“เรียนให้สูงๆ นะลูก จะได้เป็นเจ้าคนนายคน” คือคำพูดของพ่อแม่ปู่ย่าตายายที่พร่ำบอกสอนลูกสอนหลานในอดีต
“บัณฑิตในสังคมไทยจำนวนนับแสนๆ คนตกงาน” นี่คือความจริงในยุคปัจจุบัน
ข้อมูลจากสำนักงานสถิติแห่งชาติ เมื่อเดือนเมษายน 2558 ระบุว่า ผลสำรวจสภาวการณ์การทำงานของประชากรไทยในเดือนเมษายน 2558 พบว่ามีผู้มีงานทำ 37.53 ล้านคน ว่างงาน 3.24 แสน
ข้อมูลที่น่าสนใจคือ พบว่ามีผู้ว่างงานที่สำเร็จการศึกษาระดับอุดมศึกษา(ระดับปริญญาตรี) มากถึง 1 แสน 3 หมื่น 9 พันคน รองลงมาคือผู้จบการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนต้น 7 หมื่น 1 พันคน และรองลงมาคือผู้จบการศึกษาระดับประถมศึกษา 5 หมื่น 4 พันคน และตามมาด้วยผู้จบการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย 4 หมื่น 9 พันคน
อย่างไรก็ตาม เคยมีรายงานจากสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ระบุว่าเมื่อปี 2557 พบว่าผู้จบการศึกษาระดับปริญญาตรีมีอัตราการว่างงานสูงที่สุดร้อยละ 1.54 โดยเฉพาะผู้จบการศึกษาจากสายสังคมศาสตร์เช่น นิเทศศาสตร์ วารสารศาสตร์ และสารสนเทศ โดยมีสถิติว่างงานร้อยละ 2.77 สายศิลปกรรมว่างงานร้อยละ 2.76 และสายมนุษยศาสตร์ว่างงานร้อยละ 2.71
สาเหตุที่ผู้จบการศึกษาจากสายดังกล่าวว่างงานเป็นจำนวนมาก เพราะจบมาจากสาขาที่ผลิตบัณฑิตมากเกินความต้องการของตลาดแรงงานมาโดยต่อเนื่อง ประกอบกับผู้ประกอบการที่เป็นผู้ว่าจ้างแรงงานก็พยายามลดต้นทุนการผลิตโดยการเน้นรับบุคลากรที่มีคุณสมบัติและความสามารถที่ตรงกับความต้องการในการผลิต
สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา(สกอ.) รายงานตัวเลขของผู้สำเร็จการศึกษาประจำปี 2558 พบว่ามีจำนวน 3 แสน 1 หมื่น 5 พันคน โดยผู้สำเร็จการศึกษาเกินกว่าครึ่งหนึ่งเป็นบัณฑิตจากสายสังคมศาสตร์ มนุษยศาสตร์และศึกษาศาสตร์ รองลงมาเป็นบัณฑิตจากสาขาวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมศาสตร์ ส่วนบัณฑิตที่เหลือกระจายไปตามสาขาการบริการ สาขาการเกษตร สาขาด้านการแพทย์และสุขภาพ และพบว่าสัดส่วนของผู้สำเร็จการศึกษาที่เพิ่มขึ้นนั้นไม่สอดคล้องกับความต้องการแท้จริงของตลาดแรงงานไทย
เมื่อดูผลสำรวจจากกองวิจัยตลาดแรงงาน กรมการจัดหางานระบุว่าสาขาแรงงานที่ขาดแคลนมากคือ ด้านการแพทย์และสุขภาพธุรกิจไอที ธุรกิจบริการด้านการเงิน และด้านวิทยาศาสตร์ แต่ที่น่าสนใจมากคือ มีความต้องการผู้สำเร็จการศึกษา โดยเฉพาะแรงงานจากสายช่างมากเป็นพิเศษ หรืออาจกล่าวได้ว่าตลาดแรงงานซึ่งเป็นที่ต้องการมากที่สุดคือ ผู้สำเร็จการศึกษาขั้นประกาศนียบัตรวิชาชีพ(ปวช.) และประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง(ปวส.)
จากการติดตามดูปัญหานี้มาอย่างต่อเนื่อง ทำให้ผู้เขียนพบว่าสังคมไทยมีปัญหาบัณฑิตจบใหม่ทางด้านสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ รวมถึงสายศิลปศาสตร์แต่ไม่มีงานทำ คือปัญหาที่สั่งสมมายาวนานมากเกือบ 2 ทศวรรษ แต่ทว่าคนในสังคมไทยก็กลับไม่นิยมเรียนในสายวิชาชีพ โดยเฉพาะในระดับปวช. และปวส. ทั้งนี้ปัญหาอาจจะเกิดมาจากค่านิยมที่ผิดๆ ที่เชื่อว่า ถ้าหากต้องการจะเป็นเจ้าคนนายคน แต่จบการศึกษาระดับปริญญาตรี แต่ทว่าผู้ที่จบปริญญาตรีจำนวนมาก กลับไม่มีความรู้ความสามารถที่จะทำงานได้อย่างแท้จริง
อย่างไรก็ตาม จากข้อมูลเบื้องต้นที่ผู้เขียนได้สอบถามจากผู้สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีจากสาขาวิศวกรรมศาสตร์ ด้านคอมพิวเตอร์ ด้านบริหารธุรกิจ และด้านการเงินการธนาคาร ก็พบเช่นกันว่า ผู้ที่จบการศึกษาด้านดังกล่าว แต่ถ้าหากไม่มีความรู้อย่างเข้มข้นจนทำให้ผู้เป็นนายจ้างประจักษ์ในความสามารถแล้ว ก็จะกลายเป็นบัณฑิตตกงานได้ไม่ต่างไปจากผู้ที่จบการศึกษาระดับปริญญาตรีจากสาขาสังคมศาสตร์ เช่นกัน
มีคำถามว่าทำไมจบปริญญาตรี แล้วไม่มีงานทำ
ก็ต้องถามกลับว่า แล้วคนที่อ้างว่าจบปริญญาตรี มีความรู้ด้านวิชาการจริงแท้แค่ไหน หรือมีความสามารถในการทำงานอย่างโดดเด่นหรือไม่ เพราะข้อเท็จจริงที่พบกันเป็นประจำคือ จบปริญญาตรีก็จริง แต่เมื่อถูกถามถึงความรู้ด้านทฤษฎีก็ตอบไม่ได้ ครั้นเมื่อให้ทดลองทำงาน ก็ทำไม่สำเร็จ ถ้าเป็นเช่นนี้แล้ว ก็ไม่ต้องสงสัยว่า เหตุใดจึงตกงาน
นักศึกษาจำนวนไม่น้อย อยากแต่งกายด้วยชุดนักศึกษา แต่ไม่เคยถามตัวเองอย่างแท้จริงว่า ตนเองสนใจที่จะศึกษาหาความรู้อย่างจริงจังหรือไม่ บางคนอยู่ในอาการเสียสติอย่างหนัก เพราะอุตส่าห์ยอมจ่ายสตางค์ค่าเล่าเรียนในแต่ละภาคการศึกษาเป็นเงิน 3-4 หมื่นบาท แต่กลับไม่สนใจใฝ่หาความรู้ให้สมกับเงินที่ต้องจ่ายไปทุกๆ เทอม
ผู้สวมชุดนักศึกษาจำนวนไม่น้อย ไม่เคยอ่านหนังสือเรียน แล้วก็ไม่เคยค้นคว้าหาความรู้จากตำราโดยแท้จริง นักศึกษาจำพวกนี้หวังแค่เพียงขอให้ตนเองสอบผ่านในแต่ละวิชา และขอให้ตนเองได้รับปริญญาบัตร โดยไม่สนใจและไม่นำพาว่าตนเองจะมีความรู้
ที่จะสามารถออกไปแข่งขันกับผู้อื่นได้หรือไม่ คนพรรค์อย่างนี้ขอแค่เพียงปริญญาตรีใบเดียว แต่สุดท้ายคนเหล่านี้ก็ต้องทนทุกข์ เพราะได้ปริญญาตรีไปหนึ่งใบ แต่ไร้ความรู้ เมื่อไร้ความรู้ก็ไม่สามารถหางานทำได้ คนจำนวนไม่น้อยในกลุ่มนี้จึงนับได้ว่าเป็นผู้สนับสนุนให้เจ้าของมหาวิทยาลัยมีรายได้เป็นกอบเป็นกำ แต่ทว่าตนเองกลับเป็นผู้ไร้อนาคต
นักศึกษา หรือหากจะเรียกให้ถูกต้องก็คือผู้สวมชุดนักศึกษาจำนวนมาก เลือกเรียนตามแฟชั่น ตามกระแส แต่ไม่เคยถามตัวเองให้ชัดเจนว่าตนเองสนใจสายวิชาชีพที่ตนเองเรียนหรือไม่ บางคนอ้างว่าต้องการเรียนสายสังคมศาสตร์เพื่อหนีวิชาคณิตศาสตร์ บางคนบอกว่าสนใจเรียนด้านวิทยาศาสตร์ เพราะต้องการหนีวิชาด้านภาษาศาสตร์ แต่สุดท้ายแล้วคนเหล่านี้ก็หนีปัญหาการตกงานไม่พ้น
ผู้เขียนเคยคุยกับนักศึกษามหาวิทยาลัยเอกชนสองสามแห่งที่เรียนในคณะวิศวกรรมศาสตร์ และคณะที่สอนด้านคอมพิวเตอร์ว่า ทำไมจึงไม่มีงานทำ ทั้งๆ ที่จบจากคณะวิศวะฯ และจบด้านคอมพิวเตอร์ ซึ่งเป็นสายวิชาชีพที่ตลาดแรงงานต้องการ ก็ได้รับคำตอบว่า ไปสมัครงานหลายที่แต่ไม่มีใครรับ ครั้นถามต่อไปว่าลองวิเคราะห์ตัวเองหรือไม่ว่าทำไมนายจ้างจึงไม่รับเข้าทำงาน เขาก็อ้างว่าเพราะตนเองจบจากมหาวิทยาลัยเอกชน ไม่มีเส้นไม่มีสาย จึงไม่มีงานทำ สู้พวกที่จบจากมหาวิทยาลัยของรัฐไม่ได้ พวกนั้นเส้นสายดีกว่า จึงได้งานทำ
นี่คือคำตอบจากบัณฑิตตกงานที่จบจากมหาวิทยาลัยเอกชน แต่ในความเป็นจริงแล้ว ผู้เขียนก็พบเช่นกันว่า บัณฑิตจำนวนไม่น้อยที่จบจากสถาบันการศึกษาของรัฐก็ตกงานเช่นกัน เพราะฉะนั้นข้ออ้างเรื่องเส้นสายจึงไม่น่าจะเป็นข้ออ้างที่ถูกต้องร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ปัญหาน่าจะอยู่ที่ความรู้ความสามารถของบัณฑิตเองมากกว่า แต่ทว่าบัณฑิตจำนวนไม่น้อยก็กลับไม่เคยพิจารณาตัวเอง
ผู้เขียนเคยสอบถามนักศึกษาที่เรียนในคณะนิเทศศาสตร์ และวารสารศาสตร์ ทั้งในมหาวิทยาลัยของรัฐและของเอกชนว่า คุณๆ อ่านข่าว ดูข่าว ฟังข่าวการเมือง ข่าวเศรษฐกิจ ข่าวต่างประเทศ บ้างหรือไม่ คำตอบที่ได้รับคือ ไม่ค่อยได้อ่าน ไม่ค่อยได้ฟัง และไม่ค่อยได้ดู แต่เมื่อถามต่อไปว่า งั้นก็แสดงว่าติดตามบ้างใช่หรือไม่ คำตอบที่ได้รับคือ ไม่
เมื่อได้ยินเช่นนี้ก็จึงถามต่อไปว่า เป็นนักศึกษานิเทศฯ วารสารฯ แต่ไม่ติดตามข่าวสารบ้านเมือง แล้วคุณมาเรียนวิชาในสาขานี้เพราะอะไร คำตอบคือ เพราะไม่ชอบวิชาเลข จึงเลือกเรียนคณะอะไรก็ได้ที่ไม่มีเลข เมื่อถามต่อไปว่า เมื่อไม่มีวิชาเลข ก็แสดงว่าคุณต้องชอบวิชาที่เกี่ยวกับด้านสังคมศาสตร์ คำตอบก็คือ ไม่ชอบ
นี่คือคำตอบจากผู้เรียนในคณะนิเทศฯ วารสารฯ จำนวนไม่น้อยในสังคมไทย
เมื่อคุณได้ฟังคำตอบเช่นนี้แล้ว คุณคงจะไม่สงสัยต่อไปใช่ไหมว่า ทำไมผู้จบการศึกษาระดับปริญญาตรีของไทยจำนวนไม่น้อยจึงไม่มีงานทำ
ถ้าหากคุณมีลูกมีหลานที่กำลังเรียนในระดับปริญญาตรี โดยที่ลูกหลานของคุณอาจจะตอบเช่นนี้ ก็ขอถามคุณกลับว่า คุณยังคิดจะเสียเงินจำนวนมากมายมหาศาลเพื่อผลลัพธ์ที่สูญเปล่าต่อไปหรือไม่
เฉลิมชัย ยอดมาลัย
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี