18 ก.ย.61 เมื่อเวลา 10.30 น.ที่มหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบูรณ์ ต.สะเดียง อ.เมืองเพชรบูรณ์ จ.เพชรบูรณ์ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ครั้งที่ 7/2561 ภายหลังเสร็จสิ้นการประชุม พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้แถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรี ซึ่งสรุปสาระสำคัญดังนี้
กฎหมาย
1.เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาระบบเกษตรกรรมยั่งยืน พ.ศ. ….
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติและรับทราบ ดังนี้
1. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาระบบเกษตรกรรมยั่งยืน พ.ศ. …. ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงการคลังและคณะกรรมการดำเนินการปฏิรูปกฎหมายในระยะเร่งด่วน และข้อสังเกตของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป
2. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลา และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ
3. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดำเนินการตามความเห็นของสำนักงาน ก.พ.ร. แล้วส่งผลการดำเนินการให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเพื่อประกอบการพิจารณาต่อไป
4. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของกระทรวงมหาดไทย และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
สาระสำคัญของร่างพระราชบัญญัติ
1. กำหนดบทนิยามของ “ระบบเกษตรกรรมยั่งยืน” ที่เป็นระบบการผลิตทางการเกษตร ที่คำนึงและรักษาไว้ซึ่งระบบนิเวศ สภาพแวดล้อม และความหลากหลายทางชีวภาพ สร้างความสมดุล เป็นธรรมทางเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อมและระบบนิเวศ ให้ครอบคลุมถึงรูปแบบ บุคคลและองค์กร ที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงานที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติฉบับนี้
2. กำหนดวัตถุประสงค์ในการส่งเสริมและพัฒนาระบบเกษตรกรรมยั่งยืนให้กับเกษตรกรและกลุ่มเกษตรกร พร้อมทั้งสนับสนุนทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องตั้งแต่การผลิต การพัฒนาคุณภาพสินค้า และการตลาด ตลอดจนกำหนดการจัดทำนโยบายและแผนระดับชาติว่าด้วยการส่งเสริมและพัฒนาระบบเกษตรกรรมยั่งยืน รวมทั้งกำหนดคุณสมบัติของบุคคลผู้มีสิทธิขอรับการส่งเสริมและสนับสนุนที่มีสิทธิตามพระราชบัญญัตินี้ และการดำเนินการอนุมัติการส่งเสริมและสนับสนุน
3. กำหนดองค์ประกอบและอำนาจหน้าที่ ของ “คณะกรรมการส่งเสริมและพัฒนาระบบเกษตรกรรมยั่งยืน” รวมทั้งการกำหนดวิธีการคัดเลือก คุณสมบัติ และวาระการดำรงตำแหน่งของกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ องค์ประกอบการประชุม การปฏิบัติหน้าที่ประธานในที่ประชุม การวินิจฉัยชี้ขาดการประชุม การแต่งตั้งคณะอนุกรรมการ และการปฏิบัติหน้าที่อื่นตามที่ได้รับมอบหมาย
4. กำหนดเป้าหมายและแนวทางของนโยบายและแผนระดับชาติว่าด้วยการส่งเสริมและพัฒนาระบบเกษตรกรรมยั่งยืน และระยะเวลาดำเนินการ พร้อมทั้งระบบการติดตามประเมินผลและตัวชี้วัด ในการพัฒนาศักยภาพเกษตรกร โครงสร้างพื้นฐานระบบสารสนเทศ เพื่อพัฒนาระบบการผลิต ระบบมาตรฐานสินค้าเกษตร รวมทั้งการส่งเสริมและสนับสนุนการพัฒนาให้เกิดอุตสาหกรรมต่อเนื่อง
5. กำหนดเกี่ยวกับการจัดสมัชชาเกษตรกรรมยั่งยืน กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการที่คำนึงถึงการมีส่วนร่วมของประชาชน ผู้บริโภค เกษตรกรและกลุ่มเกษตรกร ในการจัดทำข้อเสนอหรือแนวทางการพัฒนาระบบเกษตรกรรมยั่งยืน เสนอให้หน่วยงานของรัฐพิจารณา รวมทั้งกำหนดหลักเกณฑ์ การแต่งตั้งคณะกรรมการจัดสมัชชาเกษตรกรรมยั่งยืนและอำนาจหน้าที่ในการกำหนดจัดประชุมสมัชชาเกษตรกรรมยั่งยืน
6. กำหนดหลักเกณฑ์ การจัดตั้งสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมและพัฒนาระบบเกษตรกรรมยั่งยืนเป็นหน่วยงานของรัฐที่อยู่ในสังกัดสำนักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยให้สำนักงานมีฐานะเป็นนิติบุคคลและอยู่ในกำกับของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ตลอดจนกำหนดอำนาจหน้าที่ของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมและพัฒนาระบบเกษตรกรรมยั่งยืน และการสรรหาผู้อำนวยการสำนักงานฯ
7. กำหนดบทเฉพาะกาลให้ในวาระแรกเริ่มการคัดเลือกกรรมการ ให้ดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในเก้าสิบวันและให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์พิจารณาดำเนินการจัดสรรเงินจากกองทุนต่าง ๆ ที่อยู่ในอำนาจหน้าที่ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เพื่อมาสนับสนุนการจัดทำโครงการ หรือกิจกรรมเพื่อการพัฒนาระบบเกษตรกรรมยั่งยืน
2.เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองประชาชนในการทำสัญญาขายฝากที่ดินเพื่อการเกษตรกรรม หรือที่อยู่อาศัย พ.ศ. ….
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติและรับทราบ ดังนี้
1. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองประชาชนในการทำสัญญาขายฝากที่ดินเพื่อการเกษตรกรรม หรือที่อยู่อาศัย พ.ศ. …. ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีโดยคณะกรรมการดำเนินการปฏิรูปกฎหมายในระยะเร่งด่วนเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป
2. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง และกรอบระยะเวลาของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี โดยคณะกรรมการดำเนินการปฏิรูปกฎหมายในระยะเร่งด่วนเสนอ โดยให้ยกเว้นการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 24 มกราคม 2560 [เรื่อง การเสนอแผนกรอบสาระสำคัญ และระยะเวลาการจัดทำกฎหมายลำดับรอง] ทั้งนี้ ให้กระทรวงมหาดไทยปรับปรุงแผนกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลา และจัดทำกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรอง ให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 24 มกราคม 2560 แล้วส่งให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเพื่อประกอบการพิจารณาต่อไป
สาระสำคัญของร่างพระราชบัญญัติ
กำหนดให้มีกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองประชาชนจากสัญญาขายฝากที่ดินเพื่อการเกษตรกรรมหรือที่อยู่อาศัยที่ไม่เป็นธรรม โดยกำหนดบทนิยามเพื่อให้เกิดความชัดเจนยิ่งขึ้น กำหนดสิทธิและหน้าที่ของผู้ซื้อฝากและผู้ขายฝาก กำหนดหน้าที่และอำนาจของเจ้าพนักงานที่ดิน และกำหนดบทเฉพาะกาลเพื่อรองรับความสมบูรณ์ของสัญญาขายฝากที่ดินเพื่อการเกษตรกรรม หรือที่อยู่อาศัยซึ่งได้กระทำไปแล้วก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้
1. กำหนดบทนิยามของคำว่า “ที่ดินเพื่อการเกษตรกรรม” “ที่อยู่อาศัย” และ “รัฐมนตรี” เพื่อให้เกิดความชัดเจนยิ่งขึ้น
2. กำหนดให้การขายฝากที่ดินเพื่อการเกษตรกรรมหรือที่อยู่อาศัย ต้องใช้หลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ตามพระราชบัญญัตินี้ และเป็นธุรกิจที่ต้องควบคุมสัญญาตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองผู้บริโภค นอกจากนี้ กำหนดให้การทำสัญญาขายฝากที่ดินเพื่อการเกษตรกรรม หรือที่อยู่อาศัยจะต้องได้รับการตรวจสอบเนื้อหาของสัญญาโดยเจ้าหน้าที่ของรัฐ และหากมีข้อตกลงเพิ่มเติมเกี่ยวกับขายฝากในภายหลัง ต้องได้รับการตรวจสอบจากเจ้าหน้าที่ของรัฐและต้องนำไปจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ จึงจะมีผลใช้บังคับ
3. กำหนดให้การทำสัญญาขายฝากที่ดินเพื่อการเกษตรกรรมหรือที่อยู่อาศัย จะกำหนดระยะเวลาไถ่ที่ดินต่ำกว่าหนึ่งปีมิได้ โดยการกำหนดระยะเวลาดังกล่าวจะต้องไม่กระทบสิทธิของผู้ขายฝากที่จะไถ่ทรัพย์สินที่ขายฝากก่อนครบกำหนดระยะเวลาไถ่
4. กำหนดสิทธิและหน้าที่ของผู้ซื้อฝากและผู้ขายฝาก ได้แก่
4.1 กำหนดให้ผู้ซื้อฝากมีหน้าที่แจ้งเป็นหนังสือไปยังผู้ขายฝาก เพื่อให้ผู้ขายฝากใช้สิทธิไถ่ถอนการขายฝากภายในกำหนดระยะเวลา และกำหนดอัตราค่าสินไถ่ให้ชัดเจน หากไม่ได้กำหนดให้ไถ่ตามราคาที่ขายฝาก
4.2 กำหนดให้ผู้ซื้อฝากสามารถเรียกหรือรับประโยชน์ตอบแทนได้ กรณีที่ได้กำหนดสินไถ่เท่ากับหรือต่ำกว่าราคาขายฝากและผู้ขายฝากยังคงเป็นผู้ใช้ทรัพย์สินที่ขายฝาก
4.3 กำหนดให้ทรัพย์สินซึ่งขายฝากตกเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ไถ่ตั้งแต่เวลาที่ผู้ไถ่ได้ชำระสินไถ่ และหากผู้ซื้อฝากบอกปัดหรือหลีกเลี่ยง หรือมีเหตุขัดข้องไม่อาจรับไถ่ได้ ให้ผู้ขายฝากวางสินไถ่ไว้ ณ สำนักงานวางทรัพย์
4.4 กำหนดให้ผู้ซื้อเดิม หรือทายาทของผู้ซื้อเดิม ผู้รับโอนทรัพย์สิน หรือรับโอนสิทธิเหนือทรัพย์สินนั้น ใช้สิทธิในการไถ่ทรัพย์สินที่ขายฝาก
4.5 กำหนดเงื่อนไขมิให้ใช้สิทธิไถ่ทรัพย์สินเมื่อพ้นระยะเวลาตามที่กำหนด
4.6 กำหนดค่าใช้จ่ายที่ผู้ขายฝากจะต้องชำระให้แก่ผู้ซื้อฝากเมื่อครบระยะเวลาไถ่ทรัพย์สินที่ขายฝากตามสัญญา และให้ผู้ซื้อฝากในการส่งมอบทรัพย์สินที่ขายฝาก กำหนดสิทธิของผู้ขายฝากในการได้รับทรัพย์สินที่ไถ่คืนไปโดยปลอดจากสิทธิใด ๆ ที่ผู้ซื้อฝากได้ก่อไว้
5. กำหนดให้เจ้าพนักงานที่ดินมีหน้าที่และอำนาจดังนี้ (1) ตรวจสอบเนื้อหาของสัญญาและเอกสารหลักฐานให้ถูกต้อง ครบถ้วน และเป็นธรรม ตามที่กฎหมายกำหนด (2) ชี้แจงรายละเอียดของสัญญา สิทธิและหน้าที่ของคู่สัญญา ข้อปฏิบัติและข้อควรระวังให้คู่สัญญาทราบโดยละเอียด (3) ปฏิบัติหน้าที่อื่นตามที่รัฐมนตรีประกาศกำหนด และกำหนดให้เจ้าพนักงานที่ดินเป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา มีอำนาจเรียกบุคคลใดบุคคลหนึ่งมาให้ข้อมูล หรือให้จัดส่งเอกสารเพื่อประกอบการพิจารณาเรื่องใดเรื่องหนึ่งได้
6. กำหนดให้การชำระเงินตามสัญญาขายฝากต้องกระทำต่อเจ้าพนักงานที่ดิน โดยให้เจ้าพนักงานที่ดินตรวจสอบจำนวนเงินและเงื่อนไขในสัญญาให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่รัฐมนตรีประกาศกำหนด และลงลายมือชื่อเป็นพยานในการรับเงินไว้เป็นสำคัญ หากมีกรณีที่ผู้ซื้อฝากชำระเงินให้แก่ผู้ขายฝากไม่ครบตามราคาขายฝากที่กำหนดไว้ ให้ถือว่าจำนวนเงินที่ผู้ขายฝากได้รับไปจริงเป็นราคาขายฝาก
7. กำหนดให้พระราชบัญญัตินี้ไม่กระทบกระเทือนถึงความสมบูรณ์ของสัญญาขายฝากที่ดินเพื่อการเกษตรกรรมหรือที่อยู่อาศัยซึ่งได้กระทำไปแล้วก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ
8. กำหนดให้พระราชบัญญัตินี้ไม่กระทบกระเทือนถึงความสมบูรณ์ของสัญญาขายฝากที่ดินเพื่อการเกษตรกรรมหรือที่อยู่อาศัยซึ่งได้กระทำไปแล้วก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ
เศรษฐกิจ-สังคม
3.เรื่อง มาตรการชดเชยเงินให้แก่ผู้มีรายได้น้อยผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐโดยใช้ข้อมูลจากจำนวนภาษีมูลค่าเพิ่มที่มีผู้รายได้น้อยได้ชำระ
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
ข้อมูลจากจำนวนภาษีมูลค่าเพิ่มที่ผู้มีรายได้น้อยได้ชำระจากราคาสินค้าอุปโภคและบริโภคฯ โดยไม่รวมสินค้าและบริการที่มีภาษีสรรพสามิต สำหรับการชำระราคาสินค้าและบริการจากร้านธงฟ้า ประชารัฐหรือร้านค้าเอกชนอื่นที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม ผ่านเครื่อง EDC ที่มีการเชื่อมต่อระบบ POS โดยร้านค้าดังกล่าวต้องส่งข้อมูลให้แก่กรมบัญชีกลางผ่านระบบที่ บมจ. ธนาคารกรุงไทย พัฒนารองรับการทำงานนี้ แต่ข้อมูลจำนวนภาษีมูลค่าเพิ่มที่ผู้มีรายได้น้อยได้ชำระผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ซึ่งจะได้รับเงินชดเชยจะต้องเป็นข้อมูลตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2561 – 30 เมษายน 2562 เท่านั้น
2. ให้กรมบัญชีกลางดำเนินการจ่ายเงินชดเชยดังกล่าว โดยใช้ข้อมูลจากจำนวนภาษีมูลค่าเพิ่มที่ผู้มีรายได้น้อยได้ชำระ เพื่อนำมาประมวลผลคัดแยกจำนวนภาษีมูลค่าเพิ่ม ร้อยละ 7 ออกจากราคาสินค้าและบริการที่ผู้มีรายได้น้อยได้ชำระผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐไปจริงในแต่ละเดือน โดยกันไว้ร้อยละ 1 ซึ่งเป็นภาษีมูลค่าเพิ่มที่ผู้มีรายได้น้อยได้ชำระราคาสินค้าและบริการผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐแล้ว ส่วนที่เหลือร้อยละ 6 ให้นำมาจำแนกข้อมูลออกเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนที่ 1 ร้อยละ 5 เพื่อการใช้จ่าย และส่วนที่ 2 ร้อยละ 1 เพื่อการออม โดยเงินชดเชยที่ผู้มีรายได้น้อยจะได้รับทั้ง 2 ส่วน เมื่อรวมกันแล้ว ต้องไม่เกินจำนวน 500 บาทต่อคนต่อเดือน โดยใช้จ่ายจากเงินกองทุนประชารัฐเพื่อเศรษฐกิจฐานรากและสังคม ทั้งสิ้น จำนวน 5,000 ล้านบาท
3. อนุมัติค่าใช้จ่ายในการติดตั้งระบบ POS สำหรับร้านธงฟ้าประชารัฐกลุ่มเป้าหมาย โดยจัดสรรเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน 90 ล้านบาท และมอบหมายให้สำนักงบประมาณเร่งรัดการพิจารณารายละเอียดค่าใช้จ่ายดังกล่าว เพื่อให้กรมบัญชีกลางสามารถดำเนินการจ้าง บมจ. ธนาคารกรุงไทย ได้ทันวันที่ 1 ตุลาคม 2561
4.เรื่อง ขออนุมัติผู้แทนรัฐบาลไทยลงนามในข้อตกลงการซื้อขายสะพานเครื่องหนุนมั่น (Modular Fast Bridge) จำนวน 2 ชุด
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอให้ผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการทหารพัฒนาเป็นผู้แทนรัฐบาลไทยลงนามในข้อตกลงการซื้อขายสะพานเครื่องหนุนมั่น (Modular Fast Bridge) จำนวน 2 ชุด ระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนจีน รวมถึงการลงนามในเอกสารการแก้ไขข้อตกลงในส่วนที่มิใช่สาระสำคัญโดยไม่เพิ่มวงเงินจากที่ได้รับอนุมัติไว้ในภายหลัง
สาระสำคัญ
1. กองบัญชาการกองทัพไทย (หน่วยบัญชาการทหารพัฒนา) ได้ดำเนินกรรมวิธี
จัดซื้อสะพานเครื่องหนุนมั่น (Modular Fast Bridge) จำนวน 2 ชุด เป็นเงินทั้งสิ้น 8,760,000.- ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 288,466,800.- บาท (อัตราแลกเปลี่ยน 1.- ดอลลาร์สหรัฐ เท่ากับ 32.93 บาท ณ วันที่ 4 กันยายน 2561) ตามผลการดำเนินกรรมวิธีจัดซื้อโดยวิธีรัฐบาลต่อรัฐบาล จากรัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนจีน (โดยบริษัท China Shipbuilding & Offshore International Co. Ltd. (CSOC) ในฐานะผู้แทนที่ได้รับมอบอำนาจจากรัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนจีน)
2. กองบัญชาการกองทัพไทยได้จัดทำร่างข้อตกลงการซื้อขายสะพานเครื่อง
หนุนมั่น (Modular Fast Bridge) จำนวน 2 ชุด ตามผลการดำเนินกรรมวิธีจัดซื้อดังกล่าวเสร็จเรียบร้อยแล้ว
ต่างประเทศ
5.เรื่อง ขอความเห็นชอบและลงนามพิธีสารอนุวัติข้อผูกพันการเปิดเสรีการค้าบริการด้านการเงิน ฉบับที่ 8 ภายใต้กรอบความตกลงว่าด้วยการค้าบริการของอาเซียน
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติ ดังนี้
1. เห็นชอบร่างพิธีสารอนุวัติข้อผูกพันการเปิดเสรีการค้าบริการด้านการเงิน ฉบับที่ 8 ภายใต้กรอบความตกลงว่าด้วยการค้าบริการของอาเซียน และตารางข้อผูกพันการเปิดเสรีการค้าบริการด้านการเงิน ซึ่งเป็นภาคผนวกแนบท้ายพิธีสารฯ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณาก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติให้ความเห็นชอบต่อไป
2. อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังหรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังลงนามในร่างพิธีสารอนุวัติข้อผูกพันการเปิดเสรีการค้าบริการด้านการเงิน ฉบับที่ 8 ฯ และตารางข้อผูกพันการเปิดเสรีการค้าบริการด้านการเงินซึ่งเป็นภาคผนวกแนบท้ายพิธีสารฯ เมื่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติให้ความเห็นชอบร่างพิธีสารดังกล่าวแล้ว ทั้งนี้ หากมีการแก้ไขถ้อยคำที่มิใช่สาระสำคัญ และไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของไทย ให้กระทรวงการคลังดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2558 ต่อไป
3. ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการออกหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังลงนามในร่างพิธีสารอนุวัติข้อผูกพันการเปิดเสรีการค้าบริการด้านการเงิน ฉบับที่ 8 ฯ
4. ให้กระทรวงการคลังเร่งรัดดำเนินการเพื่อให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็นและได้รับการเยียวยาที่จำเป็นอันเกิดจากผลกระทบของการทำหนังสือสัญญาดังกล่าวตามมาตรา 178 วรรคสี่ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ก่อนเสนอคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา
5. ให้กระทรวงการคลังประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการเพื่อปฏิบัติตามพันธกรณีที่กำหนดในร่างพิธีสารอนุวัติข้อผูกพันการเปิดเสรีการค้าบริการด้านการเงิน ฉบับที่ 8 ฯ และตารางข้อผูกพันการเปิดเสรีการค้าบริการด้านการเงิน ซึ่งเป็นภาคผนวกแนบท้ายพิธีสารฯ
6. ให้กระทรวงการต่างประเทศแจ้งต่อสำนักเลขาธิการอาเซียนว่าไทยพร้อมที่จะให้พิธีสารดังกล่าวมีผลผูกพันต่อไป เมื่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติมีมติเห็นชอบต่อร่างพิธีสารฯ และตารางข้อผูกพันดังกล่าวแล้ว
สาระสำคัญของร่างพิธีสารอนุวัติข้อผูกพันการเปิดเสรีการค้าบริการด้านการเงิน ฉบับที่ 8 และตารางข้อผูกพันการเปิดเสรีการค้าบริการด้านการเงิน เป็นการปรับปรุงตารางข้อผูกพันในสาขาหลักทรัพย์ สาขาย่อยบริการจัดการลงทุน (Asset Management) ในการอนุญาตให้มีสัดส่วนการถือหุ้นของต่างชาติในบริษัทจัดการลงทุน (Asset Management Company) ได้ถึงร้อยละ 100 ของทุนที่ชำระแล้ว โดยยกเลิกเงื่อนไขที่กำหนดให้ต้องมีสถาบันการเงินที่จัดตั้งภายใต้กฎหมายไทยถือหุ้นอยู่ไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 ของทุนที่ชำระแล้วในระยะ 5 ปีแรก หลังจากที่ได้รับใบอนุญาต เป็นการยกระดับข้อผูกพันให้เทียบเท่ากฎหมายและแนวปฏิบัติที่ใช้บังคับในปัจจุบัน รวมทั้งจะเป็นส่วนสำคัญของการส่งเสริมการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจในเชิงลึกและกว้างขวางมากขึ้นของประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ซึ่งเกิดจากการลดข้อจำกัดต่อผู้ให้บริการของอาเซียนในการให้บริการ และเข้ามาจัดตั้งกิจการในประเทศสมาชิกอื่น อันจะเป็นการเปิดโอกาสให้ภาคเอกชนไทยสามารถขยายการค้าการลงทุนในสาขาบริการด้านการเงินออกไปยังประเทศอาเซียนอื่นได้สะดวกยิ่งขึ้น ทั้งนี้ จะมีการลงนามในร่างพิธีสารฯ ในช่วงการประชุมประจำปีสภาผู้ว่าการธนาคารโลกและกองทุนการเงินระหว่างประเทศ ปี 2561 ในระหว่างวันที่ 12 - 14 ตุลาคม 2561 ณ เกาะบาหลี สาธารณรัฐอินโดนีเซีย
6.เรื่อง ขออนุมัติการจัดทำและลงนามความตกลงว่าด้วยความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐโปแลนด์
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ ดังนี้
1. เห็นชอบต่อการจัดทำและลงนามความตกลงว่าด้วยความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐโปแลนด์ ทั้งนี้ หากก่อนลงนามมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขร่างความตกลงฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญ ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาพิจารณาดำเนินการในเรื่องนั้น ๆ แทนคณะรัฐมนตรี โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีกครั้ง
2. อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา (นายวีระศักดิ์ โควสุรัตน์) หรือผู้ที่ได้รับมอบหมาย เป็นผู้ลงนามในความตกลงฯ (โดยระบุตำแหน่ง)
3. อนุมัติให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือมอบอำนาจ (Full Power) ให้แก่ผู้ลงนามที่อ้างถึงข้างต้นในการลงนามร่างความตกลงฯ
สาระสำคัญของเรื่อง
ร่างความตกลงว่าด้วยความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐโปแลนด์ มีสาระสำคัญดังนี้
1. ดำเนินการจัดกิจกรรมโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้เกิดการบริการที่เกี่ยวข้องด้านการท่องเที่ยวให้กับนักท่องเที่ยวจากทั้งสองประเทศ
2. ส่งเสริมเครือข่ายระหว่างผู้เชี่ยวชาญด้านการท่องเที่ยว
3. แลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับการท่องเที่ยว
4. ช่วยเหลือในการฝึกอบรมบุคลากรในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและภาคส่วนอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับด้านการท่องเที่ยว
5. ขอบเขตอื่นของความร่วมมือที่อาจตกลงร่วมกันโดยคู่ภาคี
7.เรื่อง ร่างปฏิญญาสำหรับการประชุมระดับรัฐมนตรีของการประชุมมหาสมุทร (Oceans Meeting) 2018
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ดังนี้
1. เห็นชอบร่างปฏิญญาสำหรับการประชุมระดับรัฐมนตรีของการประชุมมหาสมุทร (Oceans Meeting) 2018 และหากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขร่างปฏิญญาฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและเป็นประโยชน์ต่อประเทศไทย ให้อยู่ในดุลยพินิจของคณะผู้แทนไทยโดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีกครั้ง
2. อนุมัติให้ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงคมนาคม (นายธีระพงษ์ รอดประเสริฐ) ร่วมให้การรับรองร่างปฏิญญาฯ
สาระสำคัญของร่างปฏิญญาฯ
1. มุ่งเน้นในประเด็นมหาสมุทรที่มีส่วนสำคัญต่อการพัฒนาอย่างยั่งยืนในหลากหลายมิติทั้งด้านการเดินเรือ/การขนส่งทางทะเล ท่าเรือ ประมง ท่องเที่ยว พลังงานทดแทน การเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ และชีววิทยาทางทะเล ซึ่งเป็นกลไกสำคัญสำหรับการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม และสอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ
2. ให้ตระหนักถึงความจำเป็นในการใช้ประโยชน์จาก Blue Economy อย่างเต็มศักยภาพเพื่อสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจ การสร้างงาน และการลงทุน โดยในขณะเดียวกันก็ต้องปกป้องมหาสมุทรให้อยู่ในสภาพสมบูรณ์ด้วย
3. เพื่อรับรู้ถึงบทบาทสำคัญขององค์การทางทะเลระหว่างประเทศ (International Maritime Organization - IMO) ในการออกกฎระเบียบด้านการเดินเรือและการส่งเสริมให้การเดินเรือมีความปลอดภัย มั่นคง และมีประสิทธิภาพในทะเลที่สะอาด และตระหนักถึงความก้าวหน้าของ IMO ในการรับรองยุทธศาสตร์ว่าด้วยการลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากเรือ รวมถึงการมีผลบังคับใช้ของอนุสัญญา International Convention of the Control and Management of ships’ Ballast Water and Sediments (BWM) เมื่อวันที่ 8 กันยายน 2560
4. ให้ความสำคัญกับการส่งเสริมความร่วมมือในระดับภูมิภาคและระหว่างประเทศเพื่อบูรณาการด้านการกำกับดูแล/การดำเนินกิจการต่าง ๆ ด้านมหาสมุทรโดยภาคส่วนต่าง ๆ ได้แก่ รัฐบาล ประชาสังคม ภาคอุตสาหกรรม สถาบันการศึกษา สถาบันวิจัย และเอ็นจีโอ รวมทั้งผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งหมด
5. ให้มีการเสริมสร้างความเข้มแข็งด้านการกำกับดูแลมหาสมุทร โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่อง Blue Economy, Green Shipping และ Port Tech Clusters
ทั้งนี้ ร่างปฏิญญาฯ จะมีการรับรองโดยรัฐมนตรี/หัวหน้าคณะผู้แทนที่เข้าร่วมการประชุมมหาสมุทร (Oceans Meeting) 2018 ในวันที่ 21 กันยายน 2561 ณ สาธารณรัฐโปรตุเกส
8.เรื่อง การรับรองร่างเอกสารผลลัพธ์การประชุม Nelson Mandela Peace Summit ในห้วงการประชุมสมัชชาสหประชาชาติ สมัยสามัญ ครั้งที่ 73
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
1. อนุมัติให้สนับสนุนและร่วมรับรองร่างปฏิญญาทางการเมือง (Political Declaration) เป็นเอกสารผลลัพธ์ของ Nelson Mandela Peace Summit ทั้งนี้ หากมีการแก้ไขหรือเปลี่ยนแปลงเนื้อหาของร่างปฏิญญาฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญก่อนการรับรอง ให้กระทรวงการต่างประเทศสามารถดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้ง
2. อนุมัติให้รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ (นายวีระศักดิ์ ฟูตระกูล) ซึ่งเป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทยเข้าร่วมการประชุมสมัชชาสหประชาติ สมัยสามัญ ครั้งที่ 73 เป็นผู้ร่วมรับรองร่างปฏิญญาทางการเมืองเป็นผลลัพธ์ของ Nelson Mandela Peace Summit ในห้วงการประชุมสมัชชาสหประชาชาติ สมัยสามัญ ครั้งที่ 73
สาระสำคัญของร่างปฏิญญาฯ
ร่างปฏิญญาทางการเมืองมีสาระสำคัญเกี่ยวกับการส่งเสริมและรักษาสันติภาพ การส่งเสริมการพัฒนาที่ยั่งยืนตามวาระการพัฒนาที่ยั่งยืน ค.ศ. 2030 (2030 Agenda for Sustainable Development) การคุ้มครองและส่งเสริมสิทธิมนุษยชน รวมทั้งการส่งเสริมความอดกลั้น ความเข้าใจ และการอยู่ร่วมกันโดยสันติระหว่างวัฒนธรรม ศาสนา และความเชื่อต่าง ๆ และการแก้ปัญหาความขัดแย้งโดยสันติ และเสนอให้ที่ประชุมร่วมกันตกลงในข้อต่อไปนี้
1. กำหนดให้ห้วงปี 2562 - 2571 (ค.ศ. 2019 - 2028) เป็นทศวรรษแห่งสันติภาพของนายเนลสัน แมนเดลา (Nelson Mandela Decade of Peace) และเรียกร้องให้รัฐสมาชิกเพิ่มความพยายามเป็นเท่าตัวเพื่อบรรลุเป้าหมายแห่งสันติภาพ การพัฒนา และสิทธิมนุษยชน
2. ให้จัดตั้งคณะกรรมการที่ปรึกษาระดับสูงเพื่อการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท (High Level Advisory Board on Mediation)
3. สนับสนุนให้ประธานสมัชชาสหประชาชาติ และเลขาธิการสหประชาชาติทำงานร่วมกันเพื่อสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับรางวัล United Nations Nelson Rolihlahla Mandela Prize และรางวัล United Nations Prize in the fields of Human Rights
แต่งตั้ง
9.เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงสาธารณสุข)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอแต่งตั้ง นายชลทิศ อุไรฤกษ์กุล ผู้อำนวยการศูนย์ (ผู้อำนวยการเฉพาะด้าน (แพทย์) สูง) ศูนย์อนามัยที่ 5 ราชบุรี กรมอนามัย ให้ดำรงตำแหน่ง นักวิชาการสาธารณสุขทรงคุณวุฒิ (ด้านส่งเสริมสุขภาพ) กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข ตั้งแต่วันที่ 30 มีนาคม 2561 ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป
10.เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (สำนักนายกรัฐมนตรี)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติเสนอแต่งตั้ง นางศิริวรรณ สุคนธมาน ผู้อำนวยการสำนักยุทธศาสตร์ความมั่นคงเกี่ยวกับภัยคุกคามข้ามชาติ สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ ให้ดำรงตำแหน่ง ที่ปรึกษาด้านการประสานกิจการความมั่นคง (นักวิเคราะห์นโยบายและแผนทรงคุณวุฒิ) สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ สำนักนายกรัฐมนตรี ตั้งแต่วันที่ 8 มิถุนายน 2561 ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป
11.เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน 3 ราย ดังนี้
1. นายประลอง ดำรงค์ไทย ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ดำรงตำแหน่ง อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ
2. นายสุวัฒน์ เปี่ยมปัจจัย ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ดำรงตำแหน่ง
อธิบดีกรมทรัพยากรน้ำ
3. นายอดิศร นุชดำรงค์ ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ดำรงตำแหน่ง
รองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป เพื่อทดแทนผู้ที่จะเกษียณอายุราชการ
12.เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงศึกษาธิการ)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอแต่งตั้ง นายชลำ อรรถธรรม รองเลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน ให้ดำรงตำแหน่ง เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน สำนักงานปลัดกระทรวง ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง
13.เรื่อง การแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแทนผู้ที่จะครบวาระ ดังนี้
ประธานกรรมการ 1. นายประสาท สืบค้า
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ประกอบด้วย 2. นายศรัณย์ โปษยะจินดา 3. นายยืน ภู่วรวรรณ 4. นายไกรสิทธิ์ ตันติศิรินทร์ 5. นายพินิติ รตะนานุกูล 6. คุณหญิงสุมณฑา พรหมบุญ 7. นายไพฑูรย์ ขัมภรัตน์ 8. นายสมบูรณ์ ม่วงกล่ำ 9. นายสัมพันธ์ ศิลปนาฎ 10. นางเอมอร สุมามาลย์ ครูผู้สอนด้านคณิตศาสตร์ ภาคเหนือ 11. นายวิฑูรย์ สืบโมรา ครูผู้สอนด้านวิทยาศาสตร์ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 12. นายเจษฎา เนตรสว่างวิชา ครูผู้สอนด้านวิทยาศาสตร์ ภาคกลาง 13. นายอำนาจ มณีดุลย์ ครูผู้สอนด้านวิทยาศาสตร์ ภาคใต้
ทั้งนี้ ให้มีผลตั้งแต่วันที่ 13 ตุลาคม 2561 เป็นต้นไป
14.เรื่อง การแต่งตั้งประธานกรรมการในคณะกรรมการสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัลแทนประธานกรรมการผู้ที่พ้นจากตำแหน่ง
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รองนายกรัฐมนตรี (พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง) เสนอแต่งตั้ง นายไชยเจริญ อติแพทย์ ให้ดำรงตำแหน่งประธานกรรมการในคณะกรรมการสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล แทนผู้ที่ลาออก ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 18 กันยายน 2561 เป็นต้นไป
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี