ออสเตรเลียเป็นหนึ่งในประเทศเครือจักรภพ (The Commonwealth) โดยมีสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 แห่งสหราชอาณาจักร เป็นองค์ประมุข มีการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตยด้วยระบบรัฐสภา ที่พรรคการเมืองและการแข่งขันระหว่างพรรคการเมือง เป็นกลไกหลักของการขับเคลื่อนและบริหารราชการประเทศ
สังคมออสเตรเลียเป็นสังคมประชาธิปไตยมาช้านาน มีความก้าวหน้าในเรื่องประชาธิปไตยแบบเสรีนิยมมาตลอด คำนึงถึงเรื่องสิทธิเสรีภาพ การมีส่วนร่วมและกระทำการใดที่โปร่งใส ตรวจสอบได้ ประชาชนพลเมืองจึงเติบโตมาเป็นผู้รู้เรื่องการเมือง และพร้อมที่จะมีส่วนร่วมในวิถีทางการเมืองในฐานะเจ้าของประเทศ เจ้าของอำนาจรัฐอย่างจริงจังแข็งขัน ดังที่เป็นที่ประจักษ์กันทั่วไป
แต่การที่จะสร้างพลเมืองให้พร้อมในการมีส่วนร่วมทางการเมือง จะพึ่งเพียงวิธีการให้รับรู้ผ่านสื่อ ผ่านเวทีเสวนาอย่างเดียว(ซึ่งก็เป็นหนึ่งในกรรมวิธีที่จำเป็น) ยังไม่เพียงพอ เพราะประชาชนพลเมืองจำเป็นต้องเรียนรู้ตั้งแต่เยาว์วัย ฉะนั้นในโรงเรียนทั้งระดับประถมและมัธยมของออสเตรเลีย จึงบรรจุหลักสูตรว่าด้วย ความเป็นพลเมือง (Civic Education)ให้นักเรียนทุกคนได้ศึกษา ซึ่งการที่ออสเตรเลียมีการศึกษาเพื่อปลูกฝังและเสริมสร้างความเป็นพลเมือง เป็นวิชาเล่าเรียนต่างหากเฉพาะ ถือเป็นการแสดงความมุ่งมั่นที่จะเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจให้พลเมืองอย่างแท้จริง จึงไม่นำเอาความรู้เรื่องหน้าที่พลเมืองไปแทรกไว้เป็นเพียงหัวข้อย่อยภายใต้วิชาหนึ่งใด โดยวิชาความเป็นพลเมืองนี้ นักเรียนจะต้องเรียนทุกสาย ไม่ว่านักเรียนสายสังคมศาสตร์หรือสายวิทยาศาสตร์ เพราะเขาถือว่า การบ้านการเมืองนั้น เป็นเรื่องที่ต้องรู้ เข้าใจ และนำไปปฏิบัติได้กับทุกคน ในฐานะพลเมืองประชาธิปไตย
การเรียนวิชาพลเมืองนี้ ออสเตรเลียให้เริ่มเรียนตั้งแต่ชั้นประถมปีที่ 3 เมื่อเด็กอายุ 8-9 ปี ถึงชั้น (มัธยม) ปีที่ 10 (เมื่อเด็กอายุประมาณ 15–16 ปี) ส่วนเด็กปีที่ 11 และ 12 จะไม่มีการเรียนวิชาพลเมืองแล้ว แต่เพิ่มระดับการเรียนรู้ไปเป็นการมอบหมาย การจัดทำโครงการวิชาประชาธิปไตยแทน เนื่องจากเวลาหลักๆ จะถูกอุทิศให้กับการเตรียมตัวเข้ามหาวิทยาลัย
การเรียนวิชาพลเมืองก็เป็นลักษณะค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป คือ ค่อยๆ ป้อนความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับความเป็นพลเมืองในสังคมประชาธิปไตย แบบที่ว่า ขั้นตอนให้เหมาะสมกับระดับอายุ จากเรื่องประชาธิปไตยรอบๆ ตัว ไปจนถึงการเปรียบเทียบระบบการเมืองการปกครองของออสเตรเลียกับประเทศอื่นๆ ทั่วโลก
เป็นที่สังเกตว่า หลักสูตรว่าด้วยวิชาการสร้างพลเมืองของออสเตรเลียนี้ เริ่มที่ชั้นประถมปีที่ 3 (เมื่อเด็กอายุประมาณ 9 ปี) ก็มีคำถามว่า ทำไมถึงไม่เริ่มให้การศึกษากับเด็กอนุบาล และเด็กเล็กอายุต่ำกว่า 8 ปี ซึ่ง ดร.เดวิด ซินเกียร์ ผู้เชี่ยวชาญการเมืองและพลเมืองศึกษาแห่งมหาวิทยาลัยโมนาช (Dr. David Zyngier-Monash University)ที่ให้เกียรติมาบรรยายให้คณะอนุกรรมาธิการส่งเสริมวัฒนธรรมการเมือง คณะกรรมาธิการขับเคลื่อนการปฏิรูปการเมือง สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) ได้ฟัง เมื่อวันพุธ 22 มิถุนายนนี้ (โดยการอนุเคราะห์ของสถานทูตออสเตรเลีย) ให้คำตอบว่า หากจะให้มีวิชานี้กับเด็กอนุบาล และเด็กประถมปีที่ 1 และ 2 ก็ดูจะหนักหน่วงสำหรับเด็กเกินไป จึงไม่มีการเรียนการสอนเป็นการเฉพาะ แต่มีการขัดเกลา บ่มเพาะ ปลูกฝัง ด้วยการสอน ฝึกหัด ร่วมทำกิจกรรมต่างๆ แทรกไปในการเรียน เช่น หัดปลูกฝังให้เด็กๆ นั่งนิ่งๆ ให้นั่งให้เป็นที่เป็นทางทุกครั้ง ให้ยกมือเพื่อขออนุญาต หรือถามคำถาม ให้หัดตั้งใจฟัง ไม่ร้อนรน ไม่สอดแทรกหรือแย่งคนอื่นพูด และให้พูดจาแบบนุ่มนวล เบาๆ ตั้งสติอยู่ในความสำรวม ให้รู้จักการร่วมทำงาน และรู้จักค่านิยมที่ดี คือ ไม่ละเมิดผู้อื่น และให้คิดถึงส่วนรวม
นอกจากนั้น การรณรงค์ใดๆ ของออสเตรเลีย ที่มีวัตถุประสงค์ในการสร้างสังคมที่ดี ที่ปลอดภัย หรือส่งเสริมสุขภาพ เขามักจะเริ่มที่เด็ก เช่น รณรงค์ให้ใช้เข็มขัดนิรภัยรถยนต์ (ออสเตรเลียเป็นประเทศแรกที่เริ่มและประสบความสำเร็จ) การงดสูบบุหรี่การทายาป้องกันแสงแดดเพื่อป้องกันโรคมะเร็งทางผิวหนัง เป็นต้นการรณรงค์นี้มีนัยของการส่งเสริมความเป็นพลเมืองที่ห่วงใย เอาใจใส่สังคม สะท้อนว่าผู้ใดก็สามารถมีบทบาทต่อสังคมได้ เท่ากับสอดแทรก เสริมสร้าง กล่อมเกลา การเป็นพลเมืองในระบอบประชาธิปไตย ทั้งหมดนี้แสดงให้เห็นว่า ออสเตรเลียปลูกฝังให้โตเป็นผู้ใหญ่ที่รู้และรับผิดชอบตั้งแต่เยาว์วัย ที่สำคัญเมื่อเด็กรู้ว่าไม่ควรสูบบุหรี่หรือต้องรัดเข็มขัดนิรภัยแล้ว ก็จะไปบอกและเตือนพ่อแม่ให้ปฏิบัติให้ถูกต้อง
ครูบาอาจารย์ก็ต้องเสริมสร้างให้เด็กเป็นพลเมืองที่ดี ด้วยการสั่งสอน กล่อมเกลาแนะนำให้เด็กทำตัวให้ดี เพื่อให้เป็นประโยชน์ต่อสภาพแวดล้อมรอบๆ ตัว ครูก็ต้องรู้กับวิธีการสอนและปลูกฝัง ซึ่งบรรดาคุณครูก็จำต้องผ่านการฝึกอบรม ส่วนครูวิชาพลเมืองตั้งแต่ชั้นประถมปีที่ 3 ถึงชั้นประถมปีที่ 10 นั้น ก็แน่นอนต้องมีความรู้ และต้องผ่านการฝึกอบรมเป็นธรรมดา
ทั้งหมดนี้ เมื่อได้ฟังจาก ดร.เดวิด ไปแล้ว ผู้ฟังต่างก็ได้ข้อคิดข้อมูลที่จะได้นำไปประกอบการพิจารณายกร่างหลักสูตรต่างๆ กันต่อไป
และเป้าหมายที่นำมาเล่ากันฟังนี้ มิใช่เพียงให้ได้รู้เรื่องกันเท่านั้น แต่อยากให้เห็นความสำคัญ และช่วยกันผลักดันให้มีการเรียนและการรณรงค์ส่งเสริมความเป็นพลเมืองให้กับเยาวชน นักเรียน นักศึกษา รวมทั้งการพูดคุย สั่งสอนกันที่บ้าน เพื่อจะให้เยาวชนโตขึ้นมาเป็นกำลังสำคัญในการช่วยกันขับเคลื่อนความเข้มแข็งของสังคมประชาธิปไตยและก้าวหน้าด้วย เมื่อประชาชนไทยส่วนใหญ่รู้เรื่องการเมือง การปฏิรูปการเมืองไทยก็คงจะมั่นคงและยั่งยืนอย่างแท้จริง
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี