ความที่ประชาชนคนไทยรัก เคารพ และเทิดทูนพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชมาก รวมทั้งต่างรู้สึกได้ถึงความรัก ความเมตตา ความเอาพระทัยใส่ของพระองค์ท่านเสมอมา จึงดูเหมือนจาบจ้วงล่วงเกิน ถึงขนาด “ตีตนเสมอเจ้า” เรียกท่านว่า “พ่อ” ในความจริงแล้ว ท่านคือ “พ่อของแผ่นดิน” อันหมายถึง “คนไทยทั้งแผ่นดิน” ซึ่งรัก เคารพ และสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของท่านอย่างหาที่สุดมิได้
70 ปีแห่งการครองราชย์ ท่านไม่เพียงแต่ครองบัลลังก์ แต่ท่าน “ครองใจคน” ด้วย
เช่นที่ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช เคยกล่าวไว้ว่า
“...ผมเคยอยู่มาแล้วหลายแผ่นดิน แต่ก็ไม่เคยเห็นว่าพระเจ้าอยู่หัวแผ่นดินใด ที่คนทั้งเมืองเขาเป็นเจ้าเข้าเจ้าของ ให้ความเคารพบูชาอย่างสนิทสนมอย่างทุกวันนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลก่อนๆ ทรงครองแผ่นดิน แต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลนี้ทรงครองใจคน”
ทำไมท่านถึง “ครองใจคน”
ตอบได้ง่ายมากว่า ท่านไม่เลือกที่จะอยู่อย่างสุขสบาย ทั้งๆ ที่ทำได้ แต่ท่านลงมา “ร่วมทุกข์ร่วมสุข” กับปวงประชา เอาความทุกข์ของประชาชน ไปเป็นทุกข์ของท่าน และทรงใช้พระสติปัญญาหาทางปัดเป่าให้เสมอ ท่านทรงงานหนัก มิใช่เพื่อประโยชน์สุขส่วนพระองค์ แต่เป็นไปดั่งพระปฐมบรมราชโองการที่ว่า “เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม”
สิ่งที่นอกเหนือจากความโศกาดูร และการระลึกถึงคุณความดีของพระองค์ท่าน อย่างที่ทำกันอยู่อย่างมากในช่วงเวลานี้ คือการหาหนทางที่จะสานต่อสิ่งที่ท่านทำไว้ให้เต็มทั้งแผ่นดิน คนทั้งแผ่นดินต้องลุกขึ้นมา “ทำต่อ” อย่างมีความรู้ มีความเพียร และมีความมุ่งหมายตรงกัน ว่าจะเปลี่ยนทุกข์ให้เป็นสุข โดยใช้พลังของความรัก ความสามัคคี เข้าตอบโจทย์
ทำไมพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชจึงทรงสมถะ ธรรมดา รู้ค่าของข้าวของเครื่องใช้ทุกสิ่งทุกอย่าง ดั่งเช่นเวลานี้ ที่สื่อทุกแขนงต่างตามตัวช่างตัดฉลองพระองค์ ช่างซ่อมฉลองพระบาท ช่างซ่อมรถยนต์พระที่นั่ง ฯลฯ ให้มาช่วยเล่าเรื่องการถวายงาน ทุกคนต่างกล่าวตรงกันหมดว่าท่านสมถะจริงๆ พอเพียงจริงๆ และใช้สิ่งของต่างๆ อย่างรู้ค่าและคุ้มค่า เราจงอย่าหยุดอยู่แค่ความรู้สึกว่า “ซึ้งใจเหลือเกิน ประทับใจเหลือเกิน รักท่านเหลือเกิน” แต่ต้องไปให้ถึงจุดสำคัญที่ว่า “เราจะทำอย่างนั้น” เราจะ “เดินตามรอยเท้าพ่อ” พูดให้เหมาะควรก็คือ ดำเนินชีวิตตามเบื้องพระยุคลบาท
รู้ไหม การวางพระองค์ การทรงงานเพื่อประชาชนนั้นไม่ง่าย แต่ท่านไม่เคยละความเพียรที่จะทำ แน่นอน ต้องเริ่มจาก “รัก” จาก “เมตตา” จากความปรารถนาที่จะทำหน้าที่ และหวังผลลัพธ์ว่าพสกนิกรของพระองค์นี้ จะยืนอยู่ได้ด้วยตนเอง อย่างมีศักดิ์ศรี จากนั้นจะได้ร่วมกันสร้างชาติบ้านเมืองให้วัฒนาถาวรสืบไป ซึ่งเนื้อแท้เช่นนี้ หากย้อนศึกษาดู จะพบว่า ท่านได้รับการ “หล่อหลอม” มาตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์
ขออัญเชิญความตอนหนึ่งในพระราชดำรัสของสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี เกี่ยวกับการอบรมเลี้ยงดูพระโอรสและพระธิดาให้เป็นคนดี เพื่อให้คนไทยได้น้อมนำมาใช้เป็นหลักในการอบรมบุตรหลานของตน ดังนี้
“ต้นไม้นี่ มันคล้ายๆ คน ต้นบานชื่นนี่ฉันไม่ได้ปลูกด้วยเมล็ด แต่ไปซื้อต้นเล็กๆ ที่เขาเพาะแล้วมาปลูก แต่มันก็งามและแข็งแรงดี เพราะอะไรหรือ... เพราะคนที่เขาขายนั้น เขารู้จักเลือกเมล็ดที่ดี และดินที่เขาใช้เพาะก็ดีด้วย นอกจากนั้น เขายังรู้วิธี ว่าจะเพาะอย่างไร ซึ่งฉันไม่สามารถทำได้เช่นเขา เมื่อฉันเอามาปลูก ฉันต้องดูแลใส่ปุ๋ยเสมอ เพราะดินที่นี่ไม่ดี ต้องคอยรดน้ำพรวนดินบ่อยๆ ต้องเอาหญ้าและต้นไม้ที่ไม่ดีออก เด็ดดอกใบที่เสียๆ ทิ้ง
คนเราก็เหมือนกัน... ถ้ามีพันธุ์ดี เมื่อเป็นเด็กก็แข็งแรง ฉลาด เมื่อพ่อแม่คอยสั่งสอน เด็ดเอาของที่เสียออกและหาปุ๋ยที่ดีใส่อยู่เสมอ เด็กคนนั้น ก็จะเป็นคนที่เจริญและดี เหมือนกับต้นและดอกบานชื่นเหล่านั้น”
มีเรื่องเกี่ยว “ในหลวง” เมื่อทรงพระเยาว์ ที่ผู้คนพากเพียรส่งต่อๆ กันในสื่อสังคมออนไลน์ ผมขอเลือกบางข้อมาเล่าให้ฟังว่า
1.ทรงเรียกสมเด็จพระราชชนนีหรือสมเด็จย่า อย่างสามัญชน
ว่า “แม่” 2.สมัยทรงพระเยาว์ ทรงได้ค่าขนม อาทิตย์ละครั้ง 3.แม้จะได้เงินค่าขนมทุกอาทิตย์ แต่ยังทรงรับจ้างเก็บผักผลไม้ไปขาย เมื่อได้เงินมาก็นำไปซื้อเมล็ดผักมาปลูกเพิ่ม 4.ทรงฉลองพระเนตร (แว่นสายตา)ตั้งแต่พระชันษายังไม่เต็ม 10 ขวบ เพราะครูประจำชั้นสังเกตเห็นว่าเวลาจะทรงจดอะไรจากกระดานดำจะต้องลุกขึ้นบ่อยๆ 5.สมัยพระเยาว์ทรงซนบ้าง หากสมเด็จย่าจะลงโทษ จะเจรจากันก่อนว่า โทษนี้ควรตีกี่ที่ ในหลวงจะทรงต่อรองว่าทีเดียวก็พอ
6.ระหว่างประทับอยู่สวิส จะทรงใช้ภาษาฝรั่งเศสกับสมเด็จพระเชษฐาและสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ แต่จะใช้ภาษาไทยกับ
สมเด็จย่าเสมอ โดยในหลวงทรงเชี่ยวชาญภาษาต่างประเทศหลายภาษา เช่น ภาษาฝรั่งเศส อังกฤษ เยอรมัน และลาติน
7.ทรงได้รับการอบรมให้รู้จัก “การให้” โดยสมเด็จย่าจะทรงตั้งกระป๋องออมสินเรียกว่า “กระป๋องคนจน” หากทรงนำเงินไปทำกิจกรรมแล้วมีกำไร จะต้องถูก “เก็บภาษี” หยอดใส่กระปุกนี้ 10% ทุกสิ้นเดือนสมเด็จย่าจะเรียกประชุมเพื่อถามว่าจะเอาเงินในกระป๋องนี้ไปทำอะไร เช่น มอบให้โรงเรียนตาบอด มอบให้เด็กกำพร้า หรือทำกิจกรรมเพื่อคนยากจน
8.ครั้งหนึ่ง ในหลวงกราบทูลสมเด็จย่าว่าอยากได้รถจักรยาน เพราะเพื่อนคนอื่นๆ เขามีจักรยานกัน สมเด็จย่าตอบว่า “ลูกอยากได้จักรยาน ลูกก็ต้องเก็บค่าขนมไว้สิ หยอดกระป๋องวันละเหรียญ ได้มาก ค่อยเอาไปซื้อจักรยาน”
9.กล้องถ่ายรูปกล้องแรกของในหลวง คือ Coconet Midget ทรงซื้อด้วยเงินสะสมส่วนพระองค์ เมื่อพระชนม์เพียง 8 พรรษา 10.ช่วงเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ทรงปั่นจักรยานไปโรงเรียนแทนรถพระที่นั่ง 11.พระอัจฉริยภาพของในหลวง มีพื้นฐานมาจาก “การเล่น” สมัยทรงพระเยาว์ เพราะหากทรงอยากได้ของเล่นอะไร ต้องทรงเก็บสตางค์ซื้อเอง หรือ ทรงประดิษฐ์เอง ทรงเคยหุ้นค่าขนมกับสมเด็จพระเชษฐา เพื่อซื้อชิ้นส่วนวิทยุทีละชิ้นๆ แล้วทรงนำมาประกอบเองเป็นวิทยุ แล้วแบ่งกันฟัง
12.สมเด็จย่าทรงสอนให้ในหลวงรู้จักการใช้แผนที่และแผนภูมิประเทศของไทย โดยโปรดเกล้าฯให้โรงเรียนเพาะช่างทำแผนที่ประเทศไทยเป็นรูปตัวต่อ เลื่อยเป็นชิ้นสี่เหลี่ยมเล็กๆ เพื่อให้ทรงเล่นเป็นจิ๊กซอว์ 13.ในหลวงทรงเครื่องดนตรีได้หลายชนิด แต่โปรดแคลริเน็ต, แซกโซโพนและทรัมเป็ตมากที่สุดแต่เครื่องดนตรีชิ้นแรกที่ทรงหัดเล่นคือ หีบเพลง (แอกคอร์เดียน) 14. ทรงสนพระทัยดนตรีอย่างจริงจังราวพระชนม์ 14-15 พรรษา ทรงซื้อแซกโซโฟนมือสองราคา 300 ฟรังก์มาทรงหัดเล่น โดยใช้เงินสะสมส่วนพระองค์ครึ่งหนึ่ง และอีกครึ่งหนึ่งสมเด็จย่าออกให้
อ่านจบทั้ง 14 ข้อคุณเห็นอะไร? อย่างน้อยๆ ต้องเห็นว่า ความสมถะพอเพียง รู้ค่าเงิน รู้ค่าในสิ่งของต่างๆ มีความเพียรที่จะอดออม รู้จักรักและคิดถึงผู้อื่น นั้น เป็นเนื้อนาบุญสำคัญจากวัยเด็ก
ต่อมาเมื่อทรงรับที่จะเป็นพระเจ้าแผ่นดินรัชกาลที่ 9 ของชาวสยาม ความหมายของการเป็นพระเจ้าแผ่นดินที่ท่านเลือก คือ ลงมาสู่ดิน ลงมาหาผู้คน และสร้างผู้คนจากฐานราก
สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี มีรับสั่งกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวถึงความหมายของพระนาม “ภูมิพล” ไว้ว่า “...อันที่จริงเธอก็ชื่อ “ภูมิพล” ที่แปลว่า “กำลังของแผ่นดิน”... แม่อยากให้เธออยู่กับดิน”
ต่อมาภายหลัง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระราชปรารภถึงสิ่งที่สมเด็จพระบรมราชชนนีเคยรับสั่งว่า “เมื่อฟังคำพูดนี้แล้วก็กลับมาคิด ซึ่งแม่ก็คงจะสอนเรา และมีจุดมุ่งหมายว่า อยากให้เราติดดิน...และอยากให้ทำงานให้แก่ประชาชน”
จากการหล่อหลอมในวัยเยาว์ จากความหมายอันลึกซึ้งในพระนามที่พระองค์ท่านทรงตระหนัก และจากพระปฐมบรมราชโองการ พระองค์ท่านจึง “ทรงงาน” เพื่อประชาชนเสมอมา แม้ในยามที่ทรงพระชราภาพ ก็มิเคยหยุด
ดร.วิวัฒน์ ศัลยกำธร หรือที่รู้จักกันในนาม อ.ยักษ์ แห่งมูลนิธิกสิกรรมธรรมชาติ หนึ่งในบุคคลที่เคยทำงานใกล้ชิด เดินตามพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช คอยจดพระราชดำรัสที่รับสั่งออกมา ได้เขียนบทความลงหนังสือพิมพ์ “คม ชัด ลึก” ฉบับวันที่ 20 ตุลาคม 2550 ว่า...
“...ยังจำได้ว่าขณะที่ยังตามเสด็จรับใช้ทรงงานไปยังสถานที่ต่างๆ ครั้งหนึ่ง ณ วัดญาณสังวราราม พระเจ้าอยู่หัว ในขณะที่ยังทรงพระชนมพรรษา 50 พรรษากว่าๆ ได้ตรัสรับสั่งกับคนใกล้ชิด ให้ช่วยสร้างกุฏิให้หน่อย สำหรับที่พระองค์เมื่อถึงแซยิดแล้วจะมาบวชเป็นพระ ปรนนิบัติรับใช้ สมเด็จพระญาณสังวรฯ ในฐานะที่เคยเป็นพระอภิบาล หรือ พระพี่เลี้ยง เพื่อเป็นการตอบแทนคุณ แต่ในระหว่างที่ยังไม่เสร็จสิ้นภารกิจและยังทำตามพระราชประสงค์ไม่ได้ ก็ขอให้พวกเราทำหน้าที่แทนพระองค์ในการดูแลรับใช้สมเด็จพระญาณสังวรฯ
...หลังจากนั้น การสร้างกุฏิตามพระราชประสงค์ก็เริ่มขึ้น โดยการออกแบบของสถาปนิกมือหนึ่งของกรมชลประทานที่ทุกคนเรียกขานกันว่า พี่โย่ง (ทรงศักดิ์ ทวีเจริญ) เมื่อแบบเสร็จ และพระเจ้าอยู่หัว ได้ทอดพระเนตรแบบ ทรงมีรับสั่งให้มีการแก้ไขแบบให้เรียบง่ายและประหยัด หลังจากแบบเป็นที่พอพระทัย การก่อสร้างพระกุฏิก็ดำเนินไปจนเสร็จ ...แต่ทุกวันนี้ กุฏิหลังนี้ยัง “ร้าง” เพราะพระองค์ยังไม่เสร็จสิ้นพระราชภารกิจ จึงยังทำดังใจหวังไม่ได้
...ในฐานะพ่อของแผ่นดิน พระองค์ไม่สามารถทำตามความปรารถนาเหมือนสามัญชนทั่วไปได้ ที่เมื่อถึงวัยเกษียณ อันเป็นวัยที่สังขารบอกว่าถึงเวลา พักผ่อน ก็จะสามารถพักผ่อนและใช้เวลาได้ตามที่ใจต้องการ
...ในวัย 80 เรายังเห็นพระองค์ท่านทรงงาน ยังห่วงใยความเป็นไปของบ้านเมือง ยังออกมาชี้แนะ มีพระราชดำริในยามที่บ้านเมืองพบวิกฤติในรูปแบบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นวิกฤติธรรมชาติ หมอกควันพิษ น้ำท่วม แม้กระทั่งเรื่องเล็กน้อย การเปิดปิดประตูระบายน้ำ วิธีการต่างๆ ในการป้องกันน้ำท่วมทั้งที่เกิดขึ้นในกรุงเทพมหานคร และต่างจังหวัด ทำให้อดคิดไม่ได้ว่าเมืองไทยเราสิ้นคนดี คนเก่งแล้วหรือ เรื่องเล็กน้อยเช่น รถติด น้ำท่วม หาคนแก้ไม่ได้ กลายเป็นปัญหาซ้ำซาก เรื่องแค่นี้ยังต้องให้ พ่อ ผู้เหน็ดเหนื่อย ต้องกังวลใจไม่มีวันรู้จบ ...นี่กระมังที่ทำให้ พระองค์ท่าน ยังมิสามารถเกษียณพระองค์เอง และพักผ่อนตามที่ใจปรารถนา เหมือนครั้งที่มีพระราชดำริให้สร้างกุฏิ เพราะพระองค์ทรงตระหนักว่า ประเทศ และพสกนิกรที่เป็นลูกๆ ยังอยู่ในความยากลำบาก ภัยพิบัติทางธรรมชาติ ภัยสงคราม ข้าวยากหมากแพง ความแตกแยกทางความคิด ปัญหานานัปการกำลังถาโถมลูกๆ ของพระองค์อยู่ ไฉนเลย พ่อ จะวางตัวอุเบกขาไม่ทุกข์ร้อนได้กระไร
...แม้พระวรกายจะไม่เอื้ออำนวยให้เดินทางไกล สมบุกสมบันไปทุกหนทุกแห่งที่มีพสกนิกรอยู่เหมือนในอดีต แต่เราชาวไทยทุกคนต่างเชื่อมั่นเหลือเกินว่า จะไม่มีวันใดวันหนึ่งที่พระองค์จะไม่รับรู้เรื่องราวความเดือดร้อน ความทุกข์ยาก ไม่ว่าเรื่องราวนั้นจะอยู่ ณ มุมใดของประเทศ หากเป็นเรื่องสำคัญพระองค์ก็จะทรงออกมาชี้แนะด้วยพระองค์เอง ตามความเหมาะสม
...นอกจากจะทรงงานหนักเพื่อพลิกฟื้นคืนความเป็น “แชมป์” ของประเทศที่กำลังสูญสลายไป พระองค์ยังทรงทุ่มเทพระวรกายคิดค้น ปรัชญาการดำเนินชีวิต เศรษฐกิจพอเพียง ให้เป็นเสาหลัก สำหรับลูกๆ มิให้เดินหลงทาง ท่ามกลางกระแสลมที่เชี่ยวกระโชกของโลกาภิวัตน์ และทรงดำรงพระองค์ให้เป็นแบบอย่างของความพอเพียงด้วยพระองค์เอง
...ด้วยวิสัยทัศน์ที่ยาวไกลพระองค์ทรงทราบดีว่า ความพอดี ความมีเหตุผล ความรู้ คุณธรรม จะทำหน้าที่ปกป้องสร้างภูมิคุ้มกันให้กับผู้ที่เชื่อในหลักคิดนี้ หากผู้นำและพสกนิกรของสยามประเทศเมืองนี้ แม้เพียงครึ่งหนึ่ง “ฟัง” และปฏิบัติตามสิ่งที่พระองค์ได้ทรงวางแนวทางไว้ ก็เชื่อแน่ว่าประเทศชาติจะหลุดออกจาก อวิชชา โมหภูมิ ที่ครอบงำผู้คนอยู่นานชั่วนาตาปี เมื่อถึงเวลานั้น กุฏิ ที่เคย “ร้าง” ก็อาจจะมีโอกาสได้ทำหน้าที่เป็นแหล่งพักพิงพระราชหฤทัย และพระวรกาย ตามที่พระองค์ได้ทรงปรารถนาไว้”
ดังนั้น ทั้งหมดที่ได้กล่าวมา ผมเพียงจะย้ำต่อเราชาวไทยทุกคนว่า ถึงเวลาแล้ว ที่จะจะต้องค่อยหักห้ามความเศร้าโศก และเติบโตขึ้นเพื่อให้เกินจากระดับของ “ความซาบซึ้งใจ” ใน “เรื่องเล่าต่างๆ ของพระเจ้าอยู่หัว” แต่จงพร้อมเพรียงกันในการ “ถอดรหัส” สิ่งที่ท่านปรารถนา แล้วนำมาปฏิบัติให้ท่านเห็น สร้างแผ่นดินของเราให้เป็น จากแนวพระราชดำริที่ทำไว้ทุกหย่อมหญ้า
เป็นลูกที่ “เติบโต” ให้ “พ่อ” ชื่นใจและหมดห่วงกันเสียที
เรียนรู้ที่จะแก้ไขและพัฒนาแผ่นดินนี้ เฉกเช่นที่พระองค์ทรงทำกันเถิดเรา
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี