เรียน ท่านนายกรัฐมนตรี
เรื่อง ขอให้ดำเนินการให้ประชาชนที่เป็นเจ้าของเงินแผ่นดินได้แสดงความคิดเห็นในการตรากฎหมายงบประมาณ ปี ๒๕๖๑ ตามรธน.มาตรา ๗๗ วรรคสอง
๑.ตามที่ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ ได้จัดให้มีการประชุมรับฟังความคิดเห็นจากผู้เกี่ยวข้องในการจัดทำร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.๒๕๖๑ ตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐ มาตรา ๗๗ วรรคสอง เมื่อวันพุธที่ ๒๖ เมษายน ๒๕๖๐ เป็นการรับฟังความคิดเห็นที่ยังไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ตามมาตรา ๗๗ วรรคสอง ที่กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการไว้ เพราะเป็นการรับฟังเฉพาะจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐเท่านั้น ประกอบด้วย อธิบดี รองอธิบดี รองผู้ว่าการ รองเลขาธิการ จำนวน ๒๘๕ หน่วยงาน จำนวนรวมทั้งสิ้น ๗๓๓ คน ตามรายงานประชุมที่ท่านนายกรัฐมนตรีคงได้อ่านแล้ว เพราะรายงานนี้ได้รวมมากับเอกสารประกอบในการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้ในวันพฤหัสบดีที่ ๘ มิถุนายน ๒๕๖๐ ที่ท่านนายกรัฐมนตรีได้แถลงต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติ และได้รับหลักการในวงเงินจำนวนไม่เกิน๒,๙๐๐,๐๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท โดยตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาอยู่ในชั้นการแปรญัตติขณะนี้
อนึ่งในคำแถลงประกอบงบประมาณรายจ่ายของท่านนายกรัฐมนตรีตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๕๘ ๒๕๕๙ ๒๕๖๐ และ ๒๕๖๑ ในปี
งบประมาณใหม่นี้ ท่านนายกรัฐมนตรีได้น้อมนำ “ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง” ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๙ ที่ได้พระราชทานไว้มาเป็นแนวทางในการกำหนดกรอบวงเงินงบประมาณและการขับเคลื่อนประเทศอย่างสมเหตุสมผลในทุกมิติเพื่อประโยชน์ของประชาชนโดยตรงและยังเป็นการรับสนองพระบรมราโชวาทที่ขออัญเชิญองค์ความมา ดังนี้
_____________________________
“การควบคุมและตรวจสอบเงินแผ่นดินเป็นสิ่งสำคัญและจำเป็น เพราะเงินแผ่นดินนั้นคือ เงินของประชาชนทั้งชาติ ผู้ทำงานนี้
จึงต้องกำหนดแน่แก่ใจอยู่เป็นนิตย์ที่จะต้องปฏิบัติหน้าที่ในความรับผิดชอบของตนด้วยความอุตสาหะ พยายามด้วยความซื่อสัตย์ สุจริตและด้วยความละเอียดถี่ถ้วนระมัดระวังอย่างเต็มที่ เพื่อมิให้เกิดความพลั้งพลาดเสียหายและให้เกิดความมั่นใจว่า การใช้จ่ายเงินของแผ่นดินได้เป็นไปโดยบริสุทธิ์และบังเกิดผลประโยชน์เต็มเม็ด เต็มหน่วย”
(พระบรมราโชวาทแก่สำนักงานผู้ตรวจเงินแผ่นดิน ณ พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน วันที่ ๒๕ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๔๒)
______________________________
๒.แต่ปรากฏว่าในการรับฟังความคิดเห็นของสำนักงบประมาณตามรายงานฉบับดังกล่าวได้อ้างถึงมาตรา ๗๗ วรรคสองด้วย แต่ในทางปฏิบัติกลับไม่ได้มีการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนผู้ที่เกี่ยวข้องเลยไม่ว่าในทางใด เพราะการปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐ ที่ได้บัญญัติไว้ในมาตรา ๗๗ วรรคสอง อย่างครบถ้วนจะก่อให้เกิดการใช้จ่ายเงินของแผ่นดินที่เป็นเงินของประชาชนทั้งชาติ “บังเกิดผลประโยชน์เต็มเม็ด เต็มหน่วย” ตามพระบรมราโชวาทที่ได้อัญเชิญไว้ข้างต้นและตามคำแถลงของท่านนายกรัฐมนตรีจะได้ผลอย่างแท้จริงจะต้องนำความคิดเห็นของประชาชนที่เป็นเจ้าของเงินแผ่นดินที่ได้จากการรับฟังตามมาตรา ๗๗ วรรคสอง นำไปประกอบการพิจารณาในการจัดสรรงบประมาณทุกขั้นตอน ดังที่ได้บัญญัติไว้ว่า
“ก่อนการตรากฎหมายทุกฉบับ รัฐพึงจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นของผู้เกี่ยวข้อง วิเคราะห์ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากกฎหมายอย่างรอบด้านและเป็นระบบ รวมทั้งเปิดเผยผลการรับฟังความคิดเห็นและการวิเคราะห์นั้นต่อประชาชน และนำมาประกอบการพิจารณาในกระบวนการตรากฎหมายทุกขั้นตอน เมื่อกฎหมายมีผลใช้บังคับแล้ว รัฐพึงจัดให้มีการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมายทุกรอบระยะเวลาที่กำหนดโดยรับฟังความคิดเห็นของผู้เกี่ยวข้องประกอบด้วยเพื่อพัฒนากฎหมายทุกฉบับให้สอดคล้องและเหมาะสมกับบริบทต่างๆที่เปลี่ยนแปลงไป”
มาตรา ๗๗ วรรคสองนี้ จึงต้องนำมาใช้บังคับกับการตรากฎหมายทุกฉบับ รวมทั้งการตรากฎหมายว่าด้วยงบประมาณรายจ่าย ได้แก่ พระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี พระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม หรือพระราชบัญญัติโอนงบประมาณรายจ่าย แล้วแต่กรณี
เพราะเงินงบประมาณรายจ่ายที่เป็นการเงินของรัฐบาลมีความสัมพันธ์กับเงินของประชาชน ดังที่ท่านอาจารย์ป๋วย อึ๊งภากรณ์
กล่าวไว้ในหนังสือ “การคลัง” พ.ศ.๒๔๙๘ (มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จัดพิมพ์ใหม่ในโอกาสที่ศาสตราจารย์ ดร.ป๋วย อึ๊งภากรณ์ ได้รับการยกย่องจากองค์การยูเนสโก ให้เป็นบุคคลสำคัญของโลกผู้มีผลงานดีเด่นด้านการศึกษา สังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ ในวาระ ๑๐๐ ปี ชาตกาล ๙ มีนาคม ๒๕๕๙) มีความตอนหนึ่งว่า “เงินจ่ายของรัฐบาล ก็คือเงินของเอกชน เงินได้ของรัฐบาลก็ย่อมมาจากเงินจ่ายของเอกชน” ดังรูปภาพที่แสดงให้เห็นนี้
คำว่า “ผู้เกี่ยวข้อง” ตามมาตรา ๗๗ วรรคสองนี้ มีความหมายกว้างที่ใช้แทนบุคคลคือประชาชนที่เป็นเจ้าของเงินแผ่นดินที่เป็นเงินของประชาชนทั้งชาติ มิได้หมายถึงเฉพาะหน่วยงานของรัฐเท่านั้น เพราะทุกหน่วยงานมีหน้าที่ต้องนำเงินของประชาชนผู้มีหน้าที่เสียภาษีอากรให้รัฐนำมาใช้เป็นงบประมาณเพื่อประโยชน์จะได้กลับมายังประชาชนที่เป็นผู้เกี่ยวข้องโดยตรงก็จากการรับฟังความเห็นของประชาชนโดยตรง
ฉะนั้น ถ้าได้พิจารณาความในมาตรา ๗๗ วรรคสองนี้ให้ครบถ้วนโดยไม่มีการบิดเบือนแล้ว จะแสดงให้เห็นขั้นตอนที่ชัดเจนทั้งระหว่างการตรากฎหมายและเมื่อกฎหมายมีผลใช้บังคับแล้ว ว่ามีขั้นตอนที่รัฐจะต้องปฏิบัติ ดังนี้
๑.ต้องรับฟังประชาชนผู้เกี่ยวข้องก่อนที่จะรับฟังจากหน่วยงานของรัฐ
๒.เพื่อหน่วยงานของรัฐที่เป็นหน่วยรับงบประมาณจะได้นำไปวิเคราะห์ผลกระทบที่ขอรับหรือจัดสรรงบประมาณรายจ่ายเพื่อเกิดประโยชน์แก่ประชาชนโดยตรง
๓.เมื่อได้มีการปฏิบัติตาม ๑.และ ๒.ก็จะเป็นประโยชน์ในการพิจารณาวิเคราะห์ร่างพระราชบัญญัติงบประมาณที่ครบถ้วนสมบูรณ์ทุกขั้นตอน ทั้งในวาระที่ ๑ ขั้นรับหลักการ และในชั้นพิจารณาของคณะกรรมาธิการวิสามัญ จนถึงการพิจารณาในวาระที่ ๒ และ ๓ ที่จะให้มีผลใช้บังคับ เพื่อจะได้มีการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมายงบประมาณต่อไป
จึงกราบเรียนมายังท่านนายกรัฐมนตรี ในฐานะเป็นผู้รักษาการกฎหมายฉบับนี้ได้ให้ความสำคัญกับประชาชนโดยจัดให้มีการดำเนินการรับฟังความคิดเห็นให้ครบถ้วนสมบูรณ์ตามมาตรา ๗๗วรรคสอง โดยเร่งด่วน เช่นเดียวกับที่ให้ความสำคัญโดยขอความเห็นจากประชาชนในคำถามสี่ข้อที่กำลังรับฟังอยู่ในขณะนี้
เพราะยังมีระยะเวลาเหลืออยู่พอเพียงที่จะดำเนินการตามมาตรา ๗๗ วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญ จนกว่าจะถึงวันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๖๐ วันเริ่มต้นปีงบประมาณ ๒๕๖๑ และข้อสำคัญเมื่อกฎหมายฉบับนี้มีผลใช้บังคับจะได้ไม่มีปัญหาข้อกฎหมายว่าขัดแย้งต่อรัฐธรรมนูญที่เป็นกฎหมายสูงสุดดังเช่นการตัดรายจ่ายตามข้อผูกพันในงบประมาณปี ๒๕๖๐
และเพื่อจะได้ใช้เป็นบรรทัดฐานที่ได้นำมาตรา ๗๗ วรรคสองมาปฏิบัติในการตรากฎหมายงบประมาณ ๒๕๖๑ เป็นครั้งแรก อันจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการจัดทำงบประมาณปีต่อๆ ไปที่จะต้องมีอยู่อย่างนี้และดำเนินเช่นนี้ตลอดไปไม่ขาดสาย
ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.ปรีชา สุวรรณทัต
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี