ถือได้ว่าเป็นครั้งแรกที่รัฐธรรมนูญของประเทศไทยได้มีบทลงโทษเจ้าหน้าที่ของรัฐที่จัดทำโครงการ หรืออนุมัติหรือจัดสรรเงินงบประมาณโดยรู้ว่า สนช.และ ครม.มีการกระทำอันเป็นการฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญตามวรรคหนึ่งหรือวรรคสองของมาตรา ๑๔๔ ที่จะอธิบายให้เห็น ดังนี้
(แพะรับบาปโปรดดู “มตกภัตตชาดก” ประกอบ)
ตามวรรคหนึ่งห้ามสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ปัจจุบันได้แก่ สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติทำหน้าที่นี้แทน และได้แปรญัตติเปลี่ยนแปลงหรือแก้ไขเพิ่มเติมรายการหรือจำนวนในรายการของงบประมาณรายจ่ายที่รัฐธรรมนูญห้ามไว้ แต่อาจแปรญัตติในทางลดหรือตัดทอนรายจ่ายได้ แต่ต้องมิใช่เป็นรายจ่ายตามข้อผูกพันอย่างหนึ่งอย่างใด ดังต่อไปนี้
(๑) เงินส่งใช้ต้นเงินกู้
(๒) ดอกเบี้ยเงินกู้
(๓) เงินที่กำหนดให้จ่ายตามกฎหมาย
ที่สภานิติบัญญัติแห่งชาติชุดนี้ได้มีการกระทำที่ขัดแย้งต่อรัฐธรรมนูญอันเป็นความผิดที่เสร็จเด็ดขาดแล้ว โดยตัดลดรายจ่ายตามข้อผูกพันใน (๑)และ (๒) ไปจำนวนหนึ่งและนำไปเพิ่มงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินจำเป็น และของส่วนราชการบางหน่วยงาน การกระทำที่ขัดแย้งต่อรัฐธรรมนูญดังกล่าวนี้จะส่งผลให้เจ้าหน้าที่ของรัฐตกเป็น “แพะรับบาป” ตามรัฐธรรมนูญมาตรา ๑๔๔ วรรคสี่บัญญัติความรับผิดไว้ ดังนี้
การฝ่าฝืนตามวรรคสองที่เจ้าหน้าที่ของรัฐจะตกเป็นบาปเคราะห์อันสืบเนื่องมาจากฝ่าฝืนการใช้งบประมาณรายจ่าย
ไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อมของสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติหรือของคณะกรรมาธิการที่รัฐธรรมนูญห้ามไว้
เพราะเจ้าหน้าที่ของรัฐผู้ใดมีหน้าที่ตามที่ได้รับมอบหมายจากสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติหรือคณะรัฐมนตรีที่ท่านต้องปฏิบัติให้ ทั้งที่เต็มใจและไม่เต็มใจก็ตาม เพราะสนช.ชุดนี้หลายท่านสวมหมวกเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐในระดับหัวหน้าส่วนราชการอยู่ด้วย ได้แก่ อธิบดี ปลัดกระทรวง แม่ทัพ ในกระทรวงทบวงกรมต่างๆ โดยเจ้าหน้าที่ของรัฐที่เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาก็รู้ดีว่า มีการดำเนินการอันฝ่าฝืนบทบัญญัติตามวรรคหนึ่ง ได้แก่ การแปรญัตติตัดลดรายจ่ายตามข้อผูกพันและนำไปเพิ่มรายการเงินสำรองจ่ายในกรณีฉุกเฉินจำเป็นหรือของส่วนราชการบางแห่ง โดยเจ้าหน้าที่ของรัฐผู้นั้นได้รับมอบหมายให้ทำโครงการเพื่อขอใช้เงินงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายอ้างเหตุว่า มีกรณีฉุกเฉินจำเป็นที่กระทำอย่างนี้มานานแล้ว เสนอต่อผู้บังคับบัญชาโดยรู้ว่ารายการนี้มีวงเงินจำนวนหนึ่งที่เพิ่มขึ้นจากการแปรญัตติที่ขัดแย้งต่อรัฐธรรมนูญและใช้บังคับมิได้ตามรัฐธรรมนูญมาตรา ๕
การกระทำของเจ้าหน้าที่ของรัฐดังกล่าวนี้ในเบื้องต้น ท่านอาจได้รับความดีความชอบแต่ในอนาคตอยู่ในข่ายจะต้องรับผิดชดใช้เงินจำนวนนั้นคืนพร้อมดอกเบี้ย ภายในยี่สิบปีตามมาตรา ๑๔๔ นับแต่วันที่มีการจัดสรรงบประมาณ เช่น รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินจำเป็นให้แก่ส่วนราชการนั้น
แต่มีข้อยกเว้นที่จะให้เจ้าหน้าที่ของรัฐ พ้นความรับผิดแต่จะต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขที่รัฐธรรมนูญมาตรา ๑๔๔ วรรคสี่กำหนดไว้สองประการ ดังนี้
๑.จะต้องบันทึกโต้แย้งไว้เป็นหนังสือ หรือ
๒.มีหนังสือแจ้งให้คณะกรรมการป.ป.ช.ทราบ
การบันทึกโต้แย้งเป็นหนังสือเป็นเรื่องทำได้ยากเป็นภัยกับอนาคตในการรับราชการของท่านเอง เพราะในเทศกาลนี้จะหา
ผู้บังคับบัญชาที่มีจิตใจเป็นประชาธิปไตยและยอบรับฟังการโต้แย้งดังเช่นในสมัยที่ผมรับราชการอยู่ที่กรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลังที่มีท่านบุญมา วงศ์สวรรค์ เป็นอธิบดี และปลัดกระทรวงการคลัง และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังสมัยท่านอาจารย์สัญญา ธรรมศักดิ์ เป็นนายกรัฐมนตรี ที่ท่านมี “ธรรมานุธรรมปฏิบัติ” ยอมรับฟังคำโต้แย้งของผู้ใต้บังคับบัญชาอันเป็นที่ทราบกันของชาวคลังในยุคนั้น
จึงขอแนะนำให้ท่านใช้วิธีการตาม ๒ คือมีหนังสือแจ้งให้ ป.ป.ช.ทราบ เพราะผมยังไว้วางใจหน่วยงานนี้ที่ผมเคยเป็นกรรมการป.ป.ป. มาสองสมัยและเป็นกรรมาธิการพิจารณากฎหมายปชช.ฉบับนี้ เชื่อว่ายังพอมี “แก่น” ที่ไว้วางใจได้ระดับหนึ่ง และเรื่องอย่างนี้จะเป็นข้อพิสูจน์ป.ป.ช.ได้อย่างดี
ในกรณีนี้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติเมื่อได้รับแจ้ง จะต้องดำเนินการสอบสวนเป็นทาง “ลับ” โดยพลัน
หากป.ป.ช.เห็นว่ากรณีมีมูล ให้เสนอความเห็นต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อดำเนินการตามวรรคสามต่อไป
ขั้นตอนนี้แหละสำคัญมาก เพราะถ้าศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่ามีการกระทำที่ฝ่าฝืนจริง การกระทำนั้นๆ เป็นอันสิ้นผลทันที และเป็นผลให้สมาชิกสนช.ที่ได้มีการกระทำฝ่าฝืนนั้นสิ้นสุดสมาชิกภาพ และยังถูกเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งตลอดชีวิตด้วย
ส่วนคณะรัฐมนตรีถ้าเป็นผู้กระทำหรืออนุมัติให้กระทำการ หรือรู้ว่ามีการกระทำดังกล่าวแล้วแต่มิได้สั่งยับยั้ง ก็ต้องพ้นจากตำแหน่งและถูกเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง ตลอดชีวิตเช่นเดียวกัน
ท่านที่อยู่ในข่ายที่จะต้องรับผิดในเรื่องนี้ไม่ว่าเป็นสนช.หรือรัฐมนตรี อาจโต้แย้งผมว่า มาตรา ๑๔๔ นี้ใช้บังคับกับสมาชิกรัฐสภาและครม.ที่มาจากการเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เท่านั้น เดิมในชั้นยกร่างของกรรมการผมก็คิดเช่นนี้ แต่เมื่อมีผลใช้บังคับแล้ว อ่านบทเฉพาะกาลหลายๆ เที่ยวแล้ว เห็นว่าใช้บังคับกับสนช.และครม.ชุดนี้ด้วย
แต่อย่าเชื่อผมขอให้เชื่อ หลัก “กาลามสูตรกังขานิยฐาน ๑๐” ของพระพุทธองค์ที่ตรัสไว้ให้วินิจฉัยเรื่องนี้
แต่ผมเชื่อว่าเป็นการพ้นวิสัยที่สนช.ที่ท่านนายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เสนอแต่งตั้งมาทั้งหมดจะมีการเข้าชื่อกันหนึ่งในสิบเพื่อเสนอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัย ผมเชื่อว่าเป็นไปไม่ได้ คงต้องรอ “ให้น้ำท่วมหลังเป็ด” เสียก่อน
ผมจึงเขียนบทความในตอนนี้เพื่อเป็นหลักใช้ป้องกันตนเองให้ “เจ้าหน้าที่ของรัฐ” ที่อยู่ในข่าย “เนื้อไม่ได้กิน หนังไม่ได้รองนั่ง เอากระดูกมาแขวนคอ” ขอให้ใช้สิทธิของท่านตามที่รัฐธรรมนูญให้ไว้ โดยรีบเร่งทำหนังสือแจ้งไปยังป.ป.ช.ตามที่กล่าวมาแล้วท่านจะได้ไม่ต้องมีกระดูกมาแขวนคอถึงยี่สิบปี
ส่วนจะยกร่างหนังสืออย่างไร ? ผมมีตัวให้ท่านดูในวันเสาร์ถัดไป อย่าพลาดนะครับ
ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.ปรีชา สุวรรณทัต
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี