เมื่อพระเทพญาณมหามุนี หรือ พระธัมมชโย เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายไม่มามอบตัวกับพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ เพื่อรับทราบข้อหาสมคบกันฟอกเงิน ร่วมกันฟอกเงิน และรับของโจร
ศาลอาญาได้อนุมัติหมายจับพระธัมมชโยแล้ว
1)27 พฤษภาคม 2559 คณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ อัยการและที่ปรึกษาคดีพิเศษ ที่มีพ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ เป็นประธานที่ประชุม มีการกำหนดแนวทางการดำเนินการตามที่ศาลอาญาอนุมัติหมายจับพระธัมมชโย
แนวทางในการดำเนินการของกรมสอบสวนคดีพิเศษ มีดังนี้
1.การจัดทำแผนตามหมายจับที่วัดพระธรรมกาย
2.ส่งหมายจับให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองและตำรวจ หากพบเห็นสามารถจับได้ทันที ทั้งนี้ เพื่อขยายอำนาจหน้าที่ไปยังเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องตามกฎหมายให้ช่วยดำเนินการจับกุม
3.ให้กรมสอบสวนคดีพิเศษทำหนังสือถึงฝ่ายปกครองสงฆ์ทุกระดับรวมทั้งมหาเถรสมาคม (มส.) เพื่อชี้แจงให้ทราบถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
4.ให้ใช้ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 189 ดำเนินคดีแก่ผู้ที่ช่วยเหลือ หรือให้ที่พักพิงแก่ผู้ต้องหา
และสุดท้าย เร่งรัดการทำสำนวนคดีให้แล้วเสร็จโดยเร็ว เจ้าหน้าที่กรมสอบสวนคดีพิเศษคาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 2-3 สัปดาห์
พนักงานสอบสวนคดีพิเศษ ยังได้ทำหนังสือแจ้งเจ้าคณะจังหวัดปทุมธานี มหาเถรสมาคม (มส.) และผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราชรับทราบว่า พระธัมมชโยตกเป็นผู้ต้องหาตามหมายจับของศาลอาญาแล้วขอให้คณะสงฆ์ผู้ปกครองปฏิบัติตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ด้วย
2)ในส่วนของการดำเนินคดี และการดำเนินการจับกุมตามหมายจับของศาลอาญา
ขั้นตอนต่อไป หากผู้ต้องหายังไม่เข้ามอบตัว ก็คงจะมีการไปขอหมายค้นต่อไป เพราะการเข้าไปในที่รโหฐาน ไม่สามารถถือหมายจับของศาลอาญาเดินเข้าไปได้เลย
ซึ่งถ้าค้นวัดพระธรรมกายจริงๆ ก็คงจะต้องตรวจค้นหาพยานหลักฐานอื่นๆ ประกอบคดีให้สมบูรณ์ด้วย โดยเฉพาะที่สำนักงาน ที่กุฏิของผู้ต้องหาตามหมายจับ ซึ่งน้อยคนจะมีโอกาสเข้าถึง และเป็นที่ซึ่งผู้ต้องหาในคดีเดียวกันอีกคนหนึ่ง คือ นายศุภชัย ศรีศุภอักษร อดีตประธานสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น เคยให้การว่าได้เคยเข้าพบพระธัมมชโยถึงกุฏิ แถมสนิทถึงขั้นมีชื่อเรียกเฉพาะระหว่างกันด้วย
น่าคิดว่า ถ้าเข้าค้นจริงๆ จะเจอข้อมูลหลักฐานอะไรอีกบ้าง น่าสนใจมาก
เว้นเสียแต่ผู้ต้องหาจะชิงออกมามอบตัวเสียก่อน
3) ในส่วนของการดำเนินการของคณะสงฆ์
ข้อที่พนักงานสอบสวนทำหนังสือไปยังฝ่ายปกครองคณะสงฆ์ “ขอให้คณะสงฆ์ผู้ปกครองปฏิบัติตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ด้วย” ก็คือการแจ้งอย่างเป็นทางการ
เมื่อเจ้าหน้าที่แจ้งไปที่คณะสงฆ์แล้ว ผู้ปกครองคณะสงฆ์มีสถานะเป็นเจ้าพนักงานตามกฎหมายอาญา หากละเว้นการปฏิบัติหน้าที่หรือปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ก็จะมีความผิดตามกฎหมายอาญาต่อไปด้วย
ไล่ตั้งแต่เจ้าคณะจังหวัด เจ้าคณะภาค กรรมการมหาเถรสมาคม ผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช ฯลฯ
4) ตาม พ.ร.บ.คณะสงฆ์ ระบุว่า
มาตรา 56 พระภิกษุรูปใดล่วงละเมิดพระธรรมวินัย และได้มีคำวินิจฉัยถึงที่สุด ให้ได้รับนิคหกรรม ถ้าให้สึก ต้องสึกภายในยี่สิบสี่ชั่วโมงนับแต่เวลาที่ได้ทราบคำวินิจฉัยนั้น
มาตรา 29 พระภิกษุรูปใดถูกจับโดยต้องหาว่ากระทำความผิดอาญา เมื่อพนักงานสอบสวนหรือพนักงานอัยการไม่เห็นสมควรให้ปล่อยชั่วคราว และเจ้าอาวาสแห่งวัดที่พระภิกษุรูปนั้นสังกัดไม่รับมอบตัวไว้ควบคุม หรือพนักงานสอบสวนไม่เห็นสมควรให้เจ้าอาวาสรับตัวไปควบคุม หรือพระภิกษุรูปนั้นมิได้สังกัดในวัดใดวัดหนึ่ง ให้พนักงานสอบสวนมีอำนาจจัดดำเนินการให้พระภิกษุรูปนั้นสละสมณเพศเสียได้
มาตรา 30 เมื่อจะต้องจำคุก กักขัง หรือขังพระภิกษุรูปใดตามคำพิพากษา หรือคำสั่งของศาลให้พนักงานเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจหน้าที่ปฏิบัติการให้เป็นไปตามคำพิพากษา หรือคำสั่งของศาลมีอำนาจดำเนินการให้ พระภิกษุรูปนั้นสละสมณเพศเสียได้ และให้รายงานให้ศาลทราบถึงการสละสมณเพศนั้น
พฤติการณ์ถึงขนาดศาลอาญาอนุมัติหมายจับคดีอาญาฐานสมคบกันฟอกเงิน ร่วมกันฟอกเงิน และรับของโจรนั้น เพียงพอที่จะดำเนินการในทางปกครองสงฆ์อย่างไรต่อไปหรือยัง
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 66 เหตุที่จะออกหมายจับได้ มีดังต่อไปนี้
“(1) เมื่อมีหลักฐานตามสมควรว่าบุคคลใดน่าจะได้กระทำความผิดอาญาซึ่งมีอัตราโทษจำคุกอย่างสูงเกินสามปี หรือ (2) เมื่อมีหลักฐานตามสมควรว่าบุคคลใดน่าจะได้กระทำความผิดอาญาและมีเหตุอันควรเชื่อว่าจะหลบหนี หรือจะไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน หรือก่อเหตุอันตรายประการอื่น...”
5) อันที่จริง เรื่องทางสงฆ์เดิมก็ยังไม่เคลียร์ คือกรณีตั้งแต่ปี 2542
เมื่อเร็วๆ นี้ ดีเอสไอส่งหนังสือถึงสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.)และมหาเถรสมาคม (มส.) เพื่อสอบถามถึงการปฏิบัติหน้าที่ของ พศ.และมส.ตามที่มีการร้องเรียนกรณีพระธัมมชโย เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ต้องอาบัติปาราชิก จากคดียักยอกเงินและที่ดิน ตามพระลิขิตสมเด็จพระสังฆราชนั้น ได้ดำเนินการอย่างไรแล้วบ้าง
ตามพระลิขิตกำหนดไว้ 2 ประเด็น ทั้งเรื่องอาบัติปาราชิก และเรื่องการคืนทรัพย์สิน
หนังสือจากดีเอสไอเป็นการแจ้ง พศ.ให้ดำเนินการและหากไม่ดำเนินการ พศ.ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ อาจมีความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่
หนังสือดังกล่าว ดีเอสไอระบุชัดเจนว่า พฤติการณ์ของพระไชยบูลย์ธัมมชโย เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย เมื่อครั้งปี 2542 ที่มีการเอาเงินวัดไปซื้อที่ดินใส่ชื่อตนเองและคนใกล้ชิด ถือว่าเป็นการกระทำที่ครบองค์ประกอบความผิดฐาน “เป็นเจ้าพนักงานผู้มีหน้าที่ทำ จัดการหรือรักษาทรัพย์ใด เบียดบังทรัพย์นั้นเป็นของตนเองหรือเป็นของผู้อื่นโดยทุจริต”และ “เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติและละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตและโดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด”ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 147 และ 157 แม้ในภายหลังจะนำทรัพย์ที่ได้ยักยอกไปแล้วมาคืนให้แก่วัดพระธรรมกายก็ตาม การกระทำดังกล่าวก็เป็นเพียงการพยายามบรรเทาผลร้ายแห่งความผิดที่ได้กระทำลงไป เพียงเหตุก็เพราะต้องยอมจำนนต่อพยานหลักฐานเท่านั้น
ดีเอสไอเห็นว่า ยังคงมีประเด็นที่มหาเถรสมาคมจะต้องพิจารณาดำเนินการต่อไปใน 2 กรณี คือ
1.การดำเนินการให้พระธัมมชโยต้องอาบัติปาราชิกตามพระลิขิตของสมเด็จพระสังฆราชที่มีมติของมหาเถรสมาคมรับรองให้ถือเป็นคำสั่งที่ชอบและจะต้องปฏิบัติตามให้ครบถ้วน และ 2.การพิจารณาความผิดและการดำเนินคดีกับเจ้าคณะผู้ปกครองสงฆ์ขั้นต้น ซึ่งมีหน้าที่รับผิดชอบดำเนินการตามข้อ 1
จนวันนี้ ยังเห็นธัมมชโยยังนุ่งห่มเหลืองอยู่ กระทั่งมาเกิดกรณีเงินสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน คลองจั่น
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี