เมื่อ 28 มิ.ย.ที่ผ่านมา ศาลอาญาอ่านคำพิพากษาศาลฎีกา คดีฉ้อโกงที่เป็นข่าวอื้อฉาวเมื่อหลายปีก่อน โดยมีการอ้างความเชื่อว่าเป็นคู่ครองข้ามภพข้ามชาตินำมาใช้แสวงหาผลประโยชน์จากฝ่ายชายที่เป็นหมอ
คดีหมายเลขดำ ที่ อ.4543/2550 น.ส.เปมิกา อดีตเพื่อนสาวคนสนิท นพ.ประกิตเผ่า เป็นจำเลยกับพวก
เหตุเกิดตั้งแต่ปี 2550 นพ.ประกิตเผ่ามีความผิดปกติทางด้านภาวะจิตใจได้หลงเชื่อการสร้างสถานการณ์ของเปมิกาและพวก ทำให้เข้าใจว่าตัวเองสามารถนั่งสมาธิจนสำเร็จฌานขั้นสูง ระลึกชาติถอดจิตได้
หลอกลวงว่าเปมิกาและหมอประกิตเผ่าเคยเป็นสามีภรรยากันมาก่อน 99 ภพชาติที่ผ่านมา
มีหนี้กรรมต้องชดใช้ในชาตินี้
หลอกลวงให้หมอมอบทรัพย์สินให้เปมิกาหลายรายการ มูลค่ารวมหลายล้านบาท
ทั้งบ้าน รถยนต์ ป้ายทะเบียนเลขสวย นาฬิกายี่ห้อโรเล็กซ์ เงินสด ฯลฯ
ศาลฎีกาพิจารณาว่า นพ.ประกิตเผ่า ผู้เสียหาย ถูกเปมิกากับพวกหลอกลวงให้มอบทรัพย์หลายรายการ โดยอ้างเรื่องการระลึกชาติ เป็นการฉ้อโกงโดยอาศัยความอ่อนแอทางจิตใจของผู้เสียหาย การกระทำของเปมิกา จำเลยที่ 1 เป็นความผิดฐานฉ้อโกง โดยอาศัยความอ่อนแอทางจิต ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 342 (2) ประกอบมาตรา 80 พิพากษาลงโทษจำคุก 4 ปี 6 เดือนไม่รอลงอาญา ส่วนจำเลยที่ 2-4 มีความผิดฐานสนับสนุนฉ้อโกง จำคุก 3 ปีรอลงอาญา และให้จำเลยที่ 1-4 ร่วมกันชดใช้เงินคืนแก่ผู้เสียหาย จำนวน 8,165,387 บาท
น.ส.เปมิกา จำเลยที่ 1 หลบหนี ไม่มาฟังคำพิพากษา ศาลออกหมายจับ
1) ชาตินี้ เปมิกาหนีคดีไปแล้ว ไม่รู้ว่าจะต้องรับกรรมชาติไหน
เวรกรรมมีจริง เชื่อว่า หนีคดีได้ แต่คงหนีกรรมไม่พ้น
2) เวลานี้ มีกรณีใช้ความเชื่อความศรัทธา อวดอ้างญาณวิเศษ สามารถนั่งสมาธิ เดินทางข้ามภพข้ามชาติ
ข้ามเทวโลก ไปนรก ไปสวรรค์
ติดตามดูวิญญาณผู้ที่ตายไปแล้วว่าอยู่สวรรค์ชั้นไหน นำมาเล่าให้ญาติที่ยังไม่เสียชีวิต แล้วกระตุ้นให้ทำบุญ บริจาคเงินแก่วัด อ้างว่าผลบุญนั้นจะช่วยให้วิญญาณผู้ตายได้เลื่อนไปอยู่ในสวรรค์ชั้นไฮโซกว่าเดิมได้
3) วันเดียวกับที่ศาลอ่านคำพิพากษาคดีเปมิกา ปรากฏว่า นายไพบูลย์ นิติตะวัน และ นพ.มโน เลาหวณิช ไปยื่นหลักฐานเพิ่มเติมประกอบคำฟ้องกล่าวหาพระธัมมชโย ว่ากระทำการอวดอุตริมนุสธรรมละเมิดพระธรรมวินัยอันเป็นครุกาบัติ ต่อพระราชวิสุทธิเวที เจ้าคณะภาค 1 และต่อสมเด็จพระพุทธชินวงศ์ เจ้าคณะใหญ่หนกลางด้วย
หลักฐานที่ยื่นเพิ่มเติม ได้แก่
1. Flash Drive บันทึกหลักฐานกรณีอวดอุตริมนุสธรรมตามข้อกล่าวหากรณีอวดว่า มีคุณวิเศษพบวิญญาณนายชาติชาย โรจน์กิรติกานต์ ในสวรรค์โดยอยู่ในชั้นดาวดึงส์ เฟส 3 ซึ่งปรากฏว่า จริงๆ แล้ว เขายังไม่ได้ตาย และการอวดว่าใช้ญาณตรวจสอบภพภูมิ “สตีฟ จ็อบส์”
2.สำเนาอี-เมล์ทางวัดพระธรรมกายส่งสรุปการออกอากาศ DMC ตอนที่ 101 ซึ่งออกอากาศเป็นเคสนายชาติชาย ได้ไปอยู่บนสวรรค์ให้กับทางญาติทราบ ทั้งๆ ที่เขายังไม่ได้ตายจริงๆ
และ 3.สรุปความคิดเห็นว่าพระธัมมชโยได้กระทำการอวดอุตริมนุสธรรม ครบองค์อาบัติ 5 ประการ เช่น
“อวดว่าตนมีคุณวิเศษสามารถตรวจสอบภพภูมิเห็นวิญญาณของผู้เสียชีวิตไปแล้ว อวดว่ามีคุณวิเศษใช้ญาณตรวจสอบภพภูมิเห็นวิญญาณไปอยู่บนสวรรค์มุ่งหวังให้อุบาสกอุบาสิกาฟังเพื่อเกิดความเลื่อมใสศรัทธาจนยอมบริจาคทรัพย์สินให้กับพระธัมมชโย...” เป็นต้น
นายไพบูลย์กล่าวว่า เมื่อเข้าข่ายทั้ง 5 ข้อแล้ว จึงเห็นว่า พระธัมมชโยกระทำการอวดอุตริมนุสธรรม อาบัติปาราชิก จึงขอให้เจ้าคณะภาค 1 ดำเนินการไต่สวน ตามกฎมหาเถรสมาคมฉบับที่ 11 ว่าด้วยการลงนิคหกรรม และนำส่งรายงานต่อมหาเถรสมาคม เพื่อพิจารณาดำเนินการตามกฎมหาเถรสมาคมฉบับที่ 21 เพื่อให้พระธัมมชโยพ้นจากการเป็นสมณเพศต่อไป
4) น่าแปลกใจ ภายหลังจากพระธัมมชโยถูกยื่นตรวจสอบ
โทรทัศน์ช่องธรรมกาย เฟซบุ๊คกองหนุน สาวกธัมมชโย พยายามตะแบงว่า กรณีพระธัมมชโยเล่าถึงการใช้วิชาธรรมกายไปตามดูผู้เสียชีวิต ว่าอยู่นรกหรือสวรรค์ชั้นไหน? รวมถึงทำบุญกับพระเดชพระคุณหลวงพ่อแล้วจะช่วยให้วิญญาณผู้ตายได้เลื่อนขึ้นไปอยู่สวรรค์ชั้นไฮโซขึ้นอย่างไรนั้น? เป็นแค่นิทานปรัมปรา
อ้างว่า พระธัมมชโย หรือคุณครูไม่ใหญ่ ได้พูดเกริ่นไว้ตั้งแต่ต้นรายการฝันในฝันแล้ว
ด้วยคำกล่าวทำนองว่า นอนหลับ ฝันไป ตื่นขึ้นมา หาวหนึ่งที นำมาเล่าเป็นตุเป็นตะ เป็นนิทาน...
คำแก้ตัวเช่นนี้ น่าขบขันมาก
เมื่อพูดไปแล้ว ถ่ายทอดออกทีวี เผยแพร่ทั่วไป คนหลงเชื่อว่ามีคุณวิเศษจริง ควักเงินบริจาคให้จริง ได้รับลาภสักการะจริง ไม่เคยปฏิเสธว่าตนไม่มีคุณวิเศษ แถมมีการพูดหลายครั้งหลายหน ต่างกรรมต่างวาระ
ทำเป็นเนืองนิตย์
ไม่ใช่พูดแค่ในรายการฝันในฝัน
แม้แต่ในการเทศนาในงานบุญใหญ่ๆ ก็พูดสมอ้างในลักษณะเดียวกัน
เรียกว่า พูดจริง รับเงินจริง
แต่พอถูกตรวจสอบ กลับจะอ้างว่าพูดเป็นนิทานเท่านั้น ได้อย่างไร?
ยิ่งกว่านั้น กรณีอวดอ้างว่าเห็นวิญญาณนายชาติชาย โรจน์กีรติกานต์ไปอยู่ในสวรรค์ แล้วฝากบอกญาติให้ทำบุญกับวัดพระธรรมกายด้วย ทั้งๆ ที่ความจริง เขายังไม่ตายนั้น ปรากฏว่า ทางวัดได้ยืนยันเรื่องดังกล่าวกับนายสมคะเนหลานชายของนายชาติชายอย่างจริงจังด้วย โดยหวังให้หลานชายเขาทำบุญบริจาคเข้าวัดจริงๆ
แล้วจะอ้างว่าพูดเป็นนิทานเท่านั้นได้อย่างไร?
5) ความจริงปรากฏเป็นที่ประจักษ์ชัดว่า การอวดอ้างคุณวิเศษของพระธัมมชโยนั้น ถูกนำไปใช้จริง และดึงดูดเงินเข้าวัดด้วยจริงๆ
ถึงขนาดว่า นายศุภชัย ศรีศุภอักษร อดีตไวยาวัจกรของวัดพระธรรมกายที่พระธัมมชโยแต่งตั้ง อดีตประธานสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน คลองจั่น ผู้ต้องหาร่วมกันในคดีสมคบฟอกเงิน ได้เคยนำเรื่องทำนองเดียวกัน ไปบอกเล่าขยายผล กระตุ้น ชักจูง หาเงินบริจาคเข้าวัดพระธรรมกายเป็นล่ำเป็นสัน
พูดออกทีวีช่องธรรมกายว่า พระเดชพระคุณหลวงพ่อได้ตรวจตราให้ตนเอง หลังจากทำบุญกับวัดพระธรรมกายมากมาย พบว่า ส่งผลให้บิดาของตนที่ตายไปแล้ว อยู่บนสวรรค์ สามารถนั่งสมาธิได้แล้ว เนื่องจากผลบุญที่ทำกับหลวงพ่อซึ่งเป็นเนื้อนาบุญอันเป็นเลิศนั่นเอง
แล้วก็อาศัยคุณวิเศษเหล่านี้ กระตุ้นระดมเงินบริจาค เพื่องานก่อสร้างของวัดพระธรรมกายยกใหญ่
แม้แต่เรื่องอิทธิฤทธิ์ของแม่ชีคุณยาย ปัดระเบิดสมัยสงครามโลกที่ธัมมชโยเคยหยิบยกขึ้นมากล่าวอ้าง ก็ถูกนำไปผลิตซ้ำ ขยายผลต่อๆ ไป ด้วยหวังผลประโยชน์จากความเชื่อดังกล่าว
มองเห็นได้ไม่ยากว่า การอวดอ้างอิทธิฤทธิ์หรือคุณวิเศษเหล่านี้ถูกใช้เป็นกลไกกระตุ้นเงินบริจาค
โดยมีกระบวนการนำไปโฆษณาชวนเชื่อ ขยายผล ดึงดูดเงินเข้าวัดต่อไป
6) ว่ากันตามจริง หากแถว่า ที่พูดไปทั้งหมดนั้น ไม่ใช่การยืนยันความจริง
ไม่ได้อวดอ้างว่าตนมีคุณวิเศษจริง
ถ้าเช่นนั้น น่าคิดว่า พระธัมมชโยควรจะต้องสารภาพบาป ประกาศต่อสาธารณชนให้เข้าใจชัดเจนแจ่มแจ้ง รวมถึงขอโทษประชาชนที่หลงเข้าใจผิดว่าพระธัมมชโยมีคุณวิเศษหรือไม่?
หรือจะยืนยันว่า ตนมีคุณวิเศษจริง ซึ่งอาจเข้าข่ายปาราชิก
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี