19 ก.ย.61 นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เลขาธิการแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) กล่าวในรายการ "เข้าใจตรงกันนะ" ทาง Peace TV ประจำวันที่ 18 กันยายน 2561 ถึงกรณีที่ได้เขียนจดหมายเปิดผนึกถามความกระจ่างจากอัยการสูงสุดและผู้เกี่ยวข้องว่า มีนายทหารเข้าไปพบจริงหรือไม่ และคดี 99 ศพ นปช.ถูกสลายการชุมนุมจะดำเนินการอย่างไรต่อไป
สืบเนื่องจากข้อเขียนในคอลัมน์หนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่ง เรื่อง "นายพล" ระบุว่า วันที่ 3 สิงหาคม 2561 เวลาก่อน 11.00 น.มีนายทหารระดับ "นายพล" เดินทางไปยังสำนักงานอัยการสูงสุด เพื่อพูดคุยเกี่ยวกับสำนวนคดีสลายการชุมนุมกลุ่ม นปช.เมื่อปี 2553 จนมีผู้เสียชีวิต 99 ศพ บาดเจ็บกว่า 2,000 ราย โดย "นายพล" ขอให้ผู้ใหญ่ฝ่ายอัยการยุติเรื่องดังกล่าว โดยเฉพาะกรณีเกือบ 20 ศพ ที่ศาลไต่สวนสาเหตุการตายเป็นที่ยุติแล้วว่าเสียชีวิตเพราะถูกกระสุนปืนความเร็วสูงจากฝั่งเจ้าหน้าที่ ให้ทำเป็น "สำนวนมุมดำ" หาตัวผู้กระทำความผิดไม่ได้ จึงไม่ต้องส่งฟ้องศาล
เลขาธิการ นปช.กล่าวถึงกรณีดังกล่าวว่า หากอัยการสูงสุดจะบอกว่าความจริงแล้วไม่มีใครไปเข้าพบและขอให้ทำเป็น "สำนวนมุมดำ" ก็ขอให้ปฏิเสธมา นอกจากปฏิเสธแล้วก็ขอให้ชี้แจงด้วยว่าคดีที่เหลืออยู่ท่านจัดการอย่างไรต่อ เพราะขณะนี้มีประชาชนถามแล้ว
"ถ้าดูกันตามเนื้อผ้า ก็เกิดคำถามขึ้นมาทันที ว่าขณะนี้มีการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือไม่"
"ผมระบุในเนื้อความจดหมายว่าพยายามระมัดระวังไม่ให้การติดตามทวงถามเรื่องนี้ไปก่อกระแสความขัดแย้งระหว่างคนต่างความคิด เพราะไม่ต้องการเอาเรื่องนี้ไปหาเรื่องกับใคร ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายนกหวีดหรือฝ่ายพันธมิตรฯ รวมถึงฝ่ายประชาธิปัตย์ และไม่ได้ต้องการไปหาเรื่องผู้มีอำนาจในปัจจุบัน แต่เราต้องการตามหาความยุติธรรมและความจริง ว่าเมื่อไหร่เรื่องราวเหล่านี้จะถูกนำมาหยิบยื่นความยุติธรรมให้ทุกคนทุกฝ่ายเสมอภาคเท่าเทียมกัน" ณัฐวุฒิ กล่าว
ส่วนกรณี นางพะเยาว์ อัคฮาด มารดา น.ส.กมลเกด อัคฮาด หรือน้องเกด พยาบาลอาสา 1 ใน 6 ผู้เสียชีวิต จากการสลายการชุมนุมกลุ่ม นปช.ที่วัดปทุมวนาราม เมื่อเดือนเมษายน - พฤษภาคม 2553 และนายพันธ์ศักดิ์ ศรีเทพ บิดาของน้องเฌอ นายสมาพันธ์ ศรีเทพ ผู้เสียชีวิตจากเหตุสลายการชุมนุมในปีเดียวกัน เตรียมเดินทางไปสำนักงานอัยการสูงสุด เพื่อไปยื่นหนังสือสอบถามและให้กำลังใจอัยการเจ้าของสำนวน คดี 6 ศพวัดปทุม และคดีล้อมปราบปี 2553 ซึ่งอยู่ในชั้นพิจารณา ขอให้อัยการมีกำลังใจและยึดมั่นในหลักกฎหมาย ไม่หวั่นไหวกับการข่มขู่ ของเจ้าหน้าที่ทหารชั้นนายพลตามที่เป็นข่าว
ณัฐวุฒิ กล่าวว่า ทราบข่าวว่าแม่น้องเกด และพ่อน้องเฌอ จะไปสอบถามอัยการสูงสุด โดยใช้ข้อมูลจากคอลัมน์ในหนังสือพิมพ์เช่นเดียวกัน ส่วนผมได้มอบหมายทีมกฎหมายให้ร่างหนังสือเตรียมยื่นคำร้องต่ออัยการสูงสุด เพื่อสอบถามกรณีดังกล่าวเช่นเดียวกัน
ประเด็นนี้มีความสำคัญมากเป็นพิเศษกับญาติพี่น้องผู้สูญเสียและผู้ร่วมอุดมการณ์ร่วมต่อสู้ เขาติดตามใกล้ชิด เรื่องนี้จึงมีความอ่อนไหวเป็นอันดับต้น ขณะเดียวกันพี่น้องคนไทยไม่ว่าอยู่ข้างไหน ถ้ามองด้วยใจเป็นธรรม ก็อยากให้ฝ่ายบ้านเมืองทำเรื่องนี้ให้กระจ่าง เป็นมาตรฐานเดียวกัน เนื่องจากมีกรณีเปรียบเทียบทนโท่อยู่ตรงหน้าว่าคดีของพี่น้องกลุ่มพันธมิตรฯ มีการดำเนินการแบบหนึ่ง แต่คดี นปช.กลับทำอีกแบบหนึ่ง
ถ้าจะออกจากวิกฤตความขัดแย้ง สร้างประชาธิปไตย หรือใช้คำว่าปฏิรูป เพื่อแก้ปัญหาให้บ้านเมืองที่เราร่วมกันเป็นเจ้าของ เราไม่ปฏิเสธ แต่ว่า เราจะเดินไปสู่ความเป็นประชาธิปไตย เราจะเดินออกจากวิกฤตความขัดแย้ง จะสร้างชาติให้มั่นคง โดยไม่พยายามหยิบยื่นความยุติธรรมให้คนบางกลุ่ม แล้วเราจะเดินไปแบบนั้นได้จริงๆ หรือ
ดังนั้น เรื่องนี้เป็นคนละประเด็นกับที่บางคนบอกว่า มีความพยายามทำให้บ้านเมืองไม่สงบเรียบร้อยมีปัญหาก่อนการเลือกตั้ง ซึ่งเราไม่ได้ทำให้มีปัญหา เพราะเรื่องนี้เราเดินไปตามช่องทาง ไปยื่นหนังสือและรอฟังคำตอบ ยังไม่มีใครตกเป็นจำเลยสังคมหรือจำเลยของผมในกรณีดังกล่าว เพราะนายทหารชั้นนายพลนั้น จะเป็นใคร มีตัวตนหรือไม่ ผมไม่ทราบ หรืออัยการสูงสุดจะพบใครหรือเปล่า เตรียมทำเรื่องนี้เป็นคดีมุมดำหรือไม่ ผมก็ไม่รู้ แต่เมื่อเป็นประเด็นรายงานทางสื่อมวลชนไปแล้ว คนที่จะทำให้ประชาชนทราบเรื่องทั้งหมดได้ดีที่สุดก็คือบุคคลที่ถูกอ้างถึงและเกี่ยวข้อง เมื่อคอลัมน์เขียนว่าไปเจอที่อัยการสูงสุด จะพ้นหน้าตักท่านอัยการสูงสุดได้ยังไงล่ะครับ
เลขาธิการ นปช.กล่าวว่า ขออนุญาตทำความเข้าใจว่า คดี 99 ศพ ที่ล่าสุดได้ไปฟังเลขาธิการ ป.ป.ช.แถลง แม้ ป.ป.ช.ยกคำร้อง ก็ไม่ใช่ว่าเรื่องจะจบ เพราะคดีนี้เป็นคดีที่มีคนตายเกือบร้อย
"สาเหตุที่ไปฟ้อง ป.ป.ช.ก็เพื่อให้เอาผิด นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ตามมาตรา 157 ปฏิบัติหน้าที่หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ไม่ใช่จ้องเล่นงานกันทางการเมือง เพราะเมื่อเทียบกับคดีพันธมิตรฯ ล้อมสภา มีคนตาย 2 คน กลุ่มพันธมิตรฯ ร้อง ป.ป.ช.กระทั่งคดีไปถึงศาล แต่ปัญหาคือ คดี นปช.99 ศพ กลับได้รับความแตกต่าง เพราะเรื่องยังไปไม่ถึงศาล
ขณะที่ในส่วนอัยการ สำหรับคดี 99 ศพ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 148 เป็นการตายผิดธรรมชาติ ต้องมีการชันสูตรพลิกศพ เรื่องไปถึงอัยการเพื่อไต่สวนสาเหตุการตาย ซึ่งเขาก็ดำเนินการ แต่ทำได้ 20 กว่าราย โดยเกือบ 20 ราย ศาลชี้ว่าเสียชีวิตจากอาวุธฝั่งเจ้าหน้าที่ แล้วจู่ๆ เรื่องก็เงียบหายไปเฉยๆ ค้างอีก 70 กว่าราย ไม่มีความคืบหน้า โดยเฉพาะหลังรัฐประหาร 22 พฤษภา 57 เวลาล่วงเกือบ 5 ปีก็ไม่มีความคืบหน้าอีกเลย
จึงต้องถามอัยการสูงสุด เพราะเป็นหน้าที่ตามกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 150 วรรค 5 (เมื่อได้รับสำนวนชันสูตรพลิกศพแล้ว ให้พนักงานอัยการทำคำร้องขอต่อศาลชั้นต้นแห่งท้องที่ที่ศพนั้นอยู่ เพื่อให้ศาลทำการไต่สวนและทำคำสั่งแสดงว่าผู้ตายคือใคร ตายที่ไหน เมื่อใด และถึงเหตุและพฤติการณ์ที่ตาย ถ้าตายโดยคนทำร้ายให้กล่าวว่าใครเป็นผู้กระทำร้ายเท่าที่จะทราบได้ ภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับสำนวน ถ้ามีความจำเป็น ให้ขยายระยะเวลาออกไปได้ไม่เกินสองครั้ง ครั้งละไม่เกินสามสิบวัน แต่ต้องบันทึกเหตุผลและความจำเป็นในการขยายระยะเวลาทุกครั้งไว้ในสำนวนชันสูตรพลิกศพ)
"ไม่ได้หมายความว่า ป.ป.ช.ตีเรื่องตกแล้วทุกอย่างจะตกตามไปด้วย เพราะแบ่งเป็น 2 กรณี คือ ป.ป.ช.เรื่องการดำเนินคดีผู้สั่งการ ขณะที่ชั้นอัยการ คือ การดำเนินกระบวนการหาตัวผู้ลงมือกระทำความผิด ผมจึงเขียนจดหมายเรื่องเหล่านี้ไปในคราวเดียว" ณัฐวุฒิ กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี