14 ก.ย.61 เมื่อเวลา 20.15 น.ที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวผ่านรายการ "ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน" ตอนหนึ่งว่า ในช่วงที่ผ่านมาเราคงได้ยินข่าวเกี่ยวกับการเกิดปัญหาทางเศรษฐกิจ ที่ส่งผลต่อค่าเงิน ราคาหุ้น และราคาสินทรัพย์ต่างๆ ในหลายประเทศกำลังพัฒนาที่เป็นตลาดเกิดใหม่ทั่วโลก
ในช่วงแรกๆ เกิดวิกฤตในประเทศเวเนซุเอลาจากปัญหาในประเทศ และลุกลามจนเกิดปัญหาเงินเฟ้อ ในเดือน ส.ค.สูงขึ้นมาถึง 200,000 เปอร์เซ็นต์ นะครับ และคาดว่าจะสูงขึ้นได้ถึง 1,000,000 เปอร์เซ็นต์ ในสิ้นปีนี้ ต่อมาในช่วงเดือน มิ.ย.ประเทศอาร์เจนตินา ประสบปัญหาเงินทุนไหลออก และค่าเงินอ่อนลงต่อเนื่อง จนต้องปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยเป็นร้อยละ 60 เพื่อพยายามดึงดูดนักลงทุน และต้องขอรับความช่วยเหลือจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) เป็นเงินถึง 50,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
และล่าสุดในเดือน ส.ค.ประเทศตุรกี ก็ประสบปัญหาเงินไหลออกค่าเงินอ่อนลงกว่าร้อยละ 40 เมื่อเทียบกับต้นปี เงินเฟ้อก็เพิ่มขึ้นมากกว่าร้อยละ 18 จนธนาคารกลางต้องประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยเป็นราวร้อยละ 17.8 เราก็ต้องเป็นกำลังใจให้เขาแก้ปัญหาให้ได้แล้วก็ระมัดระวัง อย่าให้เราเดินไปสู่จุดนั้น
นายกฯ กล่าวว่า หลายประเทศที่ประสบปัญหาก็เกิดจากการมีภาวะการณ์ขาดดุลแฝด โดยด้านแรก คือ การขาดดุลการคลังของรัฐบาล เพราะรัฐบาลมีการใช้จ่ายสูงกว่ารายได้มาก มากเกินไปทำให้ต้องชดเชยโดยการกู้ยืมอย่างต่อเนื่อง ซึ่งมักเป็นผลจากความต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจ ที่สูงเกินความจำเป็น ส่งผลให้ราคาสินค้าในประเทศปรับสูงขึ้นจึงต้องประสบปัญหาเงินเฟ้อ หรือเงินเสื่อมมูลค่าในอัตราที่สูง
อีกด้านก็คือ การขาดดุลบัญชีเดินสะพัด ซึ่งหมายถึงการที่รายได้สุทธิจากการขายสินค้าและบริการกับต่างประเทศติดลบ เพราะมีมูลค่าการนำเข้าสินค้าสูงกว่าที่ขายสินค้าส่งออก ทำให้ต้องสูญเสียเงินสำรองระหว่างประเทศออกไป การขาดดุลแฝดนี้ได้บั่นทอนความมั่นคงด้านการคลัง ส่งผลต่อขีดความสามารถของประเทศในการรองรับความเสี่ยง และลดความเชื่อมั่นของนักลงทุน ทำให้มีการนำเงินทุนออกจากประเทศเหล่านี้ และเงินตราของประเทศก็ได้อ่อนค่าลงมาก
พล.อ.ประยุทธ์ ยังกล่าวว่า ในช่วงที่ผ่านมาปรากฏการณ์ดังกล่าวก่อให้เกิดความกังวลว่า ประเทศตลาดเกิดใหม่อื่นๆ อาจ "ติดโรค" หรือประสบปัญหาในรูปแบบที่คล้ายกันนี้ได้ โดยเฉพาะประเทศที่มีฐานะด้านต่างประเทศ ไม่เข้มแข็งนัก เช่น มีเงินสำรองระหว่างประเทศต่ำหรือลดลงต่อเนื่อง รวมทั้งมีหนี้ต่างประเทศในระดับสูง ส่งผลให้มีนักลงทุนทยอยนำเงินออกนอกประเทศ ที่มีอาการเหล่านี้ เช่น บราซิล , อินโดนีเซีย , อินเดีย และแอฟริกาใต้ ที่ค่าเงินได้ปรับอ่อนลงอย่างรวดเร็วในช่วงที่ผ่านมา
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวอีกว่า ท่ามกลางปัญหาทางเศรษฐกิจเหล่านี้ ประเทศไทยยังไม่ได้รับผลกระทบมากนัก เห็นได้จากค่าเงินที่อ่อนลงไม่มาก และราคาหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ที่ไม่ได้ปรับลดลงมากนัก ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่า ประเทศของเราได้รับบทเรียนจากปี 40 ที่ทุกภาคส่วนของประเทศ ทั้งภาครัฐ เอกชน ธนาคารพาณิชย์ ต่างตั้งอยู่บนความพอเพียง มีความพอประมาณ มีเหตุมีผล มีภูมิคุ้มกัน ส่งผลให้มีความเข็มแข็งในทุกภาคส่วน
ที่สำคัญ ในด้านต่างประเทศ เรามีปริมาณเงินสำรองระหว่างประเทศในระดับสูง ล่าสุด ณ สิ้นเดือน ส.ค.เงินสำรองระหว่างประเทศของไทยอยู่ที่เกือบ 2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ นับว่าอยู่ในระดับที่ "สูงมาก" เมื่อเทียบกับขนาดเศรษฐกิจของไทย และเมื่อเทียบกับหนี้ต่างประเทศของไทย เราพบว่าเรามีเงินสำรองระหว่างประเทศสูงกว่าหนี้ระยะสั้น ที่เป็นเงินตราต่างประเทศ ถึง 3.5 เท่า ซึ่งก็หมายถึง เรามีเงินตราต่างประเทศในระดับเกินพอ หากต้องการที่จะชำระหนี้ที่เป็นเงินตราต่างประเทศในวันนี้
นายกฯ กล่าวว่า สำหรับหนี้ต่างประเทศของรัฐบาล เราก็ได้ทยอยคืนจนเหลือเพียงร้อยละ 4 ของ GDP รวมทั้งพยายามปรับโครงสร้างให้เป็นการกู้ยืมระยะยาวมากขึ้น เป็นการกู้ภายในประเทศมากขึ้น ฐานะด้านต่างประเทศที่แข็งแกร่งนี้ เป็นผลมาจากการสะสมความมั่งคั่งของประเทศ การส่งออกสินค้า และบริการที่เติบโตสร้างรายได้ ที่เป็นเงินตราต่างประเทศให้กับไทยได้อย่างต่อเนื่อง ภาคเอกชน และธนาคารพาณิชย์ ที่มีฐานะทางการเงินที่มั่นคง
รวมถึงการดำเนินนโยบายภาครัฐอย่างระมัดระวัง มีวินัยทางการเงินการคลัง โดยจะเห็นได้ว่าสัดส่วนหนี้สาธารณะของประเทศเมื่อเทียบกับขนาดเศรษฐกิจ อยู่ที่ประมาณร้อยละ 41 ซึ่งอยู่ในกรอบที่เรากำหนดไว้และถือเป็นระดับที่ดีกว่าหลักเกณฑ์สากล ที่กำหนดว่าสัดส่วนหนี้สาธารณะไม่ควรสูงเกินร้อยละ 60 ของขนาดเศรษฐกิจของประเทศ ทั้งนี้ ก็เพื่อไม่ให้เป็นภาระที่เกินตัวของภาครัฐ
"ที่ผ่านมาหนี้สาธารณะที่เกิดขึ้นของเรา ก็เป็นผลมาจากการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ ซึ่งจะเป็นการสร้างมูลค่าการลงทุนใหม่ และเป็นประโยชน์ให้กับประชาชน และภาคธุรกิจในอนาคต รวมทั้งเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศได้ในระยะยาวอีกด้วย" นายกฯ กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี