ตลอดเวลาที่ผ่านมา สังคมไทยได้เรียกร้องกันอย่างมากเรื่องขอให้มีการปฏิรูปสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) องค์กรผู้พิทักษ์ราษฎร์ เพราะในภาพรวมแล้ว แนวคิด ทัศนคติ และพฤติกรรมตำรวจผู้มีหน้าที่ในการพิทักษ์ ปกป้อง และบริการรับใช้ประชาชนพลเมือง ได้สร้างความอึดอัด ไม่พึงพอใจแก่ประชาชน จนบางครั้งถึงขั้นทำให้รังเกียจ หวาดระแวง ดังที่
เราๆ ท่านๆ ได้ทราบ และประสบกันอยู่
ตำรวจดีๆ ทั้งในอดีตและปัจจุบัน เช่น พล.ต.อ.วสิษฐ เดชกุญชร และ พล.ต.อ.ประทิน สันติประภพ ผู้หลักผู้ใหญ่
ซึ่งเป็นที่เคารพนับถือในแวดวงตำรวจและสังคมไทยทั่วไป ก็ยังเรียกร้องผ่านสื่อเป็นระยะๆ เกี่ยวกับการปฏิรูป สตช.ให้เป็นองค์กรที่มีบุคลากรเป็นของประชาชน และเพื่อประชาชนอย่างแท้จริง โดยเน้นย้ำกำจัดระบบ นายถูกเลี้ยงดูด้วยลูกน้อง ด้วยระบบส่วย และการวิ่งเต้นซื้อขายตำแหน่งให้หมดไป สตช. จะได้ไม่เป็นที่สงสัย และปราศจากข้อครหานินทา ดูถูกจากสังคม
และหากตำรวจทำตัวใกล้ชิดประชาชน ปฏิบัติตนเที่ยงตรงก็จะอยู่ในหัวใจของประชาชน ซึ่งประชาชนจะได้อาศัยท่ามกลางสิ่งแวดล้อมที่ดี ก็จะชื่นชม เคารพนับถือ ผู้พิทักษ์กฎหมายเหล่านี้
อดีตสภาปฏิรูปแห่งชาติ(สปช.)ได้นำเรื่องการปฏิรูปสำนักงานตำรวจแห่งชาตินี้ มาพิจารณาในระดับหนึ่ง ต่อมาก็
ส่งเรื่องให้สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) รับไปดำเนินการต่อเพื่อให้การปฏิรูปเป็นชิ้นเป็นอัน จับต้องได้ ซึ่งในการนี้ สปท.โดยคณะกรรมาธิการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศด้านกฎหมาย และกระบวนการยุติธรรม บัดนี้ ได้จัดทำแผน ซึ่งสปท.ได้ให้ความเห็นชอบแล้ว โดยเรียกแผนนี้ว่า แผนการปฏิรูปกิจการตำรวจ มีหัวข้อย่อย 9 ประการ หรือ 9 เรื่อง คือ
-ระบบการสอบสวน (เรื่องของโรงพัก)
-ความเป็นอิสระในการบริหารงานตำรวจจากการแทรกแซงทางการเมือง(คณะกรรมการต่างๆ)
-การวางแผนมาตรฐานในการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการ
ตำรวจ
-การต่อโอนภารกิจให้หน่วยงานที่มีหน้าที่โดยตรงไปดำเนินการ(เช่น ตำรวจป่าไม้,ตำรวจรถไฟ)
-ระบบงบประมาณของตำรวจ
-การสร้างภาพมีส่วนร่วมของภาคประชาชนในกิจการของตำรวจ
-การจัดระบบนิติวิทยาศาสตร์
-การป้องกันการทุจริตคอร์รัปชั่น
-ระบบการสรรหาบุคคลเข้าราชการตำรวจ และระบบฝึกอบรม
ก็มีข้อสังเกตว่า แผนปฏิบัตินั้น ใช้คำว่า ปฏิรูปกิจการตำรวจ และมิได้ใช้คำว่า ปฏิรูปองค์กรตำรวจ ซึ่งตามเนื้อหาแล้ว ก็ไม่ใช่การปฏิรูปแบบที่คนไทยทั่วไปคาดหวังเอาไว้
ที่ใช้คำว่า ปฏิรูปกิจการคือในส่วนโครงสร้างองค์กร สายบังคับบัญชา ภารกิจ เป็นมาอย่างไร ก็ให้คงเดิมไว้ เปลี่ยนแปลงแค่วิธีทำงาน หรือการทำกิจการ กิจกรรมให้ดีขึ้นซึ่งตรงกับคำว่า “ปรับปรุง”จะตรงกว่า สิ่งเหล่านี้สะท้อนให้เห็นทิศทางการปฏิรูปครั้งนี้ ค่อนข้างออกในแนวทางตามความปรารถนาของฝ่ายตำรวจอนุรักษ์นิยม (ที่ประกอบด้วย ผู้เป็นผู้ใหญ่กองเชียร์ และผู้สนับสนุน) มากกว่าจะเป็นไปตามที่ผู้อยู่นอกวงการตำรวจอยากจะได้
การนำคำว่า ปฏิรูป มาใช้ จึงดูไม่ตรงกับวัตถุประสงค์ของประชาชนผู้ออกมาเรียกร้องกันทุกวี่ทุกวัน ให้มีการปฏิรูปองค์กรตำรวจอย่างจริงจัง
นอกจากนั้นก็มีแนวคิดที่ประกาศให้สาธารณชนรับทราบว่า การปฏิรูปตำรวจ และการดำเนินงานของตำรวจต่อไปนั้นมีความตั้งใจไว้ว่า ตำรวจจะลงมือทำกันเอง โดยไม่ยอมให้ฝ่ายการเมืองเข้ามา “แทรกแซง” ทั้งในวันนี้และในอนาคต ซึ่งฟังดู ก็ดูกระไรอยู่
ประการแรก โดยปกติ เมื่ออาสามาเป็นตำรวจ ก็ต้องมีความเข้มแข็งในจิตใจ ตั้งมั่นอยู่กับความถูกต้อง และไม่โอนอ่อนต่ออำนาจมืดใดๆ แม้จะเป็นอำนาจทางการเมืองก็ตาม
ประการที่สอง ในเมื่อตำรวจเป็นผู้รักษากฎหมาย ย่อมต้องปฏิบัติตามกฎหมายอยู่แล้ว ซึ่งแต่ละช่วงจะมุ่งเน้นสิ่งใดเป็นพิเศษ ก็ต้องเป็นไปตามนโยบายด้วย ทำให้ฝ่ายการเมืองในฐานะผู้บังคับบัญชาก็ต้องลงมาเกี่ยวข้องไม่มากก็น้อย
ประการที่สาม หากปล่อยตำรวจว่ากันเอง ดูแลกันเอง ใครก็เข้าไปเกี่ยวไม่ได้ แปลว่า ได้แยกอำนาจตำรวจออกเป็น
เอกเทศจากอำนาจบริหาร นิติบัญญัติ และตุลาการ ไม่มีใครตรวจสอบได้ แล้วจะเชื่อได้อย่างไรว่า จะไม่มีการแทรกแซงเล่นพรรค เล่นพวกกันเอง แล้วหากตำรวจทำความเสียหายขึ้น ผู้เสียหายจะไปเรียกร้องเอากับใคร
ประการที่สี่ ภาคประชาชน และภาคประชาสังคมสามารถจะเข้ามาถ่วงดุลอำนาจตำรวจ โดยประชาชนต้องสามารถตรวจสอบได้ทุกเมื่อ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการบริหารราชการ และการบริหารบุคลากร เป็นสิทธิของประชาชน มิใช่การจะมอบสิทธิ์ให้โดยฝ่ายตำรวจ
หากมุ่งปรับปรุงแทนการปฏิรูปและจะปรับปรุงด้วยฝีมือตำรวจกันเอง การปฏิรูปครั้งนี้ก็จะเสมือนเป็นการปฏิรูปปลอมๆ เพราะไม่ได้ไปแก้ปัญหาที่ประชาชนพบเจอและประชาชนต้องการ ยิ่งถ้าเสียงส่วนใหญ่ของ สปท. ยังจะเอาด้วยกับข้อเสนอเหล่านี้ ประชาชนก็จะรู้สึกติดลบ และพูดกันได้ว่า สปท. นั้นไม่มีความชอบธรรม เนื่องจากไม่ได้มุ่งทำการเพื่อประโยชน์ส่วนรวม และในที่สุดก็จะกระทบต่อความเชื่อมั่นต่อ ฝ่ายทหาร และ คสช. ซึ่งเป็นผู้แต่งตั้ง สปท.มากับมืออีกด้วย
และหากเวที สปท. ยังไม่สามารถปฏิรูปสำนักงานตำรวจแห่งชาติในครั้งนี้ได้ ภาระนี้ก็ต้องกลับมาตกอยู่ที่ภาคประชาชน และภาคการเมือง ที่ต่างเห็นตรงกันว่า การปฏิรูปสำนักงานตำรวจแห่งชาติ คือ การเก็บงาน เช่น สืบสวน สอบสวน งานข่าวกรอง งานจับกุม งานปราบปรามการก่อการร้ายและอาชญากรรมข้ามชาติ ไว้ที่ส่วนกลาง และปรับองค์กรให้เล็กลง แต่กระชับ และสามารถขับเคลื่อนได้อย่างมืออาชีพ
ส่วนงานนิติเวชศาสตร์ ก็ควรเป็นงานอิสระแยกออกไป อยู่ในอาณัติของกระทรวงยุติธรรม และปล่อยให้งานทุกข์สุขของประชาชนอยู่ที่โรงพัก ซึ่งสุดท้ายแล้วก็ควรจะต้องไปขึ้นกับฝ่ายปกครองท้องถิ่น (ภายใต้ผู้ว่าราชการจังหวัด ที่ในอนาคตจะมาจากการเลือกตั้ง)
งานตำรวจชายแดนก็เป็นส่วนหนึ่งของทบวงชายแดนร่วมกับศุลกากร และตรวจคนเข้าเมืองก็ได้ โดยเป็นทบวงในกรอบของกระทรวงกลาโหม
งานตำรวจของกระทรวงต่างๆ ก็ให้ไปขึ้นกับกระทรวงนั้นๆ ทำในเรื่องเฉพาะทาง
ก็แน่นอนการทำงานเมื่อแยกกันออกไป และงานบางชิ้นคาบเกี่ยวกัน ก็ต้องมีระบบประสานลดความซ้ำซ้อน (Clearing House) ซึ่งก็อาจทำในกรอบของคณะกรรมการความมั่นคงภายในก็ได้
การปฏิรูปในรูปแบบนี้ อยู่บนพื้นฐานของแนวคิดว่าด้วย การกระจายอำนาจ ที่คู่ขนานไปกับการเสริมสร้างทักษะและความเป็นมืออาชีพให้กับองค์กรตำรวจ
โรงเรียนนายร้อยตำรวจ ก็ต้องเปลี่ยนแปลงทิศทาง คือไม่สร้างตำรวจออกมาเป็นนายทหารหาญ หากแต่เป็นตำรวจที่ติดดินสามารถคลุกคลีกับประชาชน และต้องมีหลักสูตรการเรียนสอนทั้งหลักสูตรยาว สั้น และเฉพาะทาง ซึ่งจะทำให้โรงเรียนสร้าง
“มืออาชีพ” อย่างแท้จริง
การปฏิรูปใด ที่ปล่อยให้แต่คนในไปดำเนินการการปฏิรูปจริงๆ ก็มักจะไม่เกิดขึ้น ฉะนั้นการให้หลายๆ ฝ่ายได้เข้ามาร่วมคิด ร่วมทำ จึงจะมีโอกาสที่จะได้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้น สอดคล้องกับคำว่า การปฏิรูป
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี