คุณๆ ที่เป็นวิญญูชนผู้มีสติปัญญาคงเห็นพ้องต้องกันว่า ช่างเป็นเรื่องประหลาดมหัศจรรย์เชิงอุบาทว์อย่างที่สุดกับการที่แหล่งข่าวแจ้งความให้ตำรวจไปจับกุมตัวนักข่าว ผู้ที่แสดงตัวตนชัดเจนว่าเขาคือนักข่าวจากหน่วยงานข่าวที่มีสังกัดแน่นอนและถูกกฎหมาย โดยนักข่าวผู้นั้นกำลังทำหน้าที่สืบค้นหาข้อมูลเพื่อนำไปประกอบการรายงานข่าวจากแหล่งข้อมูลโดยตรง
การที่นักข่าวแสดงตัวตนชัดเจนเพื่อขอสัมภาษณ์แหล่งข่าวในสถานที่ซึ่งมีผู้อนุญาตให้นักข่าวเข้าไปภายในได้ ถือว่านักข่าวคือผู้บุกรุกเข้าไปในสถานที่ของผู้อื่นกระนั่นหรือ แล้วการที่ตำรวจจับกุมตัวนักข่าวซึ่งกำลังปฏิบัติหน้าที่ด้วยความสุจริต ถือเป็นการทำหน้าที่ของตำรวจด้วยความสุจริต กระนั้นหรือ
บ้านเมืองและสังคมไทยของเราในยุคนี้นับว่ามีเรื่องแปลกประหลาดและอุบาทว์เกิดขึ้นเป็นระยะๆ คำถามคือความแปลกประหลาดและอุบาทว์เช่นนี้เกิดมาจากคำสั่งของผู้มีอำนาจรัฐโดยเฉพาะบุคคลจำพวกที่ไร้ปัญญาและไร้ความละอาย ใช่หรือไม่
แน่นอนว่า หากผู้ที่มีสถานะเป็นแหล่งข่าวสำคัญ อันมีสถานภาพเป็นบุคคลสาธารณะไม่ประสงค์จะให้สัมภาษณ์ใดๆ กับผู้สื่อข่าว แหล่งข่าวที่เป็นบุคคลสาธารณะผู้นั้นก็ย่อมมีสิทธิ์ปฏิเสธการให้ข้อมูลได้ แต่ถึงกระนั้น ผู้สื่อข่าวก็ย่อมจะต้องแสวงหาข้อมูลข่าวสารนั้นให้ได้ด้วยกรรมวิธีอื่นๆ ที่ไม่ผิดต่อหลักกฎหมาย และไม่ละเมิดสิทธิส่วนบุคคลพื้นฐานของแหล่งข่าว
แต่การที่ผู้สื่อข่าว แสดงตัวตนชัดเจนแล้วเข้าไปถึงแหล่งหรือสถานที่ของบุคคลซึ่งเป็นแหล่งข่าว โดยแหล่งข่าวนั้นมีสถานะเป็นบุคคลสาธารณะ แล้วมีการบอกให้นักข่าวรอการสัมภาษณ์ แต่สุดท้ายกลับมีตำรวจเข้าไปจับกุมตัวผู้สื่อข่าวฐานกระทำการบุกรุก เรื่องตลกและปัญญาอ่อนแบบนี้เกิดขึ้นได้อย่างไรในสังคมไทยที่กำลังโฆษณาป่าวประกาศว่าประเทศไทยกำลังจะเป็นสังคม 4.0
ขอถามว่าผู้สื่อข่าวแอบปีนกำแพงบ้านเพื่อเข้าจู่โจมเข้าไปขอสัมภาษณ์แหล่งข่าว กระนั้นหรือ หรือว่าผู้สื่อข่าวปลอมตัวเป็นแม่บ้านแล้วเข้าไปในบ้านเพื่อสอดแนมข้อมูลของแหล่งข่าว กระนั่นหรือ ขอยืนยันว่าเปล่าเลย ถ้าผู้สื่อข่าวไม่ได้กระทำอะไรผิดไปจากหลักเกณฑ์การทำงานตามหลักสากล แล้วเหตุใดตำรวจจึงจับกุมผู้สื่อข่าวที่กำลังปฏิบัติหน้าที่โดยสุจริต
ข้ออ้างแบบไร้สติสิ้นปัญญาของตำรวจบางรายที่บอกว่า นักข่าววุ่นวาย เข้าไปยุ่งกับแหล่งข่าวมากเกินไป ทั้งๆ ที่แหล่งข่าวไม่ต้องการให้สัมภาษณ์ ทำให้สังคมไทยประจักษ์ว่ายังมีตำรวจที่ไร้คุณภาพในวงการตำรวจไทยอีกจำนวนหนึ่ง
คำถามคือ หากผู้ที่เป็นแหล่งข่าวไม่ต้องการให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าว แล้วเหตุใดจึงมีคนในบ้านหลังนั้นบอกให้ผู้สื่อข่าวนั่งรอ
ถ้าไม่ต้องการให้สัมภาษณ์ก็บอกได้โดยตรงว่าไม่ให้สัมภาษณ์ แล้วก็สามารถขอเชิญให้ผู้สื่อข่าวออกจากเขตบ้านไป
ถ้าหากผู้สื่อข่าวขัดขืนแล้วไม่ยอมออกจากบ้านโดยดี แถมยังใช้กิริยาวาจาไม่สุภาพกับคนในบ้าน ถ้าเป็นเช่นนี้ก็น่าจะถือได้ว่า
ผู้สื่อข่าวบุกรุกเข้าไปในเขตอาคารบ้านเรือนของแหล่งข่าว แต่ขอถามกลับว่า การที่อนุญาตโดยเปิดเผยเพื่อให้ผู้สื่อข่าวเข้าไปในเขตบ้าน แล้วยังบอกให้นั่งรอ แต่สุดท้ายกลับบอกว่าผู้สื่อข่าวบุกรุก นี่ย่อมถือเป็นการแจ้งความเท็จ ใช่หรือไม่
ถามว่าทำไมผู้สื่อข่าวของสำนักข่าวอิศราจึงจำเป็นต้องเข้าไปสืบหาข่าวในอพาร์ทเมนต์ซึ่งได้รับการยืนยันจากคนทั่วไปว่าเป็นของ พัชรวาทและสมถวิล วงษ์สุวรรณ คำตอบคือเพราะมีข้อมูลชัดเจนว่าพัชรวาทได้แสดงบัญชีรายการทรัพย์สินและหนี้สินของตนเองและคู่สมรสว่าทำธุรกิจห้างหุ้นส่วนจำกัด สมถวิลรีสอร์ต และห้างหุ้นส่วนจำกัด สมถวิล เรียลเอสเตท และมีข้อมูลว่าพัชรวาทกำลังถูกคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) ไต่สวนการแจ้งบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินอยู่
ในฐานะที่ผู้เขียนอยู่ในอาชีพผู้สื่อข่าวมานานประมาณ 30 ปี ขอยืนยันว่า ผู้สื่อข่าวมีหน้าที่ต้องค้นหาข่าวให้ได้ลึกและมีข้อมูลมากและสมบูรณ์ที่สุดจากแหล่งข่าวทุกชนิด ทั้งแหล่งข่าวโดยตรงและแหล่งข่าวประกอบอื่นๆ โดยแหล่งข่าวทั้งหมดต้องมีตัวตน ต้องสามารถให้เนื้อหาและข้อมูลข่าวที่มีความน่าเชื่อถือสูงสุด และผู้สื่อข่าวก็ต้องให้ความเคารพต่อสิทธิส่วนบุคคลของแหล่งข่าวด้วยเช่นกัน ผู้สื่อข่าวที่สุจริตในการทำหน้าที่ต้องแสดงตัวตนในฐานะผู้สื่อข่าวต่อแหล่งข่าวให้ชัดเจน ต้องไม่ปิดบังหลอกลวงแหล่งข่าว และต้องให้โอกาสกับแหล่งข่าวที่จะแถลงแก้ไขข่าวได้ตลอดเวลา
เพราะฉะนั้นการที่ผู้สื่อข่าวแสดงตัวตนชัดเจนแล้ว แล้วได้รับอนุญาตให้เข้าไปภายในสถานที่ ดังนั้นจึงเข้าไปนั่งรอในอาคารของแหล่งข่าว โดยมีคนของแหล่งข่าวรับทราบเรื่องราวการขอเข้าไปหาข้อมูลข่าวเป็นอย่างดี จึงไม่ถือว่าผู้สื่อข่าวบุกรุกแต่ประการใด
ดังนั้นการแจ้งความจับผู้สื่อข่าวในกรณีด้วยข้อหาบุกรุกจึงถือได้โดยชัดเจนว่าเป็นการใช้อำนาจรัฐเพื่อคุกคามและกลั่นแกล้งผู้สื่อข่าวที่กำลังปฏิบัติหน้าที่ และยังเข้าข่ายถือได้ว่าตำรวจตั้งข้อหากับผู้สื่อข่าวโดยไม่เป็นธรรม อันน่าจะเข้าข่ายกระทำการเพื่อขัดขวางการประกอบวิชาชีพของสื่อมวลชนที่ทำหน้าที่โดยสุจริต
ส่วนประเด็นที่ถือได้ชัดเจนว่าตำรวจได้กระทำการอันเข้าข่ายละเมิดสิทธิของผู้สื่อข่าวคือ การที่ตำรวจยึดโทรศัพท์มือถือของผู้สื่อข่าวและนำไปเปิดดูข้อความและรูปภาพที่บันทึกอยู่ภายในโทรศัพท์มือถือนั้น ขอย้ำว่าพฤติกรรมเช่นนี้ของตำรวจถือได้ว่าจงใจละเมิดสิทธิ์ของผู้สื่อข่าวโดยชัดเจน ซึ่งทำให้สาธารณชนและวิญญูชนที่เข้าใจถือข้อกฎหมายได้เป็นอย่างดีตีความตรงกันว่าตำรวจน่าจะมีเจตนาใช้อำนาจเพื่อกลั่นแกล้งและคุกคามผู้สื่อข่าว ส่วนประเด็นที่ตำรวจรับแจ้งความดำเนินคดีทั้งๆ ที่ยังไม่มีความชัดเจนว่าผู้สื่อข่าวกระทำความผิดแต่ประการใด แล้วยังใช้อำนาจบีบบังคับให้ผู้สื่อข่าวต้องเข้าไปอยู่ในที่คุมขัง ถือได้ว่าเป็นการจงใจกักขังหน่วงเหนี่ยวทำให้ผู้สื่อข่าวสูญเสียอิสรภาพ ประเด็นเหล่านี้ย่อมปรากฏชัดว่าตำรวจใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบ และจงใจคุกคามการปฏิบัติหน้าที่โดยสุจริตของสื่อมวลชน
ขอย้ำว่า การใช้อำนาจรัฐและการใช้กฎหมายโดยมิชอบเพื่อหวังกลั่นแกล้งและหยุดยั้งการปฏิบัติหน้าที่โดยชอบและโดยสุจริตของสื่อมวลชน ถือได้ว่าเป็นการจงใจคุกคามการทำหน้าที่ และลิดรอนสิทธิเสรีภาพของสื่อมวลชน ซึ่งก็เท่ากับเป็นการจงใจปิดหูปิดตาประชาชนมิให้สามารถรับรู้ความเลวร้าย และความชั่วช้าสามานย์ของบุคคลที่ได้กระทำความเสียหายให้บังเกิดกับประเทศและสังคมไทยโดยรวม
ในฐานะที่ผู้เขียนอยู่ในแวดวงอาชีพนักสื่อสารมวลชน จึงขอเรียกร้องให้ผู้มีอำนาจรัฐและผู้บังคับใช้กฎหมายทุกคนจงเห็นแก่ผลประโยชน์ของบ้านเมืองและของสาธารณะเป็นสำคัญ มากกว่าการเห็นแก่ผลประโยชน์ของตนเองและพวกพ้อง และขอเรียกร้องให้ตำรวจจงยุติการใช้อำนาจเพื่อสนองตอบต่อความต้องการของผู้มีอำนาจรัฐมากกว่าคำนึงถึงและยึดมั่นในหลักความยุติธรรม
ขอยืนยันอีกครั้งว่า สื่อมวลชนที่ทำหน้าที่โดยสุจริต เพราะความตระหนักและยึดมั่นในผลประโยชน์ของบ้านเมืองโดยแท้จริงจักต้องได้รับการคุ้มครองในการปฏิบัติหน้าที่
ขอย้ำว่าการแสดงตัวโดยชัดเจนของสื่อมวลชนในการปฏิบัติงานเพื่อค้นหาข้อมูลข่าวโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อรายงานความจริงให้ประชาชนได้รับทราบ ถือได้ว่ามีเกียรติและมีศักดิ์ศรีมากกว่าการที่ตำรวจย่อมลดตัวเป็นขี้ข้าของผู้มีอำนาจรัฐ โดยเฉพาะผู้ที่ใช้อำนาจรัฐโดยการฉ้อฉลแสวงหาผลประโยชน์ให้ตนเอง และย่อมมีเกียรติมากกว่าการที่ตำรวจใช้วิธีการปลอมตัวเข้าไปล่อซื้อเพื่อหวังดำเนินคดีใดๆ กับผู้กระทำผิดกฎหมาย เพราะหากตำรวจมีเกียรติและมีศักดิ์ศรีโดยพร้อมสรรพแล้ว ย่อมต้องสามารถแสดงตนให้ผู้อื่นประจักษ์ได้ตลอดเวลา ลองคิดดู หากนักข่าวจะใช้วิธีการปลอมตัวเป็นตำรวจแล้วไปหาข่าว มันจะน่าทุเรศเพียงใด แต่การที่ตำรวจจำนวนไม่น้อยปลอมตัวเป็นคนอาชีพต่างๆ เพื่อเข้าไปหาข้อมูลประกอบคดี ย่อมถือได้ว่าเป็นการหลอกลวงสังคมใช่หรือไม่ ประเทศที่เจริญแล้วเขาไม่นิยมวิธีการหลอกลวง ยกเว้นประเทศที่ด้อยพัฒนา ผู้มีอำนาจรัฐบ้าอำนาจ และมัวเมาในผลประโยชน์โดยมิชอบ
เฉลิมชัย ยอดมาลัย
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี