เมื่อวันที่ 28 มกราคม ที่สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ นายกรณ์ จาติกวณิช รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เดินทางมายื่นจดหมายเปิดผนึกต่อนายวสันต์ สร้อยพิสุทธิ์ ประธานศาลรัฐธรรมนูญ กรณีศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้รัฐบาลออกพ.ร.ก.กู้เงิน 3.5 แสนล้านบาท เพื่อวางระบบบริหารจัดการน้ำ และสร้างอนาคตประเทศ 2555 ผ่านนายนนท์นิพัทธ์ โพธิ์เดชธำรง ผอ.บริหารกลางศาลรัฐธรรมนูญ โดยระบุว่า หลังจากที่ได้ติดตามการใช้งบประมาณ รัฐบาลกลับไม่มีแผนใช้จ่ายเงินกู้และและไม่ปรากฏโครงการจัดการน้ำของรัฐบาล ดำเนินการเป็นผลสำเร็จเป็นรูปธรรม เนื่องจากมียอดเบิกจ่าย 4,639.34 ล้านบาท ซึ่งหากเปรียบเทียบยอดเงินกู้ 3.5 แสนล้านบาท ก็เท่ากับว่ามีการเบิกจ่ายไปประมาณร้อยละ 1 ของยอดเงินกู้ทั้งหมดเท่านั้น ทั้งที่ระยะเวลาในการกู้เงินครบ 1 ปีแล้ว เมื่อวันที่ 27 มกราคมที่ผ่านมา ซึ่งไม่สอดคล้องกับข้ออ้างของรัฐบาลที่มีความจำเป็นเร่งด่วน และยังพบว่าเงินที่เบิกจ่ายไปแล้ว มีการเบิกจ่ายในส่วนอื่นไม่ใช่กระบวนจัดการบริหารน้ำ
"จากข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นแสดงให้เห็นว่า รัฐบาลมิได้ดำเนินการตามคำชี้แจงต่อศาลรัฐธรรมนูญว่ามีความจำเป็นเร่งด่วนที่ต้องตรา พ.ร.ก.ฉบับนี้ขึ้น แสดงให้เห็นถึงความไม่พร้อมในการดำเนินโครงการบริหารจัดการน้ำของรัฐบาลและจากยอดเงินกู้และยอดค่าใช้จ่ายตลอดปี 55 ย่อมเป็นที่ประจักษ์ชัดว่า รัฐบาลสามารถบรรจุรายการใช้จ่ายเงินดังกล่าว ไว้ในพ.ร.บ.งบประมาณ 55 หรือใช้วิธีการกู้เงินตาม พ.ร.บ.การบริหารหนี้สาธารณะ 2548 หรือออกเป็นพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมก็สามารถทำได้ โดยไม่ต้องตรา พ.ร.ก.ฉบับนี้แต่อย่างใด แต่รัฐบาลกลับหลีกเลี่ยงไม่ดำเนินการตามวิถีทางดังกล่าว"นายกรณ์กล่าว
และว่า ขณะนี้เหลือเวลาอีก 5 เดือน ยังไม่มีแผนหรือโครงการที่เป็นรูปธรรม ดังนั้น การที่รัฐบาลจะกู้เงินในส่วนที่เหลือทั้งหมดมาก่อนครบระยะเวลากู้เงิน และใช้วิธีการตามโครงการของหน่วยงานต่างๆ ที่มีอยู่แล้ว แต่ไม่ได้อนุมัติจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีนำมาสอดแทรกเข้าโครงการของ พ.ร.ก.ฉบับนี้ เพื่อสามารถเบิกจ่ายเงินกู้ ถือเป็นการผิดวัตถุประสงค์ของพ.ร.ก. ซึ่งรัฐบาลสามารถกู้เงินส่วนที่เหลืออีกประมาณ 3.4 แสนล้านบาท คิดว่าคงไม่ทัน
อีกทั้ง รัฐบาลยังมีแผนการที่จะกู้เงินอีกระลอกใหญ่ เพื่อลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน 2556 ด้วยการออก พ.ร.บ.ให้อำนาจกระทรวงการคลัง กู้เงินเพื่อลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน พ.ศ..... "วงเงิน 2.2 ล้านล้านบาท" สำหรับระยะเวลา 7 ปี ทั้งที่โครงการบริหารจัดการน้ำที่ผ่านมา เป็นเครื่องพิสูจน์ให้สาธารณชนเห็นแล้วว่า การกู้เงินนอกระบบงบประมาณขาดประสิทธิภาพในการเบิกจ่าย และขาดความโปร่งใสอย่างไร และรัฐบาลก็ไม่สามารถทำตามที่ให้ไว้กับสาธารณชนได้ แต่รัฐบาลยังดึงดันกู้เงินนอกระบบในวงเงินที่มากขึ้นอีก
นายกรณ์ กล่าวต่อว่า ดังนั้น จึงเห็นว่ารัฐบาลกำลังมีเจตนาที่จะนำเงินมหาศาลไปใช้ในกิจการโดยมิชอบที่ไม่มีผู้ใดสามารถตรวจสอบได้ ซึ่งจะขัดต่อหลักวินัยการเงินการคลังและงบประมาณตามรัฐธรรมนูญ ที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อประเทศ อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าหากมีการกู้เงิน 2.2 ล้านล้านบาทจริง ซึ่งจะคล้ายกับการกู้เงิน 3.5 แสนล้านบาท พรรคประชาธิปัตย์จะพิจารณาในข้อกฎหมาย เพราะหากปล่อยให้รัฐบาลดำเนินการออก พ.ร.บ.เงินกู้นอกระบบได้ ในอนาคตจะเป็นการเพิ่มอำนาจให้รัฐบาลออกกฎหมายกู้เงินให้กับตนเอง โดยไม่ต้องมีการตรวจสอบ และจะเป็นบรรทัดให้ฐานกับรัฐบาลชุดต่อๆไป
“ดังนั้น พรรคประชาธิปัตย์ขอให้ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญใช้ดุลยพินิจพิจารณาข้อเท็จจริงและพฤติการณ์ที่เกิดขึ้น เพื่อเป็นบรรทัดฐาน และการยื่นครั้งนี้จะเป็นข้อมูลในการพิจารณาวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในอนาคต และจะชี้ให้เห็นว่าการที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยครั้งที่ผ่านมา เป็นการเชื่อต่อข้อมูลที่รัฐบาลนำมาชี้แจง” นายกรณ์กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่า การที่พรรคประชาธิปัตย์ยื่นเรื่องครั้งนี้ เพื่อต้องการแสดงให้เห็นว่าการที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้รัฐบาลตรากู้เงิน เป็นการพิจารณาที่ผิดพลาดและไม่ทันเกมรัฐบาลหรือไม่ นายกรณ์ ปฎิเสธว่า ไม่ใช่ เพราะในขณะที่ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยนั้น ศาลไม่มีข้อมูลที่จะประเมินได้ ข้อมูลที่รัฐบาลอ้างว่ามีความจำเป็นเร่งด่วนจริง หากไม่มีการอนุมัติกู้เงินจะมีผลต่อความมั่นคงของประเทศนั้น เป็นข้อมูลที่เชื่อถือหรือไม่ ซึ่งในวันนั้นเข้าใจได้ว่าศาลคงให้เกียรติรัฐบาล เพราะเชื่อว่ารัฐบาลไม่น่าจะนำข้อมูลเท็จมาชี้แจงต่อศาล แต่วันนี้ปรากฏแล้วว่า ข้อเท็จจริงไม่เป็นเช่นนั้น เราจึงเสนอข้อมูลให้ศาลพิจารณา เพื่อเป็นประโยชน์ในการพิจารณาครั้งต่อไป
อย่างไรก็ตาม หลังจากนี้เราต้องจับตามองรัฐบาลตั้งแต่วันนี้- 30 มิถุนายน ที่จะครบกำหนดตามกฎหมายในการกู้ยืมเงิน ซึ่งหากรัฐบาลยังไม่ได้กู้เงินก่อนวันที่ 30 มิ.ย. ก็จะถือว่าไม่มีสิทธิตาม พ.ร.ก.ดังกล่าว แต่หากว่ารัฐบาลอ้างว่ายังไม่มีการกู้ แต่เป็นเพียงการทำสัญญาเงินกู้ล่วงหน้าไว้ก่อน เรื่องนี้คงจะเป็นประเด็นทางกฎหมายว่าการทำสัญญาเงินกู้เสมือนเป็นการกู้ยืมเงินมาแล้วหรือไม่
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี