณอายุของข้าราชการด้วยการจ้างงานรูปแบบอื่น ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบเมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2560 โดยกำหนดให้แนวทางดังกล่าวใช้บังคับในวันที่ 1 ตุลาคม 2561
ทั้งนี้ การจัดสรรอัตราว่างจากผลการเกษียณอายุของข้าราชการฯ ในส่วนของข้าราชการพลเรือนสามัญได้แบ่งเป็น 2 กรณี คือ 1) ส่วนราชการที่มีอัตราข้าราชการไม่เกิน 1,000 อัตรา ให้จัดสรรอัตราว่างจากผลการเกษียณอายุของข้าราชการคืนส่วนราชการเดิมทั้งหมด 2) ส่วนราชการที่มีอัตราข้าราชการเกิน 1,000 อัตราให้จัดสรรอัตราว่างจากผลการเกษียณอายุของข้าราชการตำแหน่งประเภทบริหาร/อำนวยการ คืนส่วนราชการเดิมทั้งหมด ส่วนตำแหน่งประเภทวิชาการ/ทั่วไป ให้จัดสรรคืนส่วนราชการเดิมร้อยละ 20 ที่เหลืออีกร้อยละ 80 ให้ อ.ก.พ. กระทรวงพิจารณาตามหลักเกณฑ์การทดแทนด้วยการจ้างรูปแบบอื่น อย่างไรก็ดี คปร. ได้กำหนดกรณียกเว้นเฉพาะสิ้นปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 ไว้ด้วย เนื่องจากเป็นระยะเปลี่ยนผ่านของการดำเนินการตามมาตรการฯ แนวทางการทดแทนฯ พระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 รวมทั้งกรณีตำแหน่งหัวหน้าหน่วยงานมีผู้ใต้บังคับบัญชาเป็นพนักงานราชการ/ลูกจ้างชั่วคราวจำนวนมาก เช่น ผู้อำนวยการโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล หัวหน้าอุทยาน กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช
นอกจากนี้ ได้กำหนดแนวทางการจัดสรรอัตรากำลังพนักงานราชการเพิ่มเติมเพื่อรองรับการทดแทนอัตราว่างจากผลการเกษียณอายุของข้าราชการด้วยการจ้างงานรูปแบบอื่นด้วย เช่น ให้ทดแทนอัตราข้าราชการเกษียณ 1 อัตรา ต่อพนักงานราชการ 1 อัตรา (1 : 1)
2. ผลการดำเนินการบรรจุและแต่งตั้งอัตราข้าราชการตั้งใหม่ของส่วนราชการ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2558-2561 และการกำหนดแนวทางปฏิบัติให้แก่ส่วนราชการเป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินการตามมาตรการบริหารและพัฒนากำลังคนภาครัฐ (พ.ศ. 2557-2561) ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบเมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2556 โดย คปร. ได้รายงานว่า ส่วนราชการได้บรรจุ/แต่งตั้งข้าราชการแล้ว 21,685 อัตรา คิดเป็นร้อยละ 75.52 จากที่ได้รับอนุมัติอัตราข้าราชการตั้งใหม่ 28,713 อัตรา ใน 25 ส่วนราชการ นอกจากนี้ ได้กำหนดแนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับการบริหารอัตราข้าราชการตั้งใหม่ของส่วนราชการ โดยให้ส่วนราชการดำเนินการบรรจุ/แต่งตั้งให้แล้วเสร็จโดยเร็ว หรือภายในระยะเวลา 1 ปี นับแต่วันที่ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรี
ต่างประเทศ
15.เรื่อง การเพิ่มทุนแบบสามัญและเฉพาะเจาะจงของกลุ่มธนาคารโลก ปี 2561
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการซื้อหุ้นเพิ่มทุนแบบสามัญ (General Capital Increase) และการซื้อหุ้นเพิ่มทุนแบบเฉพาะเจาะจง (Selective Capital Increase) ของธนาคารระหว่างประเทศเพื่อการบูรณะและวิวัฒนาการ (International Bank for Reconstruction and Development : IBRD) และบรรษัทการเงินระหว่างประเทศ (The International Finance Corporation : IFC) ในวงเงินจำนวน 77.99 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในระยะเวลา 5 ปี หรือประมาณ 2,652 ล้านบาท (คำนวณ ณ อัตราแลกเปลี่ยนที่ 34 บาท ต่อ 1 ดอลลาร์สหรัฐ) โดยแบ่งออกเป็น (1) ส่วนของ IBRD จำนวน 38.44 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 1,307 ล้านบาท และ (2) ส่วนของ IFC จำนวน 39.56 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 1,345 ล้านบาท ตามที่กระทรวงการคลัง (กค.) เสนอ สำหรับภาระค่าใช้จ่ายในการซื้อหุ้นเพิ่มทุนฯ ดังกล่าวให้กระทรวงการคลังจัดทำแผนปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณภายใต้กรอบวงเงินและแผนการชำระเงิน โดยคำนึงถึงห้วงเวลาในการชำระเงินที่เหมาะสม เพื่อให้การใช้จ่ายเงินเป็นไปอย่างคุ้มค่า ประหยัด และเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามขั้นตอนและวิธีการงบประมาณต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
16.เรื่อง การดำเนินการตามข้อมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งประชาชาติเกี่ยวกับสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) เสนอ ดังนี้
1. เห็นชอบรับรองการดำเนินการตามข้อมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (United Nations Security Council: UNSC) ที่ 2078 (ค.ศ. 2012) ที่ 2136 (ค.ศ. 2014) ที่ 2198 (ค.ศ. 2015) ที่ 2293 (ค.ศ. 2016) ที่ 2360 (ค.ศ. 2017) และ ที่ 2424 (ค.ศ. 2018) เกี่ยวกับสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก
2. กรณีที่ UNSC ได้ออกข้อมติเพื่อคงไว้ซึ่งมาตรการลงโทษเกี่ยวกับสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโกเป็นประจำทุกปี และเนื้อหาของข้อมติใหม่มิได้เปลี่ยนแปลงสาระสำคัญของมาตรการลงโทษที่มีอยู่เดิม เห็นชอบให้ กต. ดำเนินการไปได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณา และหากกรณีที่ UNSC จะรับรองข้อมติเพื่อเปลี่ยนแปลงสาระสำคัญหรือยกเลิกมาตรการลงโทษกรณีสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก เห็นชอบให้ กต. เสนอเรื่องที่มีการเปลี่ยนแปลงสาระสำคัญหรือยกเลิกมาตรการลงโทษดังกล่าวให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป
3. มอบหมายให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงกลาโหม (กห.) กระทรวงการคลัง (กค.) กระทรวงคมนาคม (คค.) กระทรวงพาณิชย์ (พณ.) กระทรวงมหาดไทย (มท.) สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) สำนักข่าวกรองแห่งชาติ (สขช.) สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตช.) สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (สำนักงาน ปปง.) ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) สำนักงานอัยการสูงสุด (อส.) สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา (สคก.) ถือปฏิบัติและปรับปรุงฐานข้อมูลเกี่ยวกับมาตรการลงโทษสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก โดยเฉพาะรายชื่อบุคคลและองค์กรที่ต้องถูกมาตรการลงโทษให้ทันสมัยตามข้อมูลเว็บไซต์ของสหประชาชาติ (United Nations: UN) https://www.un.org/sc/suborg/en/sanctions/1533) และแจ้งผลการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องให้ กต.ทราบ เพื่อประโยชน์ในการรายงานต่อ UN ต่อไป ทั้งนี้ UN จะปรับปรุงรายชื่อบุคคลและองค์กรที่ถูกมาตรการลงโทษภายใต้หัวข้อ “Sanctions List Materials” เป็นระยะ
สาระสำคัญของเรื่อง กต. ได้เสนอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบรับรองการดำเนินการตามข้อมติคณะรัฐมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (United Nations Security Council : UNSC) ที่ 2078 (ค.ศ. 2012) ที่ 2136 (ค.ศ. 2014) ที่ 2198 (ค.ศ. 2015) ที่ 2293 (ค.ศ. 2016) ที่ 2360 (ค.ศ. 2017) และที่ 2424 (ค.ศ. 2018) เกี่ยวกับสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก และหากกรณีที่ UNSC จะรับรองข้อมติเพื่อเปลี่ยนแปลงสาระสำคัญหรือยกเลิกมาตรการลงโทษกรณีสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโกเห็นควรให้ความเห็นชอบให้กระทรวงการต่างประเทศเสนอเรื่องที่มีการเปลี่ยนแปลงสาระสำคัญหรือยกเลิกมาตรการลงโทษดังกล่าวให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป ซึ่งที่ผ่านมา UNSC ได้มีข้อมติเพื่อกำหนดมาตรการลงโทษสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโกมาแล้ว โดยในครั้งนี้ UNSC ได้รับรองข้อมติเพื่อต่ออายุมาตรการลงโทษสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก ซึ่งประกอบด้วยมาตรการทางอาวุธ การห้ามเดินทาง และการอายัดทรัพย์สิน ได้แก่ ข้อมติฯ ที่ 2078 (ค.ศ. 2012) ที่ 2136 (ค.ศ. 2014) ที่ 2198 (ค.ศ. 2015) ที่ 2293 (ค.ศ. 2016) ที่ 2360 (ค.ศ. 2017) และ ที่ 2424 (ค.ศ. 2018) โดยข้อมติที่ 2424 (ค.ศ. 2018) เป็นข้อมติล่าสุดซึ่งได้รับการรับรองเมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2561 เพื่อขยายเวลาการบังคับใช้มาตรการลงโทษดังกล่าวออกไปจนถึงวันที่ 1 กรกฎาคม 2562
17.เรื่อง การรับรองร่างปฏิญญาคำมั่นร่วมกันเกี่ยวกับปฏิบัติการรักษาสันติภาพของสหประชาชาติ (Declaration of Shared Commitments on UN Peacekeeping Operations)
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) เสนอ ดังนี้
1. เห็นชอบการรับรองร่างปฏิญญาคำมั่นร่วมกันว่าด้วยปฏิบัติการรักษาสันติภาพของสหประชาชาติ (Declaration of Shared Commitments on UN Peacekeeping Operations) โดยหากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงร่างปฏิญญาฯ ในส่วนที่มิใช่สาระสำคัญก่อนการรับรอง หากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติหรือให้ความเห็นชอบไว้ กต. สามารถดำเนินการได้โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลังพร้อมทั้งชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย
2. มอบหมายให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงกลาโหม (กห.) กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) กระทรวงยุติธรรม (ยธ.) และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตช.) และหน่วยงานที่ส่งบุคลากรเข้าร่วมภารกิจของสหประชาชาติในพื้นที่ต่าง ๆ ถือปฏิบัติในส่วนที่เกี่ยวข้อง
สาระสำคัญของเรื่อง กต. ได้เสนอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบการรับรองร่างปฏิญญาคำมั่นร่วมกันว่าด้วยปฏิบัติการรักษาสันติภาพของสหประชาชาติ (Declaration of Shared Commitments on UN Peacekeeping Operations) เพื่อ กต. จะได้แจ้งสหประชาชาติทราบภายในวันที่ 19 กันยายน 2561 ก่อนที่จะมีการรับรองอย่างเป็นทางการในระหว่างการประชุม High-level Meeting on Action for Peacekeeping (HLM on A4P) ซึ่งร่างปฏิญญาดังกล่าวครอบคลุมประเด็นต่าง ๆ ได้แก่ 1. การส่งเสริมการแก้ไขความขัดแย้งโดยวิธีทางการเมืองและการยกระดับผลทางการเมืองของการรักษาสันติภาพ 2. การเสริมสร้างการคุ้มครองพลเรือนโดยปฏิบัติการรักษาสันติภาพ 3. การพัฒนาความปลอดภัยและความมั่นคงของเจ้าหน้าที่รักษาสันติภาพ 4. การสนับสนุนการทำงานที่มีประสิทธิภาพและการตรวจสอบได้ของทุกภาคส่วนในการรักษาสันติภาพ 5. การเสริมสร้างผลของการรักษาสันติภาพต่อการทำให้สันติภาพยั่งยืน (sustaining peace) 6. การพัฒนาความเป็นหุ้นส่วนในการรักษาสันติภาพ 7. การเสริมสร้างการปฏิบัติของปฏิบัติการและบุคลากรในการรักษาสันติภาพ ซึ่งได้มีการมอบหมายให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงกลาโหม กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงยุติธรรม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และหน่วยงานที่ส่งบุคลากรเข้าร่วมภารกิจของสหประชาชาติ ในพื้นที่ต่างๆ ถือปฏิบัติในส่วนที่เกี่ยวข้อง
18.เรื่อง ขอความเห็นชอบการจัดทำโครงการและลงนามหนังสือยืนยันการเข้าร่วมโครงการกับองค์การพัฒนาอุตสาหกรรมแห่งสหประชาชาติ (UNIDO)
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงอุตสาหกรรม (อก.) เสนอ ดังนี้
1. ให้ อก. โดยกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ ร่วมกับองค์การพัฒนาอุตสาหกรรมแห่งสหประชาชาติ (United Nations Industrial Development Organization : UNIDO) ดำเนินโครงการส่งเสริมการนำแนวทางด้านเทคนิคที่ดีที่สุดและแนวทางการปฏิบัติด้านสิ่งแวดล้อมที่ดีที่สุดมาใช้ลดการปลดปล่อยสารมลพิษที่ตกค้างยาวนานประเภทปลดปล่อยโดยไม่จงใจจากโรงงานหลอมโลหะผ่านการปรับปรุงห่วงโซ่อุปทานของเศษโลหะให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (Greening the Scrap Metal Value Chain through Promotion of BAT/BEP to Reduce U-POPs Releases from Recycling Facilities)
2. ร่างหนังสือยืนยันการเข้าร่วมโครงการฯ กับ UNIDO
3. ให้ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมเป็นผู้ลงนามหนังสือยืนยันการเข้าร่วมโครงการฯ
สำหรับค่าใช้จ่ายที่ฝ่ายไทยต้องร่วมสนับสนุนในการดำเนินการผ่านหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องในปีแรกและที่จะเกิดขึ้นในปีต่อ ๆ ไป ให้ อก. ดำเนินการตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ ให้ อก. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับข้อสังเกตของสำนักงบประมาณและความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
สาระสำคัญของเรื่อง อก. แจ้งว่า อก. โดยกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ร่วมกับองค์การพัฒนาอุตสาหกรรมแห่งสหประชาชาติ (UNIDO) จัดทำโครงการ Greening the Scrap Metal Value Chain through Promotion of BAT/BEP to Reduce U-POPs Releases from Recycling Facilities เพื่อขอรับการสนับสนุนงบประมาณจากกองทุนสิ่งแวดล้อมโลก (GEF) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการนำแนวทางด้านเทคนิคที่ดีที่สุดและแนวการปฏิบัติด้านสิ่งแวดล้อมที่ดีที่สุดมาใช้ลดการปลดปล่อยสารมลพิษที่ตกค้างยาวนานประเภทปลดปล่อยโดยไม่จงใจ เช่น ไดออกซินและฟิวแรนจากโรงงานหลอมโลหะ โดยกำหนดเป้าหมายการลดการปลดปล่อยต้องไม่น้อยกว่าร้อยละ 20 ภายในระยะเวลา 5 ปี ซึ่งปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมปฏิบัติหน้าที่ Operational Focal Point ได้ให้การรับรองข้อเสนอโครงการดังกล่าวแล้ว และ GEF ได้พิจารณาอนุมัติงบประมาณในการดำเนินโครงการแล้วในรูปเงินสด จำนวน 4.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยรวมเข้ากับงบประมาณสนับสนุน (Co-Financing) จากหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องและผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการ จำนวน 33.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
จากการดำเนินโครงการฯ ไทยจะได้รับประโยชน์ เช่น (1) พัฒนาแนวปฏิบัติด้านสิ่งแวดล้อมสุขภาพอนามัย และมาตรการความปลอดภัยในการรีไซเคิลโลหะ (2) ปรับปรุงและบูรณาการนโยบายและระเบียบปฏิบัติในการป้องกันสิ่งแวดล้อมและสุขภาพอนามัยของประชาชนจากกิจกรรมในการนำโลหะกลับมาใช้ใหม่ (3) การฝึกอบรมเจ้าหน้าที่เทคนิคและภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ซึ่งมีศักยภาพเกี่ยวกับการใช้แนวทางด้านเทคนิคที่ดีที่สุดและแนวทางการปฏิบัติด้านสิ่งแวดล้อมที่ดีที่สุด (BAT/BEP) (4) ผลที่ได้รับจากโครงการสาธิตได้รับการเผยแพร่เพื่อขยายผลต่อไป
19.เรื่อง ร่างสัญญาประธานในการจ้างธนาคารโลกเป็นที่ปรึกษาแบบมีค่าใช้จ่าย
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างสัญญาประธานในการจ้างธนาคารโลกเป็นที่ปรึกษาแบบมีค่าใช้จ่าย และมอบหมายให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเป็นผู้ลงนามในร่างสัญญาประธานในการจ้างธนาคารโลกเป็นที่ปรึกษาแบบมีค่าใช้จ่าย เพื่อใช้เป็นสัญญาประธานในการจ้างธนาคารโลกเป็นที่ปรึกษาแบบมีค่าใช้จ่ายของทุกหน่วยงานรัฐต่อไป ตามที่กระทรวงการคลัง (กค.) เสนอ
ทั้งนี้ ในกรณีที่มีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงร่างสัญญาประธานในการจ้างธนาคารโลกเป็นที่ปรึกษาแบบมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมจากที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติหรือให้ความเห็นชอบไปแล้ว หากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติหรือให้ความเห็นชอบไว้ ให้ กค. สามารถดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว ตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2558
สาระสำคัญของเรื่อง
กระทรวงการคลังเสนอร่างสัญญาประธานในการจ้างธนาคารโลกเป็นที่ปรึกษาแบบมีค่าใช้จ่าย (Reimbursable Advisory Services: RAS) ซึ่งเป็นรูปแบบหนึ่งของความร่วมมือทางวิชาการระหว่างธนาคารโลกและประเทศต่างๆ โดยร่างสัญญาประธานดังกล่าวที่กระทรวงการคลังร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่างขึ้นมานั้น จะเป็นการกำหนดแนวทางความร่วมมือ ข้อกำหนดและเงื่อนไขที่ธนาคารโลกในฐานะผู้ให้บริการให้คำปรึกษาและหน่วยงานของรัฐในฐานะผู้รับบริการการให้คำปรึกษาต้องปฏิบัติตาม ทั้งนี้ ในส่วนของรูปแบบสัญญาในการจ้างที่ปรึกษานั้น คณะกรรมการนโยบายการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐมีความเห็นว่า กระทรวงการคลังได้ดำเนินการตามมาตรา 93 วรรคสาม แห่งพระราชบัญญัติจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ.2560 ที่บัญญัติให้ในกรณีที่ร่างสัญญาขึ้นใหม่ให้ส่งร่างนั้นไปให้สำนักงานอัยการสูงสุดพิจารณาให้ความเห็นชอบก่อน ซึ่งกรณีดังกล่าวข้างต้นนี้ สำนักงานอัยการสูงสุดได้ตรวจพิจารณาร่างสัญญาประธานฉบับภาษาอังกฤษแล้ว และเมื่อร่างสัญญาประธานในการจ้างธนาคารโลกเป็นที่ปรึกษาแบบมีค่าใช้จ่ายมีผลบังคับใช้ หน่วยงานของรัฐก็จะสามารถดำเนินการเจรจารายละเอียดทางด้านเทคนิคในส่วนที่เกี่ยวข้องกับโครงการที่จะจ้างที่ปรึกษาโดยที่ไม่ต้องจัดทำร่างสัญญาเฉพาะรายโครงการและส่งให้สำนักงานอัยการสูงสุดตรวจพิจารณาอีก ดังนั้น ร่างสัญญาประธานในการจ้างธนาคารโลกเป็นที่ปรึกษาแบบมีค่าใช้จ่ายที่กระทรวงการคลังเสนอมาในครั้งนี้จะสามารถช่วยลดระยะเวลาในการเจรจาข้อสัญญา ทำให้หน่วยงานของรัฐสามารถดำเนินการโครงการต่างๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาประเทศได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
20.เรื่อง การขอรับจัดสรรงบเงินอุดหนุนแก่มูลนิธิอาเซียน (ASEAN Foundation)
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการให้กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) ตั้งคำของบประมาณ เพื่อขอรับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีของ กต. งบเงินอุดหนุน เพื่อสนับสนุนการดำเนินงานของมูลนิธิอาเซียน จำนวนปีละ 15,000 ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 492,210 บาท) ตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 เป็นต้นไป โดยไม่ต้องเสนอเรื่องให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาอีก ตามที่ กต. เสนอ
สาระสำคัญของเรื่อง กต.ได้เสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบในหลักการให้ตั้งคำของบประมาณเพื่อขอรับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีของ กต. งบเงินอุดหนุน เพื่อสนับสนุนการดำเนินงานของมูลนิธิอาเซียน จำนวนปีละ 15,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 492,210 บาท (32.814 บาทต่อ 1 ดอลลาร์สหรัฐ โดยใช้อัตราแลกเปลี่ยนของธนาคารแห่งประเทศไทย ณ วันที่ 24 สิงหาคม 2561) ตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 เป็นต้นไป เพื่อสนับสนุนการดำเนินงานของมูลนิธิฯ เช่น การสนับสนุนการสร้างความตระหนักรู้เรื่องอาเซียนและอัตลักษณ์ของอาเซียน การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์และการเสริมสร้างศักยภาพ และการจัดการปัญหาความแตกต่างทางสังคม เศรษฐกิจ และขจัดความยากจน ซึ่งการบริจาคเงินเพื่อสนับสนุนการดำเนินงานของมูลนิธิฯ จะเป็นการส่งเสริมบทบาทนำของไทย รวมถึงให้ประเทศไทยสามารถใช้ประโยชน์จากการดำเนินโครงการของมูลนิธิฯ เพื่อสนับสนุนการเป็นประธานอาเซียนในปี 2562 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ การบริจาคเงินจำนวนดังกล่าวเป็นการดำเนินการภายใต้บันทึกความเข้าใจว่าด้วยการจัดตั้งมูลนิธิอาเซียนที่ไทยได้ลงนามและให้สัตยาบันแล้ว โดยบันทึกความเข้าใจดังกล่าวกำหนดให้คณะกรรมการอำนวยการเป็นผู้กำหนดนโยบายสำหรับการจัดหาและการใช้จ่ายเงินกองทุนของมูลนิธิฯ และให้เงินทุนของมูลนิธิฯ มาจากการบริจาคของประเทศสมาชิก ซึ่งที่ผ่านมาตั้งแต่ปี 2555 คณะกรรมการดังกล่าวได้เห็นชอบให้ประเทศสมาชิกอาเซียนทุกประเทศบริจาคเงิน จำนวน 15,000 ดอลลาร์สหรัฐเป็นประจำทุกปี ซึ่ง กต.ได้เจียดจ่ายเงินเพื่อสนับสนุนการดำเนินงานของมูลนิธิฯ จากงบประมาณรายจ่ายประจำปีของ กต. มาโดยตลอด
21.เรื่อง ขอความเห็นชอบร่างปฏิญญาการประชุมรัฐมนตรีด้านโครงสร้างพื้นฐาน อาเซียน-สาธารณรัฐเกาหลี ครั้งที่ 1
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงคมนาคม (คค.) เสนอ ดังนี้
1. เห็นชอบร่างปฏิญญารัฐมนตรีด้านโครงสร้างพื้นฐาน อาเซียน-สาธารณรัฐเกาหลี ครั้งที่ 1 และหากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขร่างปฏิญญาฯ ในส่วนที่มิใช่สาระสำคัญและเป็นประโยชน์ต่อประเทศไทยให้อยู่ในดุลยพินิจของคณะผู้แทนไทยโดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีกครั้ง
2. อนุมัติให้ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงคมนาคมร่วมรับรองร่างปฏิญญารัฐมนตรีด้านโครงสร้างพื้นฐานอาเซียน-สาธารณรัฐเกาหลี ครั้งที่ 1
สาระสำคัญของร่างปฏิญญาฯ
ร่างปฏิญญาการประชุมรัฐมนตรีด้านโครงสร้างพื้นฐาน อาเซียน-สาธารณรัฐเกาหลี ครั้งที่ 1 มีวัตถุประสงค์เพื่อมุ่งดำเนินความร่วมมือเชิงนโยบายในด้านการพัฒนาเทคโนโลยีด้านโครงสร้างพื้นฐานอัจฉริยะที่เกี่ยวข้องในด้านการขนส่งและการเชื่อมต่อโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อการสร้างเมืองที่มีการบูรณาการทางเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าในด้านพลังงานสะอาด สิ่งแวดล้อม และเทคโนโลยีสารสนเทศ เพื่อการสร้างประชาคมอาเซียน รวมถึงส่งเสริมการสร้างเครือข่ายความร่วมมือที่เข้มแข็งยิ่งขึ้น และสนับสนุนการแลกเปลี่ยนประสบการณ์และองค์ความรู้ด้านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของสาธารณรัฐเกาหลี โดยในภาคผนวกแนบท้ายปฏิญญาจะมีรายชื่อโครงการความร่วมมืออาเซียน-สาธารณรัฐเกาหลี ของแต่ละประเทศสมาชิกอาเซียนที่จะร่วมดำเนินการภายใต้ปฏิญญาดังกล่าว
ทั้งนี้ ร่างปฏิญญาฯ จะมีการรับรองในการประชุมรัฐมนตรีด้านโครงสร้างพื้นฐาน อาเซียน-สาธารณรัฐเกาหลี ครั้งที่ 1 ในวันที่ 17 กันยายน 2561 ณ กรุงโซล สาธารณรัฐเกาหลี
22.เรื่อง ขอความเห็นชอบต่อร่างเอกสารท่าทีไทยสำหรับการประชุมสมัชชาสหประชาชาติ สมัยสามัญ ครั้งที่ 73
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างเอกสารท่าทีไทยสำหรับการประชุมสมัชชาสหประชาชาติ สมัยสามัญ ครั้งที่ 73 ตามที่กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) เสนอ โดยหากมีการแก้ไขร่างเอกสารดังกล่าวที่มิใช่สาระสำคัญหรือขัดต่อผลประโยชน์ของประเทศไทย อนุมัติให้ กต.พิจารณาและดำเนินการโดยไม่ต้องขอความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีก
สาระสำคัญของร่างเอกสารฯ
1. ร่างเอกสารท่าทีไทยฉบับนี้จัดทำขึ้นสำหรับคณะผู้แทนไทยเพื่อพิจารณาใช้สำหรับการเข้าร่วมประชุมสมัชชาสหประชาชาติ สมัยสามัญ ครั้งที่ 73 โดยมีความสอดคล้องกับผลประโยชน์ของประเทศ และส่งเสริมให้ประชาคมระหว่างประเทศตระหนักถึงบทบาทของไทยในฐานะสมาชิกที่ดีของสหประชาชาติ ที่ผ่านมา ไทยได้แสดงท่าทีและบทบาทที่แข็งขันและสร้างสรรค์ในการร่วมขับเคลื่อนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยได้เผยแพร่หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงในฐานะแนวทางหนึ่งที่สามารถนำไปสู่การบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนได้ รวมทั้งได้แสดงท่าทีในประเด็นต่าง ๆ ระดับโลกที่มีความสำคัญและเป็นข้อห่วงกังวลของประชาคมระหว่างประเทศอย่างครบถ้วน เช่น สาธารณสุข สิ่งแวดล้อม การพัฒนาสตรี เด็ก และผู้พิการ สิทธิมนุษยชน และความมั่นคง
2. ร่างเอกสารท่าทีไทยครอบคลุมประเด็นต่าง ๆ ตามระเบียบวาระการประชุมสมัชชาฯ สหประชาชาติที่ไทยให้ความสำคัญในแต่ละหมวด รวมทั้งสิ้น 9 หมวด ได้แก่ 1) หมวด A การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจและการพัฒนาที่ยั่งยืน 2) หมวด B การรักษาสันติภาพและความมั่นคงระหว่างประเทศ 3) หมวด C การพัฒนาทวีปแอฟริกา 4) หมวด D สิทธิมนุษยชน 5) หมวด E การให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม 6) หมวด F ความยุติธรรมและกฎหมายระหว่างประเทศ 7) หมวด G การลดอาวุธ 8) หมวด H การควบคุมสารเสพติด การป้องกันอาชญากรรมและการต่อต้านการก่อการร้ายระหว่างประเทศทุกรูปแบบ และ 9) หมวด I การบริหารจัดการอื่น ๆ
ทั้งนี้ เอกสารดังกล่าวเป็นข้อมูลและข้อเสนอแนะท่าทีไทยสำหรับการประชุมสมัชชาสหประชาชาติ สมัยสามัญ ครั้งที่ 73 โดยมิให้มีเจตนาให้เป็นความตกลงที่ก่อให้เกิดพันธกรณีภายใต้บังคับของกฎหมายระหว่างประเทศ จึงไม่เป็นหนังสือสัญญาตามมาตรา 178 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 ซึ่งการประชุมสมัชชาสหประชาชาติ สมัยสามัญ ครั้งที่ 73 จะเริ่มต้นขึ้นในวันที่ 18 กันยายน 2561 ที่สำนักงานใหญ่สหประชาชาติ นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา
23.เรื่อง การรับรองร่างแนวปฏิบัติเพื่อบรรลุเป้าหมายโลกที่ปราศจากการก่อการร้าย (Code of Conduct: Towards Achieving a World Free of Terrorism)
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการรับรองร่างแนวปฏิบัติเพื่อบรรลุเป้าหมายโลกที่ปราศจากการก่อการร้าย (Code of Conduct: Towards Achieving a World Free of Terrorism) ตามที่กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) เสนอ โดยหากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงร่างแนวปฏิบัติฯ ในส่วนที่มิใช่สาระสำคัญก่อนการรับรอง ให้ กต. สามารถดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้ง และมอบหมายให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องถือปฏิบัติในส่วนที่เกี่ยวข้อง
สาระสำคัญของเรื่อง
ร่างแนวปฏิบัติฯ มีประเด็นสำคัญ ดังนี้
1. การปฏิบัติตามพันธกรณีระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้องภายใต้อนุสัญญาระหว่างประเทศและข้อมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติเกี่ยวกับการก่อการร้าย
2. การไม่อนุญาตให้มีการกระทำใด ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการก่อการร้ายทั้งทางตรงและทางอ้อมภายในดินแดนของรัฐสมาชิก และการใช้มาตรการที่จำเป็นเพื่อให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ดังกล่าว
3. การสนับสนุนการดำเนินการของสหประชาชาติและคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติที่มีเพื่อป้องกันและต่อต้านการก่อการร้าย
4. การกำจัดเงื่อนไขต่าง ๆ ที่นำไปสู่หรือเอื้อให้เกิดการก่อการร้าย
5. การเสริมสร้างความร่วมมือในระดับภูมิภาคและระหว่างประเทศเพื่อป้องกันและต่อต้านการก่อการร้าย
6. การใช้มาตรการเพื่อป้องกันและต่อต้านการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารโดยผู้ก่อการร้ายและผู้สนับสนุนผู้ก่อการร้าย
7. การผลักดันให้ประชาคมโลกมีการดำเนินการร่วมกันเพื่อต่อสู้กับการก่อการร้าย และการสนับสนุนให้สหประชาชาติเป็นหน่วยงานนำในการสร้างแนวทางและผลักดันความพยายามเพื่อต่อต้านการก่อการร้าย
ทั้งนี้ ร่างเอกสารดังกล่าวระบุด้วยว่าแนวปฏิบัติฯ เป็นไปตามความสมัครใจ โดยไม่มีผลผูกพันทางกฎหมาย
แต่งตั้ง
24.เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงเกษตรและสหกรณ์)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอแต่งตั้ง นางสาวอมรรัตน์ เสริมวัฒนากุล ผู้เชี่ยวชาญด้านสัตว์น้ำและพรรณไม้น้ำสวยงาม (นักวิชาการประมงเชี่ยวชาญ) กรมประมง ให้ดำรงตำแหน่ง ผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดการประมง (นักวิชาการประมงทรงคุณวุฒิ) กรมประมง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ตั้งแต่วันที่ 29 พฤศจิกายน 2560 ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป
25.เรื่อง การแต่งตั้งผู้ที่จะดำรงตำแหน่งกรรมการร่างกฎหมายประจำ (นักกฎหมายกฤษฎีกาทรงคุณวุฒิ) (สำนักนายกรัฐมนตรี)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอแต่งตั้ง นางสาวอัญชลิตา กองอรรถ กรรมการร่างกฎหมายประจำ (นักกฎหมายกฤษฎีกาเชี่ยวชาญ) สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ให้ดำรงตำแหน่ง กรรมการร่างกฎหมายประจำ (นักกฎหมายกฤษฎีกาทรงคุณวุฒิ) สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักนายกรัฐมนตรี ตั้งแต่วันที่ 25 พฤษภาคม 2561 ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป
26.เรื่อง คำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 218/2561 เรื่อง ปรับปรุงคำสั่งมอบหมายและมอบอำนาจให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรี
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 218/2561 เรื่อง ปรับปรุงคำสั่งมอบหมายและมอบอำนาจให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรี ดังนี้
ตามที่ได้มีคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 323/2560 เรื่อง มอบหมายและมอบอำนาจให้รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรี ลงวันที่ 4 ธันวาคม 2560 ซึ่งต่อมาได้มีการปรับปรุงการมอบหมายและมอบอำนาจในส่วนของรองนายกรัฐมนตรี (พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง) โดยคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 122/2561 เรื่อง ปรับปรุงคำสั่งมอบหมายและมอบอำนาจให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรี ลงวันที่ 24 พฤษภาคม 2561 นั้น
เพื่อให้การบริหารราชการเป็นไปด้วยความเรียบร้อย อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 10 และมาตรา 15 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2545 มาตรา 11 และมาตรา 12 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 และมาตรา 38 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน (ฉบับที่ 7) พ.ศ. 2550 ประกอบกับพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการมอบอำนาจ พ.ศ. 2550 จึงให้ยกเลิกคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 122/2561 ลงวันที่ 24 พฤษภาคม 2561 และปรับปรุงการมอบหมายและมอบอำนาจให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรี ในส่วนของรองนายกรัฐมนตรี (พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง) โดยให้ยกเลิกความในข้อ 2.2 ตามคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 323/2560 ลงวันที่ 4 ธันวาคม 2560 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
“2.2 มอบหมายให้กำกับดูแลองค์การมหาชนและหน่วยงานของรัฐ ดังนี้
2.2.1 สำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้ (องค์การมหาชน)
2.2.2 สถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ (องค์การมหาชน)
2.2.3 สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย
2.2.4 สำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน)
2.2.5 สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (องค์การมหาชน)”
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2561 เป็นต้นไป
27.เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการให้ดำรงตำแหน่งรองผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ (สำนักนายกรัฐมนตรี)
คณะรัฐมนตรีมติอนุมัติตามที่สำนักงบประมาณเสนอแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน 2 ราย ดังนี้
1. นายสมหมาย ลักขณานุรักษ์ ที่ปรึกษาสำนักงบประมาณ (นักวิเคราะห์งบประมาณทรงคุณวุฒิ) สำนักงบประมาณ ดำรงตำแหน่ง รองผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ สำนักงบประมาณ สำนักนายกรัฐมนตรี
2. นางพิมพร โอวาสิทธิ์ ที่ปรึกษาสำนักงบประมาณ (นักวิเคราะห์งบประมาณทรงคุณวุฒิ) สำนักงบประมาณ ดำรงตำแหน่ง รองผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ สำนักงบประมาณ สำนักนายกรัฐมนตรี
ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2561 เพื่อทดแทนผู้ที่จะเกษียณอายุราชการ ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป
28.เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ (กระทรวงการต่างประเทศ)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงการต่างประเทศ ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง ตำแหน่งเอกอัครราชทูตประจำต่างประเทศ จำนวน 2 ราย ดังนี้
1. นางสุพัตรา ศรีไมตรีพิทักษ์ อธิบดีกรมความร่วมมือระหว่างประเทศ ให้ดำรงตำแหน่ง เอกอัครราชทูต สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงย่างกุ้ง สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2561
2. นางอุรีรัชต์ เจริญโต กงสุลใหญ่ สถานกงสุลใหญ่ ณ นครโฮจิมินห์ สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม ให้ดำรงตำแหน่ง เอกอัครราชทูต สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงปราก สาธารณรัฐเช็ก
ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป เพื่อทดแทนผู้ที่จะเกษียณอายุราชการ และทดแทนตำแหน่งที่ว่าง ตามลำดับ ซึ่งการแต่งตั้งข้าราชการให้ไปดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตประจำต่างประเทศดังกล่าวได้รับความเห็นชอบจากประเทศผู้รับ
29.เรื่อง แต่งตั้งข้าราชการให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน 4 ราย ดังนี้
1. นายจีระศักดิ์ ศรีพรหมมา รองอธิบดีกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ ดำรงตำแหน่ง ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง
2. นางพรสม เปาปราโมทย์ รองอธิบดีกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว ดำรงตำแหน่ง ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง
3. นางสาวสราญภัทร อนุมัติราชกิจ ผู้ช่วยปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ดำรงตำแหน่ง ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง
4. นายสุทธิ จันทรวงษ์ รองอธิบดีกรมกิจการเด็กและเยาวชน ดำรงตำแหน่ง ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง
ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2561 เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง และทดแทนผู้ที่จะเกษียณอายุราชการ ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป
30.เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงเกษตรและสหกรณ์)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน 8 ราย ดังนี้
1. นายสุรจิตต์ อินทรชิต เลขาธิการสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ดำรงตำแหน่ง รองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง
2. นายสุรเดช เตียวตระกูล อธิบดีกรมพัฒนาที่ดิน ดำรงตำแหน่ง รองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง
3. นายมีศักดิ์ ภักดีคง ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ดำรงตำแหน่ง รองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง
4. นางสาวจริยา สุทธิไชยา รองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ดำรงตำแหน่ง เลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร
5. นายวิณะโรจน์ ทรัพย์ส่งสุข เลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร ดำรงตำแหน่ง เลขาธิการสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม
6. นางสาวเสริมสุข สลักเพ็ชร์ เลขาธิการสำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ ดำรงตำแหน่ง อธิบดีกรมวิชาการเกษตร
7. นางสาวจูอะดี พงศ์มณีรัตน์ ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ดำรงตำแหน่ง เลขาธิการสำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ
8. นางสาวเบญจพร ชาครานนท์ ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ดำรงตำแหน่ง อธิบดีกรมพัฒนาที่ดิน
ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2561 เพื่อทดแทนผู้ที่จะเกษียณอายุราชการและสับเปลี่ยนหมุนเวียน ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป
31.เรื่อง การแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการในคณะกรรมการการท่าเรือแห่งประเทศไทย
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการในคณะกรรมการการท่าเรือแห่งประเทศไทย แทนผู้ที่ลาออก และแต่งตั้งเพิ่มเติม รวม 2 คน ดังนี้
1. นายสมศักดิ์ ห่มม่วง (เป็นบุคคลในบัญชีรายชื่อกรรมการรัฐวิสาหกิจ) เป็นประธานกรรมการ แทน นายสุรงค์ บูลกุล
2. พลเอก วิวรรธน์ สุชาติ เป็นกรรมการ (เพิ่มเติม)
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 11 กันยายน 2561 เป็นต้นไป
32.เรื่อง การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการจัดรูปที่ดินเพื่อพัฒนาพื้นที่
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการจัดรูปที่ดินเพื่อพัฒนาพื้นที่ จำนวน 4 คน แทนกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิชุดเดิมที่ดำรงตำแหน่งครบวาระสองปี เมื่อวันที่ 8 มิถุนายน 2560 ดังนี้
1. ผู้แทนจากสถาบันหรือองค์การ
1.1 นายอาคม เวพาสยนันท์ ผู้แทนสมาคมนักผังเมืองไทย
1.2 นางสาวจุฑาทิพย์ มณีพงษ์ ผู้แทนสถาบันสิ่งแวดล้อมไทย
2. กลุ่มบุคคลผู้มีคุณวุฒิในสาขาต่าง ๆ
2.1 นายสมศักย์ ภูรีศรีศักดิ์ ผู้มีคุณวุฒิทางด้านการพัฒนาเมืองและการจัดรูปที่ดิน
2.2 นายสุพล ศรีพันธุ์ ผู้มีคุณวุฒิทางด้านการพัฒนาเมืองและการจัดรูปที่ดิน
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 11 กันยายน 2561 เป็นต้นไป และให้กระทรวงมหาดไทยดำเนินการแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการจัดรูปที่ดินเพื่อพัฒนาพื้นที่ในครั้งต่อไปให้เป็นไปอย่างต่อเนื่อง ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2559 เรื่อง การดำเนินการแต่งตั้งกรรมการในคณะกรรมการต่าง ๆ ตามที่กฎหมายบัญญัติให้เป็นไปตามกรอบระยะเวลาตามกฎหมาย
33.เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการการเมือง (ตำแหน่งรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง)
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี (สลน.) เสนอการแต่งตั้ง นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ ให้ดำรงตำแหน่งข้าราชการการเมือง ตำแหน่งรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 11 กันยายน 2561 เป็นต้นไป
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี