เราคนไทยแทบทุกคนก็รู้ว่า การละคร ร้องรำทำเพลงที่ใช้หุ่นเชิดหนังเป็นศิลปวัฒนธรรมพื้นบ้านของดินแดนภาคใต้ที่เรียกว่า หนังตะลุง เวลาใครได้ดู ต่างก็ได้รับทั้งความสนุกสนาน ขบขัน ควบคู่ไปกับการได้ความรู้ ได้คติธรรม รวมถึงได้รับความแหลมคมของการใช้ภาษา แม้ตัวหุ่นจะไม่ได้มีชีวิต แต่เมื่อมีผู้เชิดหุ่นที่มีฝีมือบวกกับมีผู้เล่น ทั้งผู้ขับร้องผู้เล่นดนตรีประกอบ ก็ทำให้หุ่นนั้นดูเหมือนมีชีวิตขึ้นมาได้อย่างน่าอัศจรรย์
ซึ่งในพื้นที่อีกด้านหนึ่งของประเทศไทยคือ ภาคเหนือ ก็มีความโด่งดังของศิลปะการแสดง ในทางการฟ้อนรำ ขยับตามเสียงดนตรี ด้วยเครื่องแต่งกายที่สวยงาม ไม่ได้มีการละเล่นหุ่นเชิดแบบภาคใต้
แต่ในเวลาที่ผ่านมาไม่นานมานี้ ได้มีชาวเหนือบางคนทำการสรรสร้างละครหุ่นเชิด ที่ใช้หุ่นเป็นคนจริงๆ มาแสดงละครการเมือง ให้ชาวไทยได้ดูกันในช่วงกว่า 6 ปีที่ผ่านมานี้ โดยผู้ชักใยก็คอยขับเคลื่อนชักอยู่เบื้องหลังฉาก ให้หุ่นแสดงบทบาทไปตามที่กำหนด ซึ่งก็หลุดบทหลุดโพยของผู้ชักหุ่นไปบ้าง ก็ถือเป็นสีสันที่หาไม่ได้ใน ละครหุ่นชักทั่วๆ ไป
นับจากนั้น หุ่นมีชีวิตตัวนี้ ไม่ได้มีคนชักเพียงคนเดียว แต่เป็นการมะรุม-มะตุ้ม เชิดกันจนวุ่นวาย บ้างก็ต้องบอกบท ให้มีมนุษย์รอบข้างออกมาเป็นลูกคู่ให้กับหุ่นเชิด ในเวลาที่หุ่นนั้นเริ่มเป๋ เริ่มเซออกนอกบท
ในตอนเริ่ม หุ่นมนุษย์ที่ได้รับการออกแบบเสื้อผ้าหน้าผม การแต่งกาย มาเป็นอย่างดี เมื่อออกสู่สายตาสาธารณชน ก็ได้รับความนิยมจากผู้คนมากมาย เพราะเล่นบทออดอ้อนผู้ชมได้อย่างยอดเยี่ยม เป็นที่ภูมิอกภูมิใจของผู้ชักใย เพราะมีแฟนคลับมาคอยติดตามรอชม รอให้กำลังใจอยู่ทั่วไป
เมื่อเวลาผ่านไป ก็ได้รับคำสรรเสริญเยินยอจากผู้คนรอบข้างทั้งใกล้และไกล จนหุ่นเชิดเริ่มติดลม เกิดสำคัญตนไปเองว่าเก่งกล้าว่าฉันนั้นเป็นขวัญใจ เป็นฮีโร่ โดยอาจจะลืมไปว่า ที่ละครหุ่นเชิดภาคเหนือเรื่องนี้ ได้รับความนิยมขึ้นมาได้ เพราะมีคนกำหนดบทบาท ชักใย ใส่สคริปต์ต่างหาก
หากผู้ชมจะสังเกตกันดีๆ ก็จะเห็นได้โดยง่าย ว่าละครหุ่นเชิดเรื่องนี้ ไม่มีความสมจริงสมจัง โดยเฉพาะในบทพูดที่ต้องตอบสนองต่อผู้สนทนาอื่นๆ มักจะออกทะเลไปไกลในทำนองถามกล้วยตอบแอปเปิ้ลเสียก็มาก ส่วนบทท่องมากล่าว ก็ผิดๆ ถูกๆ ขาดๆ เกินๆ จนกลายเป็นที่ขบขันเฮฮาในหมู่สาธารณชนก็หลายหน แต่ก็คงเพราะหุ่นเชิดนั้นหูอื้อ จึงมิเคยได้ยินเสียงสะท้อนจากผู้ชม ผู้ดู ว่าการแสดงของตนนั้นไม่ได้แนบเนียนอย่างที่ตนคิด
เมื่อละครหุ่นเชิดแสดงไปเรื่อยๆ ก็เล่นตามบทที่เสี่ยงต่อกฎหมาย และศีลธรรมจรรยา ตามสไตล์ที่ผู้ชักใยนั้นถนัด ไอ้วันที่มีอำนาจวาสนา ก็พอจะปิดช้างทั้งตัวด้วยใบบัวได้ แต่พอมาถึงวันที่บุญพา วาสนาหด บรรดาความผิดต่างๆ ที่ทำตามสคริปต์ก็ผุดขึ้นมา ว่าหุ่นเชิดนั้นได้ทำความเสียหายต่อบ้านเมืองไปอย่างไรบ้าง
พอต้องขึ้นโรงขึ้นศาล ผู้ชักหุ่นเชิดก็เลยกระซิบบอกหุ่นเชิดว่า อย่าไปกลัว ให้รีบๆ บีบน้ำตา และเล่นบทผู้น่าสงสารเอาไว้ บอกสังคมไปว่าโดนกลั่นแกล้ง เป็นเรื่องถูกอิจฉาริษยา (หรือถ้าพูดเป็นภาษาการเมืองก็บอกว่า ข้อกล่าวหานั้นมีเรื่องการเมืองเป็นสาเหตุ) ตลอดเวลาที่ผ่านมา ฉันเล่นแต่บทที่แสนจะดีแท้ต่อบ้านเมือง ดีต่อชาวไร่ชาวนา และผู้ใช้แรงงาน ทำตามนี้ได้ เดี๋ยวก็ดีเอง
ได้รับการบอกบทมาดังนั้น หุ่นเชิดก็ทำตามอย่างว่านอนสอนง่าย ซึ่งไม่สามารถชี้ชัดได้ว่า เป็นเพราะมีปัญญาแคบ ไม่สามารถเข้าใจได้ว่า บทที่ถูกให้เล่นนั้นมันไม่ดีต่อบ้านเมืองอย่างไร หรือว่าจริงๆก็คิดได้ว่ามันเป็นสิ่งไม่ดีต่อชาติ หากแต่ถูกผู้เชิดหลอกให้เชื่อว่า แสดงไปเถิด ไม่มีอะไรสามารถมาแตะต้องหุ่นได้ หุ่นก็เลยเหลิงไปกับอำนาจ ทุนทรัพย์ และคำเยินยอ พาลคิดไปเองว่า ฉันนี้มีความนิยมมากมาย มีคะแนนเสียงท่วมท้น แม้กระทั่งกระบวนการยุติธรรมก็ไม่มีทางกล้ามาตอแยเป็นแน่
แต่ไม่ว่าอย่างไร ก็พอบอกได้ว่า จนถึงบัดนี้ หุ่นมนุษย์ตนนี้ก็ยังไม่ได้เข้าใจเลยว่า บทที่ตนเองเล่นมาโดยตลอดนั้น เป็นแค่เครื่องมอมเมาประชาชน โดยมีวัตถุประสงค์ที่จะใช้ประชาชนเป็นเครื่องมือสนับสนุน โดยให้บรรดาแฟนคลับคอยมองด้วยความชื่นชมไปที่หุ่น จนเผลอไผล ให้ผู้เชิดหุ่น ได้แอบล้วงมือไปฉกเงินในกระเป๋าของประชาชนมาปู้ยี่ปู้ยำได้ตามอำเภอใจ ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นการจ่ายค่าเชิดหุ่นให้ดูอย่างมีความสุขที่แสนแพงเพียงเท่านั้น
ในแง่หนึ่ง หุ่นมนุษย์ก็ควรได้รับความสงสาร ความสมเพช จากผู้ชมอยู่บ้าง แต่ในอีกแง่หนึ่ง ก็ต้องโทษเจ้าตัวหุ่นมนุษย์นี้ด้วยว่า เป็นมนุษย์เช่นเดียวกับคนชักใยแท้ๆ ทำไมจึงไม่ตระหนักถึงดีชั่วได้ด้วยตนเองบ้างหรือ นอกจากนั้นก็ยังลอยหน้าลอยตา ปิดหูไม่รับฟังบรรดาเสียงนกเสียงกาที่ร้องเตือน ร้องประณามในบทบาทที่ตนแสดงอยู่ทุกวี่ทุกวัน ซึ่งถ้าหากได้ยิน ได้ฟังก็น่าพอนำไปไตร่ตรองขบคิดได้บ้าง คนดูเขาก็เลยเข้าใจไปว่า หุ่นเชิดเองคงพึงพอใจที่ได้เป็นหุ่นเชิดเสียจนลืมเลือนศักดิ์ศรีแห่งความเป็นมนุษย์ของตนไปเสียแล้วกระมัง จนกระทั่งไม่รู้ซึ่งความรู้ดีรู้ชั่วในตัว คงสิ้นม้วยมรณาไปในสภาวะหุ่นเชิดมนุษย์
และในไม่กี่วันข้างหน้านี้ หุ่นมุนษย์ก็จะได้รับการตัดสินความ ในสิ่งที่ตนได้กระทำตามบทที่ผู้อื่นชักใย อาจจะเรียกได้ว่ามารับเคราะห์แทนผู้ชักใยก็เป็นได้ ซึ่งหากถูกตัดสินให้รับโทษหุ่นมนุษย์ผู้นี้คงได้เฝ้าตั้งคำถามให้กับตนเองว่า เหตุใดหนอผู้ชักใยจึงได้ใจดำอำมหิต ชักใยตัวเราให้เล่นบทที่ชั่วช้า ทั้งๆ ที่ฉันเองไม่ได้รู้อีโหน่อีเหน่อะไรด้วยเลย
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี