ความเป็นธรรมตามความคิดของยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
คือ ศาลต้องไม่พิพากษาว่าเธอผิด
และเธอไม่ต้องชดใช้ความเสียหายใดๆ
ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี อ้างว่า คำสั่งทางปกครองที่มีผลกับเธอนั้นไม่เป็นธรรม จึงขอโต้แย้งคำสั่งดังกล่าว และขอให้ปลัดกระทรวงการคลังและผู้เกี่ยวข้องร่วมกันพิจารณาเพิกถอนคำสั่งทางปกครองภายใน 7 วัน และเธอได้อ้างด้วยว่าคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิดเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ผู้ออกคำสั่งแต่งตั้ง ทั้งๆ ที่ประยุทธ์คือคู่ขัดแย้งโดยตรงกับเธอ เพราะประยุทธ์มาจากการยึดอำนาจโดยการรัฐประหารรัฐบาลที่เธอเป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งรัฐบาลของเธอมีส่วนเกี่ยวข้องกับโครงการรับจำนำข้าว เพราะฉะนั้นจึงถือได้ว่าประยุทธ์มีส่วนได้ส่วนเสียในเรื่องนี้ ดังนั้นเธอจึงสรุปว่า การออกคำสั่งแต่งตั้งครั้งนี้จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย และมีการชี้นำให้เกิดความไม่เป็นธรรม เป็นการเลือกปฏิบัติ ยิ่งลักษณ์อ้างด้วยว่าประยุทธ์เคยพูดในที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าว (นบข.) ซึ่งสรุปใจความสำคัญได้ว่า ให้คณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิด และผู้เกี่ยวข้องดำเนินคดีกับยิ่งลักษณ์โดยไม่จำเป็นต้องพิจารณาประเด็นความยุติธรรม ซึ่งประเด็นนี้ถือเป็นการสั่งการซึ่งไม่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งเป็นผลให้การดำเนินการในเรื่องนี้ทั้งหมดไม่ชอบด้วยกฎหมาย และไม่เป็นธรรมในทุกขั้นตอน
ข้อความข้างต้นนั้นคือ สาระสำคัญในหนังสือร้องเรียน ซึ่งยิ่งลักษณ์ส่งไปถึงปลัดกระทรวงการคลัง สมชัย สัจจพงษ์ โดยขอให้เพิกถอนคำสั่งให้ชดใช้ค่าเสียหายอันเกิดจากการจำนำข้าววงเงิน 3 หมื่น 5 พัน 7 ร้อยล้านบาทเศษ (ตัวเลขทั้งหมดคือ 35,717,273,028.23 บาท) ภายในระยะเวลา 7 วัน
สิ่งที่น่าสนใจในหนังสือฉบับดังกล่าวคือ ยิ่งลักษณ์ระบุชัดเจนว่า นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันไม่ให้ความเป็นธรรมกับเธอ เพราะมีฐานะเป็นคู่กรณีกับเธอโดยตรง
อดีตนายกรัฐมนตรีหญิงรายแรกของไทยยังอ้างด้วยว่า คำสั่งของหัวหน้าคสช. เลขที่ 39/2558 และเลขที่ 56/2559 ซึ่งเป็นการใช้อำนาจตามมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว พ.ศ. 2557 เพื่อให้มีการลงโทษเธอในครั้งนี้ไม่ชอบตามหลักรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว พ.ศ. 2557 เพราะว่าเป็นการกระทำอันนอกเหนือกรอบอำนาจมาตรา 44 โดยทำให้เกิดการชี้นำและยังเป็นผลโดยตรงให้คณะกรรมการพิจารณาความรับผิดทางแพ่งต้องพิจารณาเรื่องนี้โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ถือเป็นคำสั่งที่เลือกปฏิบัติและยังก้าวล่วงเขตอำนาจของศาลยุติธรรม โดยเฉพาะการสั่งให้กรมบังคับคดีเข้ายึดอายัดทรัพย์สินของเธอ แทนการดำเนินคดีตามปกติ
ยิ่งลักษณ์ อ้างด้วยว่า การพิจารณาของคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิด และคณะกรรมการพิจารณาความรับผิดทางแพ่งถือว่าไม่เป็นกลาง เป็นการเลือกปฏิบัติ เพราะกรรมการมีส่วนได้ส่วนเสีย และมีเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนโดยตรง ทำให้เกิดการกลั่นแกล้งและมุ่งประสงค์ร้ายกับเธอ โดยเฉพาะการออกคำสั่งหัวหน้า คสช. เพื่อคุ้มครองตัวของปลัดกระทรวงการคลัง รวมถึงผู้เกี่ยวข้องทุกคน เพื่อให้พ้นจากความรับผิดทางอาญา ทางแพ่ง และทางวินัยจากการดำเนินการเพื่อเอาผิดต่อตัวของเธอ แล้วเธอก็บอกว่า ทั้งหมดทั้งมวลนี้ล้วนแล้วแต่เป็นไปโดยไม่สุจริต
ข้ออ้างอีกอย่างหนึ่งของยิ่งลักษณ์ในเรื่องนี้คือ การที่มีคำสั่งให้เธอต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนในโครงการรับจำนำข้าว โดยอ้างว่ามีผู้ร่วมกระทำผิดร่วมกับเธอนั้น เธออ้างต่อไปว่า ตามความจริงแล้วยังไม่มีการสอบสวนข้อเท็จจริงใดๆ ว่าตัวของเธอได้กระทำผิดในขั้นตอนใด และทำผิดอย่างไร รวมถึงมีผู้ใดเป็นผู้กระทำ แต่กลับกลายเป็นว่านายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคสช. กลับเร่งรีบและรวบรัดกำหนดความผิดให้กับเธอ โดยระบุให้เธอต้องชดใช้เงินตามจำนวนที่ได้ระบุแล้วข้างต้น ซึ่งถือว่าขัดต่อมาตรา 8 แห่ง พ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ.2539 และขัดกับระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยหลักเกณฑ์การปฏิบัติเกี่ยวกับความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ.2539 ที่ผ่านแก้ไขแล้ว
ที่น่าสนใจคือ ยิ่งลักษณ์ยังได้เขียนในหนังสือร้องเรียนฉบับนี้ว่า เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม ตามหลักนิติธรรม การไม่เลือกปฏิบัติ และไม่กลั่นแกล้ง จึงขอให้ปลัดกระทรวงการคลัง และผู้เกี่ยวข้องดำเนินการเพิกถอนคำสั่งดังกล่าวภายใน 7 วัน มิฉะนั้นเธอจะใช้สิทธิดำเนินการทางกฎหมายต่อไป รวมถึงดำเนินการอื่นใดตามวิถีทางในระบอบประชาธิปไตยเพื่อความถูกต้องและเป็นธรรม อันเป็นการสร้างความถูกต้องและบรรทัดฐานต่อการบริหารบ้านเมืองที่เป็นประชาธิปไตยของประเทศไทย
เธอทิ้งท้ายข้อความในหนังสือว่า ขอให้แจ้งผลการพิจารณาให้ทราบ เพื่อป้องกันความเสียหายต่อทรัพย์สิน ชื่อเสียง ตลอดจนความเสียหายอื่นใด จึงสมควรเร่งด่วนเพื่อดำเนินการตามกำหนดระยะเวลาดังกล่าวข้างต้นโดยทันที นับตั้งแต่ได้รับหนังสือฉบับนี้
สำหรับผู้คนที่สนใจข่าวเรื่องนี้ และได้มีโอกาสอ่านหนังสือร้องเรียนฉบับนี้ของยิ่งลักษณ์แล้วคงจะมีความเห็นตรงกันว่า เธอมิเคยรับรู้แม้แต่น้อยว่าโครงการรับจำนำข้าวทุกเมล็ดในราคาตันละ 15,000 บาท ซึ่งเป็นนโยบายของรัฐบาลของเธอนั้นได้สร้างความเสียหายร้ายแรงต่อประเทศชาติอย่างไรบ้าง มิหนำซ้ำ เธอยังคงเข้าใจว่าเธอได้กระทำในสิ่งที่ถูกต้องดีงามต่อประเทศชาติ ดังจะพบว่า เธอบอกว่าเธอถูกกลั่นแกล้ง ไม่ได้รับความเป็นธรรม
น่าสนใจเป็นอย่างมากว่า เธอผู้นี้มีวิธีสร้างแรงบันดาลใจอย่างไรให้กับตนเอง หรืออาจจะกล่าวได้ว่าเธอมีวิธีสะกดจิตตัวเองอย่างไร จึงทำให้เธอเชื่อมั่นว่าเธอมิได้ทำอะไรผิดแม้แต่น้อย มิหนำซ้ำยังน่าสนใจตรงที่เธอยังกล้ากล่าวอ้างด้วยว่า เธอไม่ได้รับความเป็นธรรม
ขณะเดียวกัน เมื่อมองไปที่เรื่องซึ่งคณะกรรมการสืบทรัพย์ กระทรวงการคลัง ได้ส่งข้อมูลให้กรมบังคับคดีเพื่อให้อายัดทรัพย์สินต่างๆ อาทิ บัญชีเงินฝากธนาคาร 16 บัญชี ที่ดิน และรถยนต์ของยิ่งลักษณ์ แต่สุดท้ายยิ่งลักษณ์ก็ส่งทนายความไปยื่นคำร้องต่อศาลปกครองกลาง เพื่อขอให้ทุเลาการบังคับคำสั่งการอายัดทรัพย์สิน (ซึ่งเธอได้ยื่นคำร้องเรื่องนี้เป็นครั้งที่สองแล้ว)
แม้หลายคนอาจจะวิพากษ์วิจารณ์ไปต่างๆ นานาว่า ทางการจะสามารถยึดอายัดทรัพย์สินใดๆ จากยิ่งลักษณ์ได้บ้างหรือไม่ เพราะกว่าจะดำเนินการยึดอายัดทรัพย์ได้ก็ปล่อยให้ช่วงเวลาเนินนานล่าช้าถึง 8 เดือน จนถูกวิจารณ์ว่าไม่ตั้งใจจะยึดอายัด แต่หน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องก็อ้างว่า เรื่องเช่นนี้ต้องรอบคอบรัดกุม เพราะไม่สามารถดำเนินการโดยเร่งรัดได้ เนื่องจากต้องปฏิบัติตามข้อกฎหมายอย่างเคร่งครัด
ข้อเท็จจริงที่ได้จากรายละเอียดในบัญชีทรัพย์สินที่ยิ่งลักษณ์เคยให้กับคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ
(ป.ป.ช.) ในวันที่เธอพ้นจากตำแหน่งครบ 1 ปี คือเมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม 2558 พบว่ามีทรัพย์สินทั้งสิ้น 610,843,436 บาท จำแนกเป็นเงินสด 14,298,120 บาท เงินฝากในบัญชีธนาคารทั้งหมด 16 บัญชีรวมเป็นเงิน 24,908,420 บาท เงินลงทุน 115,531,804 บาท เงินให้กู้ยืม 108,301,369 บาท ที่ดินมูลค่า 117,186,350 บาท สิ่งปลูกสร้างมูลค่า 162,368,182 บาท รถยนต์มูลค่า 21,990,000 บาท สิทธิและสัมปทาน เช่น กรมธรรม์ประกันชีวิตมูลค่า 596,189 บาท และทรัพย์สินอื่นๆ เช่น เครื่องประดับมูลค่า 45,690,000 บาท
แต่เมื่อมาดูในเรื่องที่ยิ่งลักษณ์ได้ยื่นศาลปกครองกลางเพื่อขอทุเลาคำสั่งบังคับอายัดทรัพย์สินครั้งแรกในช่วงต้นปี พ.ศ. 2560 เธอกลับระบุว่ามีเงินฝาก 19 บัญชี ซึ่งไม่ตรงกับที่เธอแจ้งกับป.ป.ช. ว่ามี 16 บัญชี และพบด้วยว่ายอดเงินฝากในบัญชีธนาคารกรุงเทพ สาขาซอยอารีย์ เลขที่ 127-4-20316-3 มียอดเงินฝากประมาณ 45 ล้านบาท แต่เธอแจ้งกับป.ป.ช.เมื่อปี 2558 ว่ามียอดเงินรวมเกือบ 25 ล้านบาทใน 16 บัญชี (อ่านรายละเอียดของบัญชีเงินฝากเพิ่มเติมได้จากสำนักข่าวอิศราเรื่อง คุ้ยสมบัติล่าสุดปูก่อนถูกไล่บี้อายัด เงินฝากเพิ่มอื้อ-ที่ดินสร้างบ้านพักคนงานโผล่? วันที่ 26 กรกฎาคม 2560)
เรื่องเงินสดของยิ่งลักษณ์นั้น มีเหตุน่าสงสัยว่าเป็นเงินของใครกันแน่ระหว่างของเธอเองกับของทักษิณ ชินวัตร ซึ่งได้มาจากการขายหุ้นชินคอร์ป เพราะถ้าอ้างจากการไต่สวนของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองที่วินิจฉัยว่าทักษิณยังคงถือไว้ซึ่งหุ้นชินคอร์ป ตามจำนวนที่อ้างว่าขายให้กับยิ่งลักษณ์ไปแล้ว โดยเคยแจ้งเรื่องการครอบครองไว้ประมาณ 77 ล้านบาท แต่ระหว่างวันที่ 22 มิถุนายน 2555 ถึง 6 พฤษภาคม 2558 ได้ยืมเงินฝากในบัญชีดังกล่าวจากทักษิณรวม 33,070,803 บาท โดยอ้างว่าทักษิณให้ยืมเงินก้อนนี้โดยไม่คิดดอกเบี้ย
และยังมีเรื่องที่น่าสนใจอีกประเด็นหนึ่งคือยิ่งลักษณ์ชี้แจงต่อศาลว่า เธอมีค่าใช้จ่ายในปัจจุบันประมาณเดือนละ 2,650,000 บาท แบ่งเป็นค่าใช้จ่ายในครัวเรือน 1 ล้านบาท ค่าใช้จ่ายเพื่อการศึกษา กิจกรรมเพื่อการศึกษา ค่าอาหาร และค่าใช้จ่ายส่วนตัวของลูก 2 แสนบาท ค่าที่ปรึกษากฎหมาย และค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดี 2 แสนบาท ค่าใช้จ่ายส่วนตัว 8 แสนบาท และค่าใช้จ่ายในการช่วยเหลือ และเดินทางเยี่ยมเยียนประชาชน 4.5 แสนบาท
เมื่อพยายามติดตามคำพูดต่างๆ นานาของยิ่งลักษณ์ในโอกาสต่างๆ แล้ว จะพบว่าเธอมีข้ออ้างสารพัดสารพัน แต่ทว่ามีสิ่งหนึ่งที่เธอยังคงเรียกร้องเหมือนเดิมคือ เธอขอความเป็นธรรมให้ตัวเองตลอดเวลา ซึ่งคนที่รู้ทันเธอก็ตีความตรงกันว่า ความเป็นธรรมของเธอก็คือศาลต้องไม่ลงโทษเธอ
เฉลิมชัย ยอดมาลัย
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี