ที่ผ่านมา ผมมีโอกาสเดินทางไปเยือนมาเลเซียเป็นระยะๆ แม้หลายครั้งเป็นการไปเที่ยว นั่นก็เพราะค่าใช้จ่ายค่อนข้างย่อมเยา แต่ส่วนใหญ่ยังคงเป็นการไปเพื่อร่วมประชุมสัมมนา พบปะวงการการเมือง และภาคประชาสังคม
โดยครั้งล่าสุด คือการไปเยือนกรุงกัวลาลัมเปอร์เมื่อต้นเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการไปเยือนเพื่อศึกษาและค้นหาข้อเท็จจริง (fact – finding) เกี่ยวกับประเด็นปัญหาของผู้อพยพ และวัฒนธรรมทางการเมืองรวมถึงปัญหาแรงงานต่างด้าว โดยไปครั้งนี้พบว่า นโยบายและมาตรการในเรื่องผู้อพยพลี้ภัย และแรงงานต่างด้าวของรัฐบาลมาเลเซีย ยังคงใส่ใจในเรื่องความมั่นคงภายในเป็นหลัก มากกว่าเรื่องมนุษยธรรม กระบวนการดำเนินการต่างๆ ก็ยังเป็นไปในรูปแบบที่ขาดการพิจารณาแบบภาพรวม หรือการมีแผนแม่บท รวมไปถึงการประสานร่วมมือกันในระดับประชาคมอาเซียน ในระดับประชาคมโลก (โดยเฉพาะในกรอบงานขององค์การสหประชาชาติ) และในกรอบทวิภาคีระหว่างประเทศต้นทาง หรือผู้ส่งออก ผู้อพยพ และแรงงาน กับประเทศผู้รับ (Sending and receiving status) ซึ่งถือเป็นเรื่องที่จะต้องผลักดันให้มีการดำเนินการ ร่วมคิด ร่วมขับเคลื่อนและร่วมทำ กับฝ่ายต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกันต่อไป
ในส่วนของผม จะดำเนินการร่วมกับชมรมสมาชิกรัฐสภาประเทศอาเซียน ซึ่งมีฐานะเป็นชมรมอาสาสมัคร และเป็นสมาชิกในฐานะปัจเจกชน มิได้มาในนามตัวแทนพรรคการเมือง หรือองค์กรอื่นใด
นอกจากนั้น การไปเยือนมาเลเซียครั้งนี้ ก็ได้รับบทบาท และได้เห็นการเคลื่อนไหวต่างๆ ที่น่าสนใจ อยากจะนำมาเล่าสู่กันฟัง เพื่อข้อคิด ข้อปฏิบัติในเชิงเปรียบเทียบกับบ้านเมืองไทยของเรา
1.นายมหาเธร์ โมฮัมหมัด อดีตนายกรัฐมนตรีคนที่ 4 ที่โลกยกย่องให้เป็นผู้นำการเมืองยอดนักพัฒนาก็กำลังมุ่งชนและท้าตีเต็มที่กับพรรคอัมโน ซึ่งเป็นพรรคเก่า และลูกน้องเก่าของตน เพราะเห็นว่า พรรคและผู้นำปัจจุบันมิได้ตอบสนองผลประโยชน์ของชาติ หากบริหารงานที่มุ่งตอบสนองกลุ่มผลประโยชน์เป็นสำคัญ ซึ่งเป็นการกำลังบ่อนทำลายผลสำเร็จของการพัฒนาของมาเลเซีย
โดยนายมหาเธร์ได้ทำการวิพากษ์วิจารณ์ ได้เข้าร่วมการประท้วงขับไล่ จนบัดนี้ ได้ยกระดับไปสู่การตั้งพรรคขึ้นมาใหม่ และเข้าร่วมเป็นพันธมิตรกับพรรคฝ่ายค้านอีก 3 พรรค เพื่อล้มรัฐบาลพรรคอัมโนในการเลือกตั้งครั้งต่อไปที่จะมีขึ้นในปลายปีนี้ หรือต้นปีหน้าเป็นอย่างช้าและนายมหาเธร์ ยังหันกลับไปจับมือกับนายอันวาร์ อิบราฮิมลูกน้องเก่า และอดีตคู่ขัดแย้ง เพื่อผลักดันให้นายอันวาร์ ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีมาเลเซียคนต่อไป (นายอันวาร์ ถูกจองจำคุกอยู่ ในข้อหารักร่วมเพศ และเหลือเวลาอยู่ในการคุมขังอีกไม่ถึง 2 ปี)
2.มาเลเซียเร่งเชื่อมโยงภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยทางรถไฟรางคู่อย่างขะมักเขม้น โดยเฉพาะเส้นทางสิงคโปร์-กัวลาลัมเปอร์ และแน่นอนก็มุ่งเหนือสู่กรุงเทพมหานคร (ก็เฝ้ารอคอยการตอบสนองของรัฐบาลประยุทธ์กันอยู่) แต่การดำเนินการของเขามิได้เน้นที่ประเด็นว่า จะเปิดประมูลว่าจ้างบริษัทรับเหมาก่อสร้าง และบริษัทเดินรถไฟเท่านั้น ที่น่าทึ่งก็คือ เขาได้ทำการจัดตั้งสถาบันการรถไฟ และได้ลงนามเซ็นสัญญากับการรถไฟอังกฤษ และสถาบันเทคโนโลยีแห่งหนึ่งของเยอรมนี สะท้อนว่าเขาประสงค์สร้าง “คน” ทั้งในแง่การวางแบบบริหารจัดการ การออกแบบ การวิศวกรรมต่างๆ เพื่อมาดำเนินการโครงการต่างๆ ด้วยตนเอง
3.การเดินทางจากท่าอากาศยานนานาชาติไปเข้าเมืองความประทับใจคือ ไม่มีวัฒนธรรมห้องแถวรกๆ ไม่มีเพิงขายของ ไม่มีป้ายโฆษณาใหญ่โตสะท้อนแสง และขัดหูขัดตาการขับรถ แต่สองข้างทางเต็มไปด้วยต้นไม้เขียวขจี สะท้อนให้เห็นถึงความใส่ใจถึงคุณภาพชีวิตประชากร ก็เกิดข้อคิดว่าเส้นทางสนามบินดอนเมือง และเส้นทางสนามบินสุวรรณภูมิ สู่กรุงเทพมหานครเมืองหลวงนั้น น่าจะมีการปรับปรุงเพื่อแสดงสิ่งโดดเด่นทางด้านวัฒนธรรม และแหล่งท่องเที่ยว
4.ขณะนี้กรุงกัวลาลัมเปอร์มีประชากร 10 ล้านคนดูการพัฒนาเป็นไปในทิศทางก้าวหน้าตามสิงคโปร์ มากกว่าจะถอยหลังลงคลองมาทางกรุงเทพมหานคร โดยทั่วไปถนนหนทางสะอาดสะอ้าน มีระเบียบและที่สำคัญเมื่อมีการขยายเมือง ภาครัฐและภาคเอกชนโดยเฉพาะฝ่ายธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เขาปรึกษาหารือกันก่อน ทั้งในแง่ฝั่งเมืองสาธารณูปโภค ไปจนถึงความร่ำรวยงานทางด้านสถาปัตยกรรมอาคารสูงใหญ่ก็จริง แต่ไม่ได้ขาดสวนสาธารณะ และพื้นที่สีเขียว ความเป็นเอกภาพก็เกิดขึ้นพอดีต่อส่วนรวมก็ตามมา
แม้มาเลเซียจะยังมีปัญหาเรื่องการทุจริตคอร์รัปชั่นก็ตาม แต่ด้วยวิธีการทำงานเป็นทีม วิธีการประสานงานและจิตสำนึกต่อส่วนรวม ที่เขาดูจะมีมากกว่าเรา เลยทำให้แทนที่จะเป็นเพียงเรื่องผลประโยชน์ของกลุ่มทุนเป็นหลัก ก็กลายเป็นเรื่องที่ทำแล้วประชาชนจะต้องได้ประโยชน์ ชุมชนจะได้ประโยชน์ เป็นพื้นฐาน ไม่ใช่โครงการกลวงๆ ที่สร้างขึ้นมาหลอกถลุงงบประมาณเพื่อการฉ้อฉล โดยที่ประชาชนและประเทศชาติไม่ได้อะไรแบบไทย
5.แม้การเมืองมาเลเซียจะยุ่งเหยิง เต็มด้วยการใช้อำนาจโดยมิชอบ และการทุจริตคอร์รัปชั่น อีกทั้งฝ่ายการเมืองเข้าแทรกแซงครอบงำทุกวงการ แม้กระทั่งกระบวนการยุติธรรม แต่ภายใต้ท้องฟ้าอันมืดมน ก็ยังมีผู้คนที่รักและห่วงใยบ้านเมืองนี้ ทำการรวมกลุ่มเป็นขบวนการที่ขับเคลื่อนของกลุ่มคนหัวก้าวหน้า เป็นแนวร่วมที่ชื่อ Invoke เพื่อร่วมกันขจัดการเมืองน้ำเน่าและกระทำการเพื่อส่วนรวมด้วยความโปร่งใส ต่อเนื่องจากการที่ประชาชนได้ออกมาเคลื่อนไหว เป็นขบวนการสร้างมาเลเซียให้ใสสะอาดสดใส (Bersih)
ในขณะที่ชาวไทยเรามักจะเอาแต่รอพระเอก (ซึ่งมักจะมีตำแหน่ง พลเอก) ขี่ม้าขาวมาช่วยเหลือ แต่ที่ผ่านๆ มา คนไทยก็มักได้เห็นว่า ม้าสีขาวตอนแรกๆ เมื่อเวลาผ่านไป มักเปลี่ยนสีไปเป็นสีเทา ดังนั้น หากจะมองการเคลื่อนไหวของมาเลเซียเป็นตัวอย่างก็คงเป็นเราคนไทยทั้งหลายต่างหากที่จะต้องร่วมมือ ร่วมใจกัน เดินหน้าเป็นพระเอกขี่ม้าขาวด้วยตนเอง ทำการต่อสู้ และทำความสะอาดการเมืองด้วยมือของพวกเราเอง ในฐานะเจ้าของประเทศไทย
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี