“เศรษฐกิจพอเพียงเป็นเสมือนรากฐานของชีวิต รากฐานความมั่นคงของแผ่นดิน เปรียบเสมือนเสาเข็ม ที่ถูกตอกรองรับบ้านเรือนตัวอาคารไว้นั่นเอง สิ่งก่อสร้างจะมั่นคงได้ก็อยู่ที่เสาเข็มแต่คนส่วนมากมองไม่เห็นเสาเข็มและลืมเสาเข็มเสียด้วยซ้ำไป” พระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จากวารสารชัยพัฒนาประจำเดือนสิงหาคม 2542
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงให้แนวทางปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงเอาไว้นานแล้ว แต่ความเอาจริงเอาจังของเราทั้งชาติ ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐ ข้าราชการ เอกชน ประชาชน ล้วนรับรู้และจดจำแต่เพียงผิวเผิน หาได้ศึกษาให้เป็นระบบ กำหนดเป็นแผนพัฒนาคน พัฒนาชาติ และพากเพียรที่จะลงมือทำให้จริงจังไม่ยามนี้ พระองค์เสด็จสู่สวรรคาลัยแล้ว ถึงเวลาหรือยัง ที่เราจะศึกษาและน้อมนำมาใช้ในชีวิตของตนเอง
ศ.นพ.เกษม วัฒนชัย องคมนตรี กล่าวถึงหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ตามแนวพระราชดำริของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ว่า หมายถึงหลักคิดและปฏิบัติตั้งแต่ระดับบุคคล-องค์กรขนาดใหญ่ มีความเป็นหลักสากลโลก ซึ่งได้ทรงศึกษาและคิดค้นมานานหลายปี
ในเบื้องต้นนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงคิดเรื่องเศรษฐกิจพอเพียง โดยออกแบบให้ใช้กับชาวนาที่ยากจนที่สุด แต่หากเข้าใจถึงหลักการของเศรษฐกิจแบบพอเพียงแล้ว แม้แต่ในทางธุรกิจก็ใช้ได้เพื่อป้องกันการขาดทุนได้ด้วย ทั้งนี้ เบื้องต้นก่อนจะนำปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ต้องมีการปรับพื้นฐานจิตใจให้มีคุณธรรมเสียก่อน
เมื่อถามว่า การดำเนินชีวิตตามปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ควรเริ่มต้นอย่างไร
ศ.นพ.เกษม ตอบว่า “ถ้าเป็นตนเองแล้ว เราต้องมีศรัทธาความเชื่อก่อน เริ่มต้นต้องคิดให้เป็นก่อน เมื่อเข้าใจแก่นแท้ของความพอเพียง แต่ละคนจะสามารถนำไปปรับใช้ได้เอง อยู่ที่ว่า แต่ละคนนำไปใช้อย่างไร ปรัชญาพอเพียงสอนให้เรา พึ่งตนเองให้ได้ก่อน ไม่รอความช่วยเหลือ มีเหตุมีผลในการมีสติว่าเราทำอะไรอยู่ เช่น เรามีเงินเดือน 20,000 บาท แต่ไปซื้อรถราคา 8-9 แสนบาท ถือว่า เราไม่พอเพียง ทำเกินกำลัง แต่เราซื้อคันละ 5 แสน ไม่เป็นหนี้มาก ก็พอไหว แสดงว่า เรามีสติ แค่นี้เราก็ใช้ความพอเพียงในการดำเนินชีวิตแล้ว
ในส่วนองค์กรเอง เริ่มนำไปปรับใช้ได้ เช่น การจัดกิจกรรมปรับพื้นฐานจิตใจของคนในองค์กรอย่างต่อเนื่อง หรือแม้แต่ในโรงเรียนก็ใช้เป็นแบบเรียน ฝึกให้เด็กพอเพียงด้วยการจดบันทึกว่า แต่ละวัน แต่ละสัปดาห์ใช้ความพอเพียงอย่างไรบ้าง เพื่อปลูกฝังเขาตั้งแต่เด็ก”
เมื่อถามว่า ปรัชญาของความพอเพียงจะเกิดผลอย่างไร หากนโยบายนี้ดำเนินต่อไปอย่างต่อเนื่อง
ศ.นพ.เกษม ตอบว่า “โมเดลที่จะเกิดขึ้น คือ บุคคลพอเพียง - ครอบครัวพอเพียง - หมู่บ้านพอเพียง - ตำบลพอเพียง - อำเภอพอเพียง - จังหวัดพอเพียง - ประเทศพอเพียง ซึ่งเราคาดหวังว่าในอนาคตจะเกิดขึ้น ซึ่งจะนำมาสู่ความเข้มแข็ง โดยต้องเริ่มจากคนในประเทศก่อน เมื่อคนรู้จักแก่นแท้ของความพอเพียง คนในประเทศจะมีภูมิคุ้มกัน หรือวัคซีนป้องกันกับปัญหาต่างๆ เช่น วัคซีนป้องกันวัตถุนิยม บริโภคนิยม และเมื่อคนเข้มแข็ง จะเป็นจุดเริ่มต้นให้สังคมแข็งแรง และขยายสู่รากฐานอันแข็งแรงของประเทศต่อไป”
ด้าน นายจิรายุ อิศรางกูร ณ อยุธยา ได้อธิบายถึงปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ว่า “จากการสรุปเนื้อหาปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง นักวิชาการจากสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ธนาคารแห่งประเทศไทย ฯลฯ ได้ร่วมกันแปลงนิยามออกมาเป็นสัญลักษณ์ 3 ห่วง 2 เงื่อนไข เพื่อให้ง่ายต่อการเข้าใจ จดจำและนำไปปฏิบัติ โดยมีความหมายว่า ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงนั้นเป็นเรื่องของทางสายกลาง ที่อยู่ภายใต้เงื่อนไข 2 ข้อ คือ
1. เงื่อนไขความรู้ ประกอบด้วย ความรอบรู้ เกี่ยวกับวิชาการต่างๆ ที่เกี่ยวข้องรอบด้านความรอบคอบ ที่จะนำความรู้เหล่านั้นมาพิจารณาให้เชื่อมโยงกัน เพื่อประกอบการวางแผน และความระมัดระวังในขั้นปฏิบัติ
2. เงื่อนไขคุณธรรม ประกอบด้วย ความตระหนักในคุณธรรม มีความซื่อสัตย์ สุจริต และมีความอดทน มีความเพียร ใช้สติปัญญาในการดำเนินชีวิต
และมี 3 คุณลักษณะที่มีความเกี่ยวเนื่องสัมพันธ์กันไป คือ
2.1 ความพอประมาณ หมายถึง ความพอดี ที่ไม่น้อยเกินไปและไม่มากเกิน โดยไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่น
2.2 ความมีเหตุผล หมายถึง การตัดสินใจเกี่ยวกับระดับของความพอเพียงนั้น จะต้องเป็นไปอย่างมีเหตุผลโดยพิจารณาจากเหตุปัจจัยที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนคำนึงถึงผล ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจากการกระทำนั้นๆ อย่างรอบคอบ
2.3 การมีภูมิคุ้มกันที่ดีในตัว หมายถึง การเตรียมตัวให้พร้อมรับผลกระทบและการเปลี่ยนแปลงด้านต่างๆ ที่จะเกิดขึ้น โดยคำนึงถึงความเป็นไปได้ของสถานการณ์ต่างๆ ที่คาดว่า จะเกิดขึ้นในอนาคต ทั้งใกล้และไกล การนำปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาประยุกต์ใช้จะนำชีวิต เศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม และวัฒนธรรม ไปสู่การพัฒนาที่ สมดุล มั่นคง และยั่งยืน
“คนส่วนใหญ่มีความเข้าใจ คำว่า “เศรษฐกิจพอเพียง” ในระดับหนึ่ง ทว่ายังคงมองว่า เป็นเรื่องของความประหยัดมัธยัสถ์ในการใช้ชีวิตประจำวัน หรือมองว่า เป็นการนำมาประยุกต์ใช้ในภาคเกษตรกรรมเท่านั้น ซึ่งอันที่จริงปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง สามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้ในทุกภาคส่วน และนำมาประยุกต์ใช้อย่างเป็นรูปธรรม เพื่อให้ง่ายในการทำความเข้าใจ ในขณะที่ต่างชาติมักเข้าใจผิดคิดว่า พอเพียง แปลว่า ไม่ก้าวหน้า ซึ่งไม่เป็นความจริงอย่างที่สุด
...โลกาภิวัตน์ มีทั้งด้านดีและด้านลบ สิ่งที่ดีก็นำมาประยุกต์ใช้ให้ประเทศก้าวหน้า แต่ความก้าวหน้า ต้องสมดุลกับประเทศด้วย ที่สำคัญการนำปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาประยุกต์ให้ได้ผล ต้องพยายามลบค่านิยมด้านวัตถุนิยมที่เน้นความฟุ้งเฟ้อ ฟุ่มเฟือย พร้อมปลูกจิตสำนึกให้กับประชาชนในเรื่องของการเอื้อเฟื้อ แบ่งปันเสริมเข้าไปด้วย มุ่งหวังให้สังคมไทยรู้จักคำว่า พอเพียงมากขึ้น ไม่หลงตามไปกับกระแสบริโภคนิยม ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงเปรียบเสมือนเข็มทิศเพื่อนำไปสู่หนทางการตัดสินใจที่ถูกต้องและยั่งยืน
นักเศรษฐศาสตร์แสดงให้เห็นเช่นกันว่า หลักการของเศรษฐกิจพอเพียงสามารถนำไปประยุกต์ใช้กับการบริหารเศรษฐกิจ การออกแบบนโยบายและการวางแผนการพัฒนาประเทศได้ ในช่วงการฟื้นตัวจากวิกฤติเศรษฐกิจในปี พ.ศ. 2540 หลักการของเศรษฐกิจพอเพียง ในเรื่องการสร้างภูมิคุ้มกันจากผลกระทบ ทำให้เกิดมาตรการและเครื่องมือในการจัดการกับความเสี่ยง และความผันผวนในระบบเศรษฐกิจมหภาคขึ้นหลายอย่าง การจัดทำแผนพัฒนาเศรษฐกิจ และสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 10 ก็ยึดแนวทางของเศรษฐกิจพอเพียงเป็นแนวทางหลักที่ให้คนเป็นเป้าหมายหลักของการพัฒนา และมีแนวคิดที่จะทบทวนวิธีการใช้ทรัพยากรและงบประมาณทั้งหมดของประเทศ เพื่อสนับสนุนการพัฒนาที่มีความสมดุล ความยั่งยืน และการเติบโตที่เสมอภาคยิ่งขึ้น
ผลสำเร็จระยะยาวของการพัฒนาตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียงขึ้นอยู่กับข้อเท็จจริงที่ว่า แนวคิดนี้ จะสามารถซึมลึกเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมประเทศได้มากน้อยเพียงใด” นายจิรายุกล่าว
ส่วน ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล ได้อธิบายถึง เศรษฐกิจพอเพียงตามแนวพระราชดำริ ว่า อยู่เหนือกว่าเศรษฐกิจแบบทุนนิยมของตะวันตก ซึ่งเกี่ยวกับเรื่องวัตถุที่เป็นรูปธรรม เช่น เงิน ทรัพย์สิน กำไร ไม่เกี่ยวกับเรื่องจิตใจซึ่งเป็นนามธรรม แต่เศรษฐกิจพอเพียงมีขอบเขตกว้างขวางกว่าเศรษฐกิจนายทุน หรือเศรษฐกิจธุรกิจ เพราะครอบคลุมถึง 4 ด้าน คือ
1. มิติด้านเศรษฐกิจ เศรษฐกิจพอเพียงเป็นเศรษฐกิจแบบพออยู่พอกินให้มีความขยันหมั่นเพียร ประกอบสัมมาชีพเพื่อให้พึ่งตนเองได้ให้พ้นจากความยากจน การปฏิบัติตามทฤษฎีใหม่ตามแนว พระราชดำริเป็นตัวอย่างของการปฏิบัติตามเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งได้ช่วยให้เกษตรกรจำนวนมากมีรายได้ เพิ่มสูงขึ้น และมีชีวิตที่เป็นสุขตามสมควรแก่อัตภาพพ้นจากการเป็นหนี้และความยากจน สามารถ พึ่งตนเองได้ มีครอบครัว ที่อบอุ่นและเป็นสุข
2. มิติด้านจิตใจ เศรษฐกิจพอเพียงเน้นที่จิตใจที่รู้จักพอ คือ พอดี พอประมาณ และพอใจในสิ่งที่มี ยินดีในสิ่งที่ได้ ไม่โลภ เศรษฐกิจพอเพียงจะต้องเริ่มที่ตัวเองโดยสร้างรากฐานทางจิตใจที่มั่นคง โดยเริ่ม จากใจที่รู้จักพอเป็นการปฏิบัติตามทางสายกลางหรือมัชฌิมาปฏิปทา
3. มิติด้านสังคม เศรษฐกิจพอเพียงมุ่งให้เกิดสังคมที่มีความสุขสงบประชาชนมีความเมตตาเอื้ออาทร ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ไม่ใช่ต่างคนต่างอยู่ มุ่งให้เกิดความสามัคคีร่วมมือ เพื่อให้ทุกคนอยู่ร่วมกันได้โดย ปราศจากการเบียดเบียนกัน การเอารัดเอาเปรียบกัน การมุ่งร้ายทำลายกัน
4.มิติด้านวัฒนธรรม วัฒนธรรม หมายถึง วิถีชีวิต (way of life) ของประชาชน เศรษฐกิจพอเพียงมุ่งให้เกิดวัฒนธรรมหรือวิถีชีวิตที่ประหยัด อดออม มีชีวิตที่เรียบง่าย ไม่ฟุ้งเฟ้อ ฟุ่มเฟือยไม่ตกเป็นทาสของวัตถุนิยมและบริโภคนิยม ซึ่งทำให้เกิดการเป็นหนี้เป็นสินเกิดการทุจริตคอร์รัปชั่น เป็นปัญหาสังคมที่ร้ายแรงที่สุดปัญหาหนึ่งที่บ่อนทำลายความมั่นคงของชาติ
ปิดท้ายที่ นายอำพล เสนาณรงค์ องคมนตรี ได้กล่าวถึงเศรษฐกิจพอเพียงว่า “เป็นปรัชญา หรือแนวปฏิบัติ ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงปรารถนาจะให้รากแก้วในสังคมได้ยึดเป็นแนวดำรงชีวิต เพื่อความอยู่ดีกินดี ซึ่งองค์ประกอบสำคัญของเศรษฐกิจพอเพียงมีด้วยกัน 7 ข้อคือ พึ่งพาตนเอง พอประมาณ เดินสายกลาง มีภูมิคุ้มกัน มีเหตุผล เป็นคนดีและรู้รักสามัคคี โดยหลักสำคัญทั้ง 7 ข้อนี้ คนทุกกลุ่ม ทุกอาชีพ สามารถน้อมนำไปประยุกต์ใช้ในการดำเนินชีวิตให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้”
ลงมือทำกันเถิดนะครับ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี