คือแบบนี้ครับ..
ต้องยอมรับกันว่า เรื่องการให้ข้อมูลข่าวสารในด้านเศรษฐกิจของรัฐบาลปัจจุบันเรียกได้ว่ามีน้อย และมักโดนทำให้เกิดความคลาดเคลื่อนบ่อย รวมไปถึงความไม่เพียงพอของข้อมูลข่าวสารที่จำเป็นที่ประชาชนจะต้องรู้
ผมจึงขออนุญาตนำงานเขียนของคุณบรรยง พงษ์พานิช จากงาน “ถอดสูท ถกเศรษฐกิจ” จากเวทีของเศรษฐศาสตร์ จุฬาฯ มาขยายความให้ฟัง
เนื้อหาจะเป็นในเชิงว่า คุณบรรยงมีการพูดอธิบายคาดการณ์เปรียบเปรยแต่ก็ไม่วายมีการพาดหัวที่นำไปในทางที่ทำให้เข้าใจคลาดเคลื่อนออกไป จากนั้นคุณบรรยงก็นำเนื้อหาที่ได้บรรยายไปมาขยายความชี้แจงเพิ่มเติม และนั่นทำให้ได้รายละเอียดเชิงลึกอีกมากเกี่ยวกับเศรษฐกิจของไทย และอาเซียน
หากดูในเนื้อหาหลักที่แท้จริงคนฟังและคนที่นำมาถ่ายทอดต่อซึ่งคือสื่อต่างๆ ในงานจะช่วยขยายความเนื้อหาที่มีประโยชน์จนประชาชนได้ความรู้ต่อเนื่อง แต่ในช่วงที่ผ่านมานี้ “สื่อ” มักสนใจที่จะหยิบยกประเด็นที่สร้างกระแส ที่จะนำไปกระพือต่อได้ โดยจงใจข้ามเนื้อหาหลักที่อาจจะน่าสนใจน้อยกว่า เรื่องนี้เราต้องมีวิธีบริหารจัดการที่ต้องทำให้มีคุณภาพแต่ไม่ลิดรอนเสรีภาพของสื่อด้วยเช่นเดียวกัน
ความจริง สื่อสายเศรษฐกิจ เป็นสายที่บิดเบือนได้ยากที่สุดครับ เพราะทั้งหมดอิงได้กับตัวเลข กราฟ และข้อมูลที่ผ่านการคำนวณ และรวบรวมข้อมูลมาแล้วแต่ก็ไม่วาย หากจรรยาบรรณถูกละเลยก็อาจจะทำให้วิธีการทำงานของสื่อบางประเภทโดนครอบงำได้โดยง่าย
ผมจะพยายามนำแหล่งที่มาต้นทางจากบุคคลที่น่าเชื่อถือมานำเสนอเรื่อยๆ ในลักษณะแบบนี้ครับ
เราไปติดตามรายละเอียดต่อกับการถ่ายทอดคำบรรยายผ่านการโพสต์ของคุณบรรยง พงษ์พานิช กันเลยครับ...
--------------------------
เมื่อวันอังคารที่ 8 สิงหาคมที่ผ่านมา ผมได้ไปร่วมเวทีงานเสวนา“ถอดสูท...ถกเศรษฐกิจ” ที่จัดโดยสมาคมเศรษฐศาสตร์จุฬาฯ
ผมได้เน้นประเด็นที่เศรษฐกิจไทยถูกคาดว่าจะเติบโตในปีนี้เพียง 3.5% ในขณะที่โลกโดยรวมจะโต 3.5% เท่ากัน โดยประเทศพัฒนาแล้วซึ่งมีสัดส่วนสองในสามจะโต 1.9% ซึ่งนั่นก็หมายความว่าประเทศกำลังพัฒนาและด้อยพัฒนาที่เหลือจะโตในอัตรามากกว่า 6.5%
การที่ไทยซึ่งเพิ่งจะมาได้ไม่ถึงครึ่งทางของการเป็นประเทศพัฒนา (เรามี per capita GDP $5,900ขณะที่เป้าหมายอยู่ที่ $12,500) แล้วมาแป้กเช่นนี้เป็นเรื่องน่ากังวลมาก ยิ่งถ้าคำนึงว่ามันไม่ได้เพิ่งมาแป้กเพราะเฉลี่ยสิบปีที่ผ่านมา เราโตเฉลี่ยแค่ 3.25% ต่ำที่สุดในประเทศอาเซียนด้วยกันและต่ำที่สุดในโลกสำหรับประเทศกำลังพัฒนา (ไม่นับประเทศที่เกิดวิกฤติ เช่น เวเนซุเอลา อาร์เจนตินา)ซึ่งถ้าไปต่อในอัตรานี้แล้วมีสะดุดมีวิกฤติคั่นบ้าง
เราอาจจะต้องใช้เวลาอีกกว่าสามสิบปีถึงจะได้เป็นประเทศพัฒนาแล้วกับเขา
วันนั้นผมพูดไปว่า “ไทยเป็นตัวถ่วงของ ASEAN เพราะ IMF คาดการณ์ว่า ASEAN โดยรวมจะโตได้ 4.9% ซึ่งเราเป็นเศรษฐกิจใหญ่อันดับสองในอาเซียนมีสัดส่วนประมาณ 20% ดังนั้น ถ้าไม่มีประเทศไทยอาเซียนจะโตได้ถึง 5.25% ผมเจอเพื่อนๆอาเซียนได้บอกขอโทษที่ไทยเป็นตัวถ่วงแต่ก็บอกเขาว่าอย่ากังวลไปเลยอีกสองปีมาเลเซียก็อาจจะแซงไทยไปเป็นที่สองอีกสี่ปีฟิลิปปินส์ก็จะแซงเราไปเป็นที่สามแล้วอีกสักเจ็ดปีเวียตนามก็จะแซงไปเป็นที่สี่ และอีกสักสิบปีสัดส่วนของเราก็คงจะตำ่กว่า10% ซึ่งถึงจะแย่แค่ไหนก็คงไม่มีน้ำหนักไปถ่วงเพื่อนฝูงได้อีกสักเท่าไหร่”
ต้องขอสารภาพว่าที่พูดไปนั้นเป็นการคิดเร็วๆ ตั้งใจปล่อยมุขไม่ให้งานน่าเบื่อแต่ดันมีสื่อนำส่วนนี้ไปรายงานขยายความหลายรายซึ่งผมกลับมาตรวจดูแล้วสิ่งที่พูดไปนั้นมีความคลาดเคลื่อนอยู่มาก
จึงขออธิบายแก้ไขดังนี้นะครับ......
จากตัวเลขล่าสุดของ IMF (เมษายน 2017) ASEAN มีขนาดเศรษฐกิจ GDP รวมปีละ $2.72 ล้านล้าน (โต 4.9%) โดยไทยเป็นอันดับ 2 มี $433 พันล้าน (โต 3.5%) ฟิลิปปินส์เป็นอันดับสาม มี $329 พันล้าน (โต 6.8%) มาเลเซียเป็นอันดับสี่ มี $310 พันล้าน (โต 4.5%) เวียดนามเป็นอันดับหก มี $216 พันล้าน (โต 6.7%)
จากตัวเลขดังกล่าว...ถ้าสมมุติว่าทุกประเทศโตในอัตราเดิมไปเรื่อยๆ ฟิลิปปินส์จะแซงไทยไปเป็นอันดับสองได้ในเก้าปี ส่วนมาเลเซียนั้นเนื่องจากมีประชากรไม่ถึงครึ่งของเรา ถึงแม้จะมีรายได้ต่อหัวถึง $11,000 ต่อปี เกือบเท่าตัวของเราและคงได้เป็นประเทศพัฒนาแล้วภายในสองสามปีนี้
แต่ถ้านับขนาดรวมของเศรษฐกิจแล้วยังต้องใช้เวลากว่ายี่สิบปีถึงจะแซงเราได้ และเวียดนามซึ่งเสียเวลาปิดประเทศไปเป็นคอมมิวนิสต์เสียเกือบยี่สิบปีจนกลายเป็นประเทศยากจนก็ยังต้องใช้เวลาอีกนานประมาณยี่สิบปีถึงจะแซงเต่าต้วมเตี้ยมอย่างประเทศไทยไปได้(นอกจากเต่าจะกัดกินตัวเองจนเละนะครับ)
จึงขอเรียนแก้ไขข้อผิดพลาดดังกล่าวนะครับว่าอันที่จริงแล้วถึงจะติดกับดักเติบโตต่ำเตี้ยอยู่นานและทำท่าจะแป้กต่อไปอีกนานแต่ในเรื่องขนาดของเศรษฐกิจรวมนั้นถ้าไม่เกิดฉิบหายร้ายแรงประเทศไทยจะยังคงรักษาอันดับสองไว้ได้อีกระยะหนึ่งในห้าปีข้างหน้า ยากที่จะมีใครแซงเราได้ในสิบปีก็มีเพียงฟิลิปปินส์เท่านั้นที่อาจแซง(ถ้าดูเตอร์เตไม่ทำเละเสียก่อน ...แต่ถ้าทำอีกไม่ถึงสี่ปีเขาก็มีสิทธิ์เลือกคนใหม่)...เรียกว่า บรรพบุรุษไทยทำมาไว้ดีพอควร
ต้องขอเน้นว่าประเด็นเรื่องตำแหน่งอันดับนี้ไม่ใช่ประเด็นสำคัญที่ผมหยิบยกในการเสวนาวันนั้นเลยครับ (เพียงแต่สื่อหลายอันหยิบยกไปขยายความกัน) จึงต้องขอชี้แจงข้อผิดพลาดและขอโทษทุกท่านมาณที่นี้ด้วยครับ
ประเด็นสำคัญของผมในวันนั้นคือเรื่องที่เราติดกับดักเติบโตต่ำเตี้ยมานับสิบปีและถูกคาดการณ์ว่าศักยภาพอนาคตก็จะต่ำเตี้ยอย่างนี้ไปอีกนานโดยผมขอตั้งคำถามสามคำถามว่า...
ข้อแรก เราจะยอมรับสภาพอย่างนี้หรือยอมที่จะไปช้าๆ เรื่อยๆ อีกสามสิบปีค่อยถึงเป้าหมายหรือจะมุ่งมั่นหาทางแก้กัน
คำถามข้อที่สอง ก็คือ ว่าปัญหาเศรษฐกิจที่เกิดนี้เป็นเรื่องของวัฏจักร (Cyclical) หรือปัญหาทางโครงสร้าง (Structural) ซึ่งถ้าเป็นปัญหาโครงสร้างมันคืออะไร ส่วนไหนบ้าง มิติไหนบ้าง จะปรับจะแก้กันอย่างไร
คำถามข้อที่สามก็คือ ว่าที่ทำๆ กันอยู่นี้มันตอบโจทย์ไหม มันถูกทางไหม แน่ใจไหมว่าแผนยุทธศาสตร์ชาติที่ยังไม่มีใครเห็นหน้าตาจะไม่กลายไปเป็นโซ่ตรวนล่ามชาติไม่ให้ไปไหน
ประเด็นใหญ่ดูจะไม่ค่อยเป็นข่าวกลับมีแต่ภาพประกอบที่มีคนเอาไปเป็นข่าวนะครับ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี