ช่วงนี้เริ่มมีม็อบมาไม่เว้นแต่ละวัน จากที่ไม่เคยมีหรือไม่กล้ามา อย่างล่าสุดเกษตรกรผู้ปลูกมะนาวกลุ่มหนึ่งออกมาเรียกร้องรัฐบาลช่วยแก้ปัญหาราคามะนาวตก ที่ผ่านมาเป็นเพราะรัฐบาลล่าช้าและไม่ใส่ใจ สถานการณ์เช่นนี้อย่ามองว่าเล็กและอย่าเมินเฉย เพราะตอนนี้อะไรก็ไม่เหมือนเดิมและหลายรัฐบาลจุดเปลี่ยนก็มาจากจุดเล็กๆ นี้
เรื่องบางเรื่องที่รัฐบาลเคยทำได้ดี แต่วันนี้ดูไม่น่าเชื่อว่าเป็นแบบนั้นอีกต่อไป นั้นคือเรื่องความเชื่อมั่นของประชาชนที่มีในเรื่องความเด็ดขาด เรื่องจัดการปัญหาการทุจริต เรื่องจัดการความขัดแย้ง ที่ทั้งหมดเป็นจุดเด่นของรัฐบาลคสช.มาตลอด แต่ดูเหมือนตอนนี้จะไม่เป็นและดูคลุมเครือ ในขณะที่ปัญหาเศรษฐกิจกำลังถูกรุมเร้า ความนิยมกับความอดทนอดกลั้นมีเส้นบางๆ ที่ใกล้กันเข้าไปทุกที
อย่าลืมว่าอำนาจของรัฐบาล และสิ่งค้ำบัลลังก์หลังรัฐประหารคือความเบื่อหน่ายของประชาชนต่อนักการเมืองที่ทุจริต และความขัดแย้งของประชาชน นำมาซึ่งพลังมวลชนที่ให้การสนับสนุนพล.อ.ประยุทธ์ ด้วยความศรัทธาและเชื่อใจว่าจะสามารถจัดการปัญหาต่างๆ ได้เด็ดขาดและสงบเรียบร้อย ซึ่งต้องยอมรับว่าทำได้ดีช่วงปีแรกๆ แต่ถึงวันนี้ ล่าสุดต่อกรณีอดีตนายกฯเสื้อแดงที่ชนะคดีกลุ่มพันธมิตรฯ นอกจากสร้างความประหลาดใจให้เหล่าแฟนคลับนายกฯแล้ว ยังจุดประเด็นตั้งคำถามว่า เมื่อใดที่ประเด็นทุจริตเกี่ยวข้องกับคนรอบๆตัวรัฐบาลแล้ว กลับไม่เห็นท่าทีที่เด็ดขาด เด็ดเดี่ยวในการจัดการ ของพล.อ.ประยุทธ์ กล่าวคือแต้มบวกตอนนี้ไม่บวกอีกต่อไปแล้ว?
อีกขาหนึ่งคือการบริหารบ้านเมือง ไม่ว่าด้านการศึกษา พลังงาน สาธารณสุข ที่แม้ยังไม่อาจบอกว่าดีหรือไม่ดี แต่สิ่งที่ประชาชนรู้สึกเป็นปัญหาและรอไม่ได้คือ การบริหารงานด้านเศรษฐกิจที่ล้มเหลว ต้องยอมรับว่า เกิดภาวะเงินฝืดของระดับรากหญ้า เงินเข้ากระเป๋าไม่เพียงพอจับจ่ายใช้สอย ราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ ยอดขายสินค้าอุปโภคบริโภคก็ลดลง หรือสินค้าอุตสาหกรรมภายในก็ลดลง เป็นผลให้เกิดการชะงักของเงินหมุนเวียนในประเทศ ส่งผลกระทบมากถึงประชาชนระดับกลางถึงล่างเห็นได้จากธนาคารออมสินเปิดเผยผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นเศรษฐกิจฐานรากหรือ GSI กลุ่มตัวอย่างที่มีรายได้ไม่เกิน 15,000 บาททั่วประเทศ ตกมาอยู่ที่ระดับ 46.3 ซึ่งเป็นการตกต่อเนื่องตลอด และต้องยอมรับว่า ในมิติทางเศรษฐศาสตร์ถือว่าอยู่ในระดับเข้าสู่ปัญหาแล้ว เพราะเป็นเรื่องความเชื่อมั่นระดับฐานรากต่อสภาวะเศรษฐกิจของประเทศ ต่อเรื่องค่าครองชีพและการจับจ่ายใช้สอยที่ลดลง ประกอบกับความสามารถในการชำระหนี้และหารายได้ก็ลดลงเช่นกัน เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อนหน้าและก่อนหน้า สัญญาณเหล่านี้คือเครื่องบ่งชี้อันตรายต่อความเชื่อมั่นรัฐบาลใกล้เข้ามาถึง ขณะที่แขนขารัฐบาลคือระบบราชการที่เป็นกลไกขับเคลื่อนนโยบาย มีความห่างไกลกับประชาชนมากขึ้นไปทุกวัน!!!
ความประมาทของรัฐบาล 2 เรื่องนี้ ส่งผลลดทอนความไว้เนื้อเชื่อใจประชาชนต่อกระบวนการการทำงานของรัฐบาลเอง และยังเปิดช่องให้ฝ่ายตรงข้ามโจมตีได้ โดยแบ่งเป็น 2 ประการ ประการแรกจากปัญหาความเดือดร้อนเรื่องปากท้อง บ่มเพาะความไม่พอใจเป็นทุนเดิม จึงง่ายต่อการปลุกระดมให้ต่อต้านรัฐบาล ประการที่สอง ความไว้เนื้อเชื่อใจในการปราบปรามการทุจริต ที่สุดท้ายกลายเป็นความไม่เชื่อใจและสุ่มเสี่ยงที่ฝ่ายตรงข้ามจะใช้เป็นเครื่องมือชักจูงให้ผู้สนับสนุนเปลี่ยนข้างได้
นอกจากประเด็น 2 เรื่องนั้นแล้ว พล.อ.ประยุทธ์ยังประสบปัญหา คิดดี พูดดี แต่งานไม่เดิน นั้นคือไม่มีใครปฏิเสธเรื่องทัศนคติของท่าน แต่เรื่องผลงานที่ไม่เกิด และการปฏิบัติล่าช้านั้น ปฏิเสธไม่ได้ เรื่องนี้ปัญหาไม่ได้เกิดที่ผู้นำ หากเกิดจากแขนขาที่ทำงานแทนให้กระบวนการถ่ายโอนอำนาจ และการทำงานที่ให้อำนาจอยู่ที่ข้าราชการทั้งหมด จนเกือบจะเป็นรัฐราชการแล้ว?
ตลอด 3 ปีการทำงาน สนช. พบมีการแก้ไขกฎหมายจำนวนมากที่ให้อำนาจข้าราชการประจำตัดสินใจและใช้ดุลยพินิจมากขึ้น ทั้งอำนาจสั่งการและอำนาจใช้งบประมาณ ผลที่เกิดขึ้นแทนที่งานจะเดิน งานจะดี กลับเป็นตรงกันข้ามคือ ทำงานล่าช้า การแก้ปัญหาก็ไม่ยึดโยงกับประชาชน
นอกจากนี้ยังเกิดคำถามในใจต่อข้าราชการผู้ปฏิบัติหน้าที่ว่า ผู้มีอำนาจและกลุ่มอำนาจเก่าอาจมีการจับมือกันหรือไม่อย่างไร? ใครคือ “นาย” ที่แท้จริง? หนำซ้ำ รัฐบาลอาจกำลังสูญเสียผู้สนับสนุนที่ร่วมผลักดันรัฐบาลมาตลอด เนื่องจากเคลือบแคลงสงสัยบางเรื่อง โดยเฉพาะการที่มือขวาด้านเศรษฐกิจของพล.อ.ประยุทธ์ ถูกแต่งตั้งให้มีอำนาจเต็มจัดการปัญหาต่างๆ ด้านเศรษฐกิจ เนื่องจากพื้นฐานเดิมเป็นคนที่ใกล้ชิดกับระบอบทักษิณ แม้บอกว่า วันนี้ไม่เกี่ยวข้องแล้ว แต่กลับแต่งตั้งลูกน้องเก่าอันเป็นเครือข่ายระบอบทักษิณทั้งหมดเข้ามากินตำแหน่งในคณะกรรมการหรือตำแหน่งต่างๆ จนตอนนี้บรรดาข้าราชการเริ่มไม่แน่ใจในทิศทางของนายกฯว่า ให้ตัวเองทำงานสนองกลุ่มใดกันแน่? เกิดผลสองประการ อย่างแรกไม่แน่ใจเรื่องดังกล่าว ซึ่งเป็นผลให้เกิดการใส่เกียร์ว่างเข้าเกียร์ถอยของข้าราชการ ที่เป็นธรรมเนียมปฏิบัติช่วงที่ไม่มีความชัดเจนของอำนาจ ทำให้การปฏิบัติงานสะดุดหยุดลงไปด้วย? ประการที่สอง ซ้ำหนักกว่านั้น บรรดาผู้สนับสนุน กลุ่มนักธุรกิจที่สนับสนุนพล.อ.ประยุทธ์ก็เริ่มเอาใจออกห่าง เพราะเคลือบแคลงสงสัยกับท่าทีรัฐบาลชุดนี้เช่นกัน
ปัญหายักตื้นติดกึก ยักลึกติดกักของคสช. 3 ประเด็นที่ว่า ล้วนเป็นความประมาทที่เกิดจากการตัดสินใจของรัฐบาลเอง ความประมาทนำมาซึ่งการช่วงชิงโอกาสจากฝ่ายตรงข้ามที่กำลังได้ประโยชน์ และกำลังจะสำเร็จเรื่องนี้ทั้งหมด โดยเปิดเกมรุกเพื่อเช็คเสียงข้าราชการและฐานเสียงมวลชน เริ่มจากร่างพ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนบุคคลและประโยชน์ส่วนรวม ที่คนทั่วไปเรียกกันว่า “กฎหมาย 7 ชั่วโคตร” ที่ครม.เพิ่งเห็นชอบสัปดาห์ที่แล้ว ที่บรรดาขุนพลพรรคเพื่อไทยออกมาโจมตีมากมายโดยเฉพาะอดีตรัฐมนตรีรายหนึ่งพูดทำนองว่า ขอให้ระวังเวลาบ้านเมืองปกติขึ้นมา คนเหล่านี้รับกรรมแน่ แต่หลังเลือกตั้งตัวเองไม่ปล่อยไว้แน่นอน ขอให้จำไว้? คำขู่นี้ว่ากันว่าไม่ได้ต้องการตอบโต้รัฐบาล แต่เป้าหมายเพื่อส่งเสียงดังๆ ไปยังข้าราชการฝ่ายปฏิบัติ และองค์กรอิสระทั้งหลายให้คำนึงถึงความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดในอนาคต ใช่หรือไม่? ซึ่งถ้าทำสำเร็จจริง รัฐบาลคงอยู่ลำบากแน่หลังจากนี้!!!
ความพยายามในการเขย่ารัฐบาลคสช.จริงๆ แล้ว ถูกดำเนินการตั้งแต่ปีแรกๆ ซึ่งทำในสูตรเดิมๆ ตลอดคือปลุกกระแสแกนนำนักศึกษา ปลุกกระแสให้ประชาชนไม่พอใจรัฐบาลคสช. ทั้งปลุกกระแสความเชื่อมั่นให้ระบบข้าราชการทั้งหมด ซึ่งที่ผ่านมายังไม่เคยสำเร็จ แกนนำนักศึกษาเดิมๆก็ดูไม่มีบทบาทมากพอ ขณะที่ประชาชนนอกจากยังไม่เล่นด้วย ยังสนับสนุนรัฐบาลมาตลอด ส่วนข้าราชการแม้จะกระตุ้นมาได้ส่วนหนึ่ง ก็ยังไม่มากพอล้มคสช.ได้ แต่ครั้งนี้ผลการเขย่ากลับแตกต่างจากเดิม และอาจดูเหมือนจุดไฟติดแล้วใช่หรือไม่?
ไล่ตั้งแต่การปลุกกระแสให้ประชาชนไม่พอใจ โดยเฉพาะมุ่งเจาะปัญหาเศรษฐกิจของรัฐบาล ที่เน้นไปที่ภาคเหนือและภาคอีสานผ่านเกษตรกรที่เป็นจุดอ่อนสุดขณะนี้ เพราะเกษตรกรกำลังประสบทั้งราคาสินค้าตกต่ำ ล้นตลาดทำให้ขายสินค้าไม่ได้ ความล่าช้าในการแก้ไขปัญหาและความไม่ยึดโยงต่อประชาชนของข้าราชการ ทำให้ปัญหาหนักกว่าทุกครั้ง จนเกิดกระแสเปรียบเทียบการบริหารงานระหว่างรัฐบาลคสช.และการบริหารงานสมัยนักการเมืองปกติที่ประชาชนสามารถไปเรียกร้องได้ ก่อนจะจบด้วยการเรียกคะแนนความสงสารจากเกษตรกรและประชาชน หวังเปลี่ยนเสียงกลุ่มนี้ให้หันมาให้กำลังใจหัวหน้าพรรคตัวเองที่กำลังเผชิญคดีใหญ่อยู่ในตอนนี้ใช่หรือไม่?
ขณะที่การปลุกกระแสด้านต่อมาคือ สร้างความเชื่อมั่นต่อระบบราชการทั้งหมดในทำนองว่ากลุ่มการเมืองกลุ่มตรงข้ามรัฐกลุ่มนี้กำลังจะกลับมามีอำนาจอีกครั้ง นับเป็นเรื่องที่น่ากลัวและคสช.ควรต้องระวังอย่างมาก เพราะอย่าลืมว่าระบบราชการคือมือไม้ที่ได้อำนาจจากรัฐบาลคสช.ให้บริหารงานแบบเต็มร้อย ถ้ามือไม้ทำงานไม่ดีหรือแปรพักตร์ไปฝ่ายตรงข้าม คิดว่ารัฐบาลคสช.จะเป็นเช่นไร? ที่น่าห่วงกว่านั้นคือ ไม่นานมานี้พบว่าขบวนการปลุกปั่นของฝั่งตรงข้ามที่ประกอบด้วยอดีตรัฐมนตรีเริ่มต่อสายตรงถึงระดับผู้บริหารกระทรวงที่เป็นข้าราชการ ใช่หรือไม่? โดยเฉพาะอดีตรัฐมนตรีที่เคยเป็นปลัดกระทรวงหรืออธิบดีต่างๆ ที่มีความเข้าใจวิถีแห่งข้าราชการดีว่า เมื่อใดใกล้ถึงเวลาเปลี่ยนแปลง ข้าราชการทุกคนมักจะสงวนท่าที เพื่อจะได้รับใช้นายถูกคน
และยิ่งช่วงนี้คงยิ่งต้องสงวนท่าที หลังพบว่ามีคนในพรรคการเมืองกลุ่มตรงข้ามรัฐได้พื้นที่ลงข่าวผ่านสื่อต่างๆแทบทุกวัน บางวันได้พื้นที่และจำนวนข่าวมากกว่ารัฐบาลด้วยซ้ำ ซึ่งไม่น่าเชื่อว่ารัฐบาลคสช.ปล่อยให้เกิดเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไร? นั่นเท่ากับยินยอมให้ประสิทธิภาพของกลุ่มการเมืองฝั่งตรงข้ามเพิ่มมากขึ้น ส่งผลต่อความเชื่อมั่นของข้าราชการที่เชื่อว่า จะเกิดความเปลี่ยนแปลงอีกไม่นานนี้คำสั่งที่ทำ จึงมีแต่คำสั่งที่เกี่ยวกับการใช้เงิน ส่วนคำสั่งแก้ปัญหาต่างๆ กลับไม่ขยับ ให้ลองดู!!!
ส่วนการปลุกกระแสนักศึกษาก็รุนแรงไม่แพ้กัน เพราะมีการปลุกปั่นผ่านอาจารย์เครือข่ายในระบบด้วยประเด็นการปิดกั้นเสรีภาพ ปิดกั้นสื่อ และรุนแรงถึงขั้นจี้จุดแข็ง คสช.นั้นคือการโหนกระแสเรื่องปราบทุจริตของคสช.ว่าไม่มีประสิทธิภาพจริง โดยเฉพาะกับพรรคพวกตัวเอง ซึ่งดันมีตัวอย่างให้เห็นจริงๆเสียด้วย จริงหรือไม่ ลองดูว่าน่าบังเอิญหรือไม่ ที่ช่วงนี้มีแกนนำนักศึกษาหลายรายออกมาเคลื่อนไหว ใช่หรือไม่? กระบวนการปลุกปั่นนักศึกษาต้องยอมรับว่ามีผลต่อรัฐบาลอย่างมาก เพราะเป็นกลุ่มชนมีความรู้ที่สังคมยอมรับ และอาจเป็นทางออกช่วงที่สังคมมองว่าพึ่งพาใครก็ไม่ได้!!!
การเปิดเกมรุกพร้อมกัน 3 ด้านของกลุ่มการเมืองฝั่งตรงข้ามรัฐครั้งนี้ ต่างจากครั้งก่อนๆ เพราะถือเป็นการเปิดเกมรุกบนความประมาทและความผิดพลาดของรัฐบาลคสช.เองทั้ง 3 ด้าน ซึ่งถือว่าเป็นโจทย์ยากที่ต้องเร่งตัดสินใจ โดยเฉพาะการจับมือกับแนวร่วมที่มีเหลืออยู่ทั้งหมด แต่แทนที่จะเป็นเช่นนั้น กลับพบว่ารัฐบาลคสช.ดูจะหันหลังให้กับแนวร่วมกลุ่มธุรกิจเอกชนและกลุ่มการเมืองตรงข้ามระบอบทักษิณที่เคยสนับสนุนกันมา จนทำให้กลุ่มการเมืองฝั่งตรงข้ามระบอบทักษิณเริ่มออกอาการไม่แน่ใจว่า รัฐบาลคสช.จะมาไม้ไหนกันแน่?
จึงไม่แปลกที่ใครบางคนกล้าฟันธงว่า รัฐบาลคสช.ตอนนี้อยู่ได้เพราะอำนาจบนผิวน้ำที่โคลงเคลงเหมือนเรือที่กำลังจะล่ม อยู่บนเส้นบางๆ ระหว่างความเชื่อมั่นภักดีของผู้ที่สนับสนุนกับความอดทนอดกลั้นที่เกิดจากการบริหารงานผิดพลาดของคนในครม.และข้าราชการใต้สังกัด คสช.ที่กลุ่มคนเหล่านี้มักนึกถึงแต่ผลประโยชน์ตัวเองมากกว่าผลประโยชน์และความต้องการของประชาชน หรือไม่?
และอย่าลืมว่าอะไรก็เกิดขึ้นได้ อะไรก็เปลี่ยนแปลงได้ หากรัฐบาลปล่อยให้สถานการณ์เป็นเช่นนี้ไปเรื่อยๆ จนทุกอย่างที่วางไว้ขาดสะบั้นลง ถึงเมื่อนั้นโรดแมปก็อาจจะไม่ใช่โรดแมปอีกต่อไป แล้วจะเป็นอย่างไรต่อก็ไม่อาจมีใครทราบได้? แต่ตอนนี้ยังทันหากพล.อ.ประยุทธ์ คิดจะแก้สิ่งสำคัญคือแขนขารอบตัวที่ต้องปรับกระบวนทัศน์เสียใหม่ ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป...
“เนื่องเพราะไม่ง่ายดายดังนั้นจึงน่าสนใจ เรื่องที่ยิ่งลำบากยากเข็ญยิ่งควรค่ากับการสนใจ”
(คำคมโกวเล้ง จากเรื่อง ดาวตก ผีเสื้อ กระบี่)
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี