ต่อภัสสร์: เมื่อหลายสัปดาห์ก่อน เราเคยนำเสนอเรื่องความโปร่งใสกับการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีข้อมูลภาครัฐแบบเปิด (Open Government Data) ว่า ต่อไปเราจะสามารถนำข้อมูลภาครัฐมาใช้ต่อต้านคอร์รัปชันได้อย่างมีประสิทธิผล ในครั้งนั้นสำนักงานรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (EGA) และศูนย์เทคโนโลยีเพื่อนวัตกรรมสังคม (Social Technology Institute)ได้จัดประชุมกลุ่มย่อยระดมความคิดเห็นเรื่องนี้ เพื่อค้นหาว่า จะสามารถใช้ข้อมูลใดเพื่อสนับสนุนงานด้านต่อต้านคอร์รัปชันได้บ้าง
ผลสรุปจากการสัมมนาครั้งนั้นน่าสนใจมาก ข้อมูลบางอย่างที่เรานึกไม่ถึงว่า จะเป็นประโยชน์หรือคิดว่าถึงเปิดเผยไป ก็คงเยอะมากจนไม่มีใครสนใจ เช่น รายงานการประชุมต่างๆ ของหน่วยงานรัฐ หรือสถิติใช้งานของหลวงต่างๆ จากกองงานพัสดุแต่ละหน่วยงาน กลับมีบางหน่วยงานที่คิดว่า จะเป็นประโยชน์มาก และเสนอแนวทางกรองข้อมูลเพื่อแสดงผลเฉพาะข้อมูลที่ชี้ไปสู่พฤติกรรมสุ่มเสี่ยงต่อการคอร์รัปชันได้ อย่างไรก็ตาม ผลที่ได้รับจากการสัมมนาในครั้งนั้น เป็นเพียงแค่แนวความคิดว่าข้อมูลใดบ้างที่น่าจะเป็นประโยชน์ แต่ยังไม่ได้ทดลองกับข้อมูลจริง
เมื่อวันเสาร์-อาทิตย์ที่ผ่านมา สองหน่วยงานเดิมนี้จึงจัดงานนักข่าว-นักค้นข้อมูล (Data Journalist) โดยเชิญนักข่าวจากสำนักข่าวต่างๆ นักวิเคราะห์ข้อมูล (data scientist) และนักพัฒนาโปรแกรม (developer) มาร่วมกันค้นข้อมูลที่ภาครัฐนำมาเปิดเผยตามที่ได้ระดมความคิดกันมาจากงานก่อน แล้วหาจุดที่มีความผิดปกติ หรือ ชี้ไปสู่ความสุ่มเสี่ยงต่อการคอร์รัปชัน เพื่อนำมาสืบสวนต่อไป
บทความตอนนี้เราได้เชิญคุณสุภอรรถ โบสุวรรณ จาก แฮนด์ วิสาหกิจเพื่อสังคม (HAND Social Enterprise) ที่ปรึกษาด้านธรรมาภิบาล ที่เข้าร่วมกิจกรรมนี้ มาเล่าให้ฟังว่ามีตัวอย่างข้อมูลอะไรบ้างที่ถูกหยิบยกขึ้นมาสืบสวนกัน
สุภอรรถ: สวัสดีครับ ก่อนอื่นขอขอบคุณผู้จัดงานที่เชิญ HAND เข้าร่วมกิจกรรมที่มีประโยชน์โดยการนำเอา
เทคโนโลยีและวิชาการสมัยใหม่มาวิเคราะห์ เพื่อเพิ่มความโปร่งใสให้กับบ้านเมืองเรา ในการทำกิจกรรมตลอดสองวันตั้งแต่เช้าถึงเย็นนั้น แต่ละกลุ่มที่เข้าร่วมได้เสนอแนวคิดขั้นต้นที่จะนำเอาชุดข้อมูลมาวิเคราะห์ใช้ประโยชน์ในเรื่องต่างๆ ดังนี้คือ
เรื่องแรก งบของกองทุนคนพิการ ที่ได้รับจากบริษัทเอกชนที่ไม่ได้จ้างคนพิการเข้าทำงานนั้น ถูกนำไปใช้โครงการอะไรแล้วบ้าง และโครงการต่อๆไปมีอะไรบ้าง มีเกณฑ์พิจารณาโครงการอย่างไร สภาพและจำนวนเงินกองทุนมีอยู่เท่าไหร่ และที่ผ่านมาใช้ไปต่อปีเป็นจำนวนเท่าไหร่ ซึ่งต่อไปอาจจะทำในรูปแบบเว็บไซต์แสดงข้อมูลที่ง่ายต่อการเข้าใจ เพื่อให้ผู้สนใจทราบความเคลื่อนไหวของกองทุนนี้ เรื่องที่สอง น้ำมัน (ทหารบก) ไปไหน ใช้ชุดข้อมูลจากเว็บไซต์ภาษีไปไหน (govspending.data.go.th) มาวิเคราะห์ ซึ่งการวิเคราะห์นี้ ให้สมบูรณ์ ต้องมีการเทียบวิเคราะห์ชุดข้อมูลกับราคาน้ำมันตลาดโลกและในประเทศต่างๆ ด้วย โดยไม่ตั้งธงไว้ก่อนว่ามีการโกงเกิดขึ้นแล้ว
เรื่องที่สาม งบ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ใช้ข้อมูลการใช้งบประมาณทางการทหารมาวิเคราะห์ความสัมพันธ์กับการ
เกิดเหตุการณ์ความไม่สงบและจำนวนผู้เสียชีวิตในพื้นที่ เพื่อศึกษาเปรียบเทียบกับงบประมาณการพัฒนาคุณภาพชีวิตพี่น้อง 3 จังหวัดในด้านอื่นๆ เช่น งบประมาณสาธารณสุข อย่างไรก็ตาม ชุดข้อมูลที่นำมาแสดงนี้ต้องศึกษาลึกลงไปอีกในรายละเอียด เพราะงบประมาณทางทหารที่ใช้ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้นั้น ไม่ได้นำไปฝึกทหารหรือ ซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์อย่างเดียว ยังมีงบที่ทหารนำไปช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิตพี่น้อง 3 จังหวัดผ่านโครงการสร้างอาชีพมากมาย และจำนวนเหตุการณ์ความไม่สงบนั้น ก็อาจไม่สะท้อนสถานการณ์ความรุนแรงจริงในพื้นที่ด้วย
เรื่องที่สี่ โควตาสลากกินแบ่งรัฐบาล ที่นำชุดข้อมูลว่า ใครได้โควตาสลากฯเท่าไหร่มาวิเคราะห์ พบการกระจุกตัวของผู้ที่ได้โควตาว่าบางรายได้รับโควตาสูงกว่าจำนวนเฉลี่ยมาก และผู้ที่ได้โควตานั้นมักเป็นรายเดิมๆ เรื่องที่ห้า งบขุดลอกคลอง พบว่ามีการจ้างงานต่อเป็นช่วงๆ หรือกินหัวคิว ผ่านงบเช่าอุปกรณ์ และการจ้างงานหน่วยงานที่ไม่มีความพร้อมรับงาน แต่ข้อมูลที่นำไปสู่การค้นพบนี้ส่วนใหญ่เป็นหลักฐานเชิงประจักษ์ จึงจำเป็นต้องตรวจสอบความถูกต้องด้วยข้อมูลเอกสารสัญญาต่อไป
ต่อตระกูล: ประเด็นที่ถูกหยิบยกขึ้นมาทั้ง 5 ประเด็นนี้ ล้วนน่าสนใจ และสมควรได้รับการสืบสวนต่อไปนะ อย่างไรก็ตาม ประเด็นหนึ่งที่ควรระมัดระวังคือ การตีความข้อมูลอย่างรอบคอบและเป็นธรรม ในบางกรณีหากนักข่าวตั้งธงไว้ก่อนแล้วว่า โครงการนี้โกงแน่นอน หรือโครงการนั้นโปร่งใสแน่นอน ใจก็จะเอนเอียงเลือกใช้ข้อมูลเฉพาะแต่บางชุดข้อมูลที่จะชี้นำไปสู่ธงที่ตั้งไว้ ทำให้ความจริงถูกบิดเบือนได้ แต่อย่างไรก็ตาม นักข่าวก็ควรจะมีการสรุปประเด็นจากข้อมูลที่ค้นคว้ามาไว้บ้าง ถ้าแค่แสดงผลข้อมูลหยาบๆ ผู้อ่านก็อาจจะไม่เข้าใจ
ต่อภัสสร์: ประเด็นนี้ คุณประสงค์ เลิศรัตนวิสุทธิ์ ผู้อำนวยการสถาบันอิศรา ซึ่งมาเป็นกรรมการและผู้วิจารณ์การนำเสนอในงานดังกล่าว ได้ให้ความเห็นไว้ ซึ่งผมสรุปคร่าวๆ ได้ว่า การนำเสนอข้อมูลที่ภาครัฐนำมาเปิดเผยแบบนี้ อาจทำได้ 2 ลักษณะ ขึ้นอยู่กับการตั้งโจทย์ความต้องการตั้งแต่เริ่มต้น ลักษณะแรกคือ การชี้นำตามข้อมูลที่สืบสวนมา ซึ่งการนำเสนอในรูปแบบนี้จะต้องมีความรอบคอบอย่างมาก ค้นคว้าข้อมูลในทุกแง่มุม มีความชัดเจนและความละเอียดสูง จึงจะสามารถสรุปได้ว่า น่าจะมีความเกี่ยวพันกับการคอร์รัปชันหรือไม่ ทำให้มีผลกระทบต่อสังคมมาก
อีกลักษณะหนึ่ง คือการเป็นสื่อกลางให้ความรู้ทั่วไปและนำข้อมูลที่เกี่ยวข้องมาเปิดเผย เพื่อให้ผู้อ่านนำไปศึกษาต่อเอง ทำให้การตีความอาจแตกต่างกันออกไป การนำเสนอแบบนี้ก็จะสามารถสร้างสังคมที่มีการถกเถียงกันบนพื้นฐานของข้อมูลได้ ทั้งนี้ ความเหมาะสมของการนำเสนอรูปแบบใดก็ขึ้นอยู่กับลักษณะของข้อมูลและความครอบคลุมของข้อมูลที่ได้มาด้วย บางทีข้อมูลที่มีปริมาณมหาศาลก็อาจเหมาะที่จะนำมาเปิดเผยเพื่อให้ประชาชนทั่วไปช่วยกันติดตาม หรือหากสามารถนำมาย่อยวิเคราะห์ได้แล้วผลออกมาชัดเจน ก็อาจสรุปผลชี้นำก็ได้
ต่อตระกูล: ดีครับ ผมก็หวังจะเห็นความโปร่งใสของข้อมูลภาครัฐอย่างแท้จริง เพื่อให้คนในสังคมไทยสามารถตัดสินใจ และ ถกเถียงกันได้บนพื้นฐานของข้อมูลที่ถูกต้อง และอยากเห็นนักข่าวสรุปข่าวอย่างเป็นกลางด้วยโดยไม่บิดเบือนข้อมูล เพราะหากเป็นได้จริงอย่างนี้แล้ว คอร์รัปชันที่เปรียบเหมือนเชื้อโรคที่ชอบอยู่ในความมืด ก็จะอยู่ไม่ได้อีกต่อไป เพราะถูกแสงสว่างที่ผ่านความโปร่งใสมาส่องให้สว่างไสว ผู้คนจำนวนมากได้มองเห็นข้อเท็จจริงที่มีอยู่ ใครทำดีก็มีคนเห็นและชื่นชม ก็จะมีกำลังใจที่จะทำงานโดยสุจริตโปร่งใส ต่อไป
งานชุมนุมนักข่าว-นักค้นข้อมูล (Data Journalist) ในครั้งนี้จึงเป็นการจุดประกายครั้งแรกและครั้งสำคัญมากต่อการพัฒนางานข่าวเชิงสืบสวนสอบสวนที่ดี ซึ่งจะเป็นเครื่องมือสำคัญเครื่องมือหนึ่งในการต่อต้านและป้องกันคอร์รัปชันครับ
รศ.ดร.ต่อตระกูล ยมนาค และดร.ต่อภัสสร์ ยมนาค
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี