ดูเหมือนช่วงนี้ประเทศไทยจะได้รับความสนใจจากสื่อต่างชาติ ทั้งจากพฤติกรรมคนไทยและเจ้าหน้าที่รัฐไทย ไม่ใช่แค่เหตุการณ์นักท่องเที่ยวชาวไทยเข้าไปรุกล้ำสถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังแห่งหนึ่งของสหรัฐ ที่เป็นพื้นที่อันตราย ห้ามเข้าเท่านั้น
แต่ยังมีเหตุที่เกิดในประเทศไทย ด้วยฝีมือคนไทย กลายเป็นกระแสข่าวอับอายไปทั่วโลก คือ เรื่องที่ล่าช้าเกี่ยวกับการตรวจผู้โดยสารขาเข้าที่สนามบินดอนเมืองและสุวรรณภูมิของเจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจคนเข้าเมืองที่เรียกย่อๆ ว่า “เจ้าหน้าที่ตม.” ความล่าช้าดังกล่าวทำให้ไม่น้อยกว่า 25 เที่ยวบิน รวมผู้โดยสารกว่าหมื่นคนต้องตกค้างที่สนามบินนานหลายชั่วโมงเป็นข่าวไปครั้งหนึ่งเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา แต่ดูเหมือนไม่ได้รับความสนใจแก้ปัญหาแบบทันท่วงทีจากเจ้าหน้าที่รัฐ? เพราะวันถัดมา เหตุการณ์ก็เกิดขึ้นซ้ำอีกครั้ง หลังมีผู้โพสต์ลงเฟซบุ๊ค ภาพผู้โดยสารจำนวนมากเข้าคิวไม่เป็นระเบียบ เพื่อรอการตรวจจาก ตม. พร้อมข้อความทำนองว่า ตัวเองต้องติดอยู่ในสนามบินถึงเกือบ 5 ชั่วโมง
ปัญหาดังกล่าวไม่ว่าเกิดจากความผิดพลาดในการบริหารงานหรืออะไรก็ตาม? แต่ที่แน่ๆ นี่ไม่ใช่ครั้งแรก และนอกจากทำให้ประเทศไทยเสียภาพลักษณ์แล้ว ยังอาจส่งผลต่อรายได้การท่องเที่ยวซึ่งถือเป็นแหล่งรายได้สำคัญของประเทศหลายแสนล้านบาทต่อปี แต่ที่สำคัญกว่านั้น ถึงเวลาหรือยังที่ต้องมานั่งตระหนักว่า ตม.บ้านเรามีปัญหามากและอาจจะต้องหวนคิดถึงแทบทุกองคาพยพของตำรวจไทยด้วย!!!
เฉพาะเหตุการณ์นี้ ลองมาดูกันก่อนว่า ปัญหาเกิดมาจากอะไร? เพราะใคร?
แล้วอะไรคือคำว่ารับใช้นาย?
สาเหตุแรกและสาเหตุสำคัญ ว่ากันว่ามาจากการที่เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่พอต่อการให้บริการ ซึ่งจากคำอธิบายของใครบางคน พบว่าจริงหรือไม่ที่ตำรวจถูกสั่งให้ไปทำงานรับใช้นายผู้ใหญ่? แต่ให้มียศมีตำแหน่งอยู่ที่สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง หรือ สตม. โดยบางคนตั้งข้อสังเกตว่า เพื่อหวังกินเบี้ยเลี้ยงพิเศษและค่าตอบแทนที่สูงเป็นพิเศษใช่หรือไม่? นั่นเท่ากับว่าค่าตอบแทนทั้งหมด นายใหญ่ที่ว่านี้ไม่ต้องเป็นคนออกค่าตอบแทนให้นายตำรวจด้วย แต่ใช้ภาษีประชาชนที่บางส่วนเป็นผู้รอรับการบริการตรวจคนเข้าเมือง เป็นผู้ออกให้แทน
ซึ่งก็ไม่รู้ว่านายที่ว่านี้คือใคร? ใช่ตำรวจระดับสูงอย่างที่ใครหลายคนคิดหรือไม่? แต่ที่แน่ๆ ขณะนี้ผบ.ตร.ออกมาตรการว่า ภายใน 2 สัปดาห์ ตำรวจทั้งหมดที่ออกไปรับใช้นาย ต้องกลับเข้าสังกัดมาทำงานให้หมด เมื่อเป็นเช่นนี้สังคมยิ่งอยากรู้ว่า
นายใหญ่คือใคร? ใช่นายตำรวจใหญ่ที่สังกัดอยู่สตช.หรือไม่? เอาเข้าจริงอาจมีนายใหญ่หลายคนหรืออาจมีเหตุผลสมควรก็ได้ สำคัญที่ว่าต้องตอบประชาชนให้ได้ใน 3 ข้อว่า(1)นายที่ว่าใคร? (2)แล้วให้เจ้าหน้าที่ตำรวจตม.ไปทำภารกิจอะไร? และ(3)ระดับผู้บริหารตม.ไม่ทราบหรือว่าจะเกิดปัญหาเช่นนี้ขึ้น?
ประสิทธิภาพและความปลอดภัยอยู่ที่ไหน?
ปัญหา ตม.ยังมีอีกมาก แค่หลับตาก็นึกออกเป็นร้อยเรื่อง เช่น ความผิดพลาดในการตรวจสอบคนเข้าเมือง โดยเฉพาะกรณีเคยมีข่าวบุคคลอันตรายที่มีคดีหรือมีหมายจับ แต่กลับรอดสายตาตม.ผ่านเข้าประเทศไทยได้โดยง่าย ใช่หรือไม่? ตลอดหลายสิบปีสังคมตั้งคำถามเชิงเอือมระอากับปัญหาเหล่านี้ของตม.? ปัจจุบันก็ยังตั้งถามอยู่ว่า ปัญหาที่ว่ารอดมาได้อย่างไร? ได้ตรวจสอบจริงหรือไม่? หรือมีอะไรอยู่เบื้องหลังจึงสามารถเข้ามาพักในไทยได้? ตลอดจนคำถามว่า ถ้ามีตำรวจตม.แล้วไม่สามารถจัดการปัญหาหรือรักษาความปลอดภัยให้ได้ ก็ให้หน่วยงานความมั่นคงทำแทน ไม่ดีกว่าหรือ? นอกจากนี้ตม.ยังมีปัญหาทำงานแบบล้าสมัย ล่าช้าตามสไตล์ระบบราชการไทยที่ตอนนี้เห็นชัดว่า แม้จะเพิ่มเจ้าหน้าที่ตม. ก็ไม่เกิดประโยชน์ เพราะเจ้าหน้าที่ตม.ส่วนใหญ่ถูกดึงไปที่อื่น นอกจากคำตอบที่ถูกมองเป็นเชิงแก้ตัวของสตม.แล้ว ยังมองไม่เห็นรูปธรรมระยะยาวที่ชัดเจนที่สามารถจัดการปัญหานี้ได้
เช่นนี้จึงไม่แปลกหากหลายคนจะบอกว่า ในเมื่อตำรวจมีอำนาจตามกฎหมายมากมาย แต่ไม่มีประสิทธิภาพแถมยังมีวัฒนธรรมรับใช้นายมากกว่าประชาชน จนเกิดการตั้งประเด็นว่าก็ควรจะโอนอำนาจบางอย่างไปให้หน่วยงานอื่นจัดการแทนหรือไม่ เพราะนอกจากตม.แล้วก็ยังมีหน่วยงานสังกัดอื่นในองคาพยพของตำรวจที่ดูเหมือนจะมีพฤติกรรมที่ประชาชนไม่พึงประสงค์เช่นกัน
ตำรวจไทยไม่รู้ว่าสถานบันเทิงอยู่ใกล้สถาบันการศึกษา?
ตำรวจไทยไม่รู้ว่าบ่อน ซ่อง โต๊ะบอลในแต่ละพื้นที่อยู่ที่ไหน?
ตำรวจไทยไม่รู้ว่าแหล่งละเมิดสินค้าลิขสิทธิ์อยู่ที่ไหน?
ตามกฎหมายให้อำนาจตำรวจในการจัดการเยาวชนอายุไม่ถึงตามเกณฑ์กฎหมายที่เข้าสถานบันเทิงและดื่มแอลกอฮอล์ ให้อำนาจจัดการสถานบันเทิงที่เปิดเกินเวลา และจัดการกับสถานบันเทิงที่ตั้งอยู่ใกล้สถาบันการศึกษา แต่ความจริงกลับพบว่าตำรวจไทยไม่เคยรู้เลยว่า สถานบันเทิงในพื้นที่รับผิดชอบตัวเอง อยู่ใกล้สถาบันการศึกษา? ไม่รู้เลยว่าบ่อน ซ่อง โต๊ะบอลอยู่ที่ไหน? ไม่รู้เลยว่าแหล่งละเมิดสินค้าลิขสิทธิ์อยู่ที่ไหน? ที่เห็นชัดๆ ไม่กี่วันนี้ก็สองกรณี กรณีแรกที่นักร้องชื่อดังคนหนึ่งพบว่ามีเยาวชนอายุต่ำกว่าเกณฑ์กฎหมายหลายรายเข้าเที่ยวผับ ที่ตั้งอยู่ใกล้มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในจ.นครปฐม อีกกรณีคือเรื่องผับดังที่เชียงใหม่ตั้งอยู่ใกล้กับมหาวิทยาลัยชื่อดัง ที่ตามกระแสข่าวยังเจอเรื่องที่น่าเศร้ากว่านั้นคือ มีสายจากตำรวจนายผู้ใหญ่คนหนึ่งโทร.มาขอให้ชุดสืบสวนปล่อยตัวเยาวชนที่ถูกจับกุม เพราะกลัวผับจะถูกสั่งปิด 5 ปี เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงหรือไม่?
ทั้งหมดเป็นคำถามที่สงสัยว่า ตำรวจไม่รู้จริงหรือว่าสถานบันเทิงอยู่ใกล้สถาบันการศึกษาทั้งสองแห่ง? แล้วตำรวจเกี่ยวข้องอะไรกับสถานบันเทิงแห่งนั้นหรือไม่? เพราะอะไรจึงต้องกลัวผับจะถูกปิด? แล้วตกลงตำรวจมีหน้าที่จับกุมหรือช่วยเหลือผู้ทำผิดกันแน่? ที่สำคัญตำรวจในพื้นที่ ไม่รู้จริงๆ หรือว่าผับแห่งนี้ปล่อยให้เด็กอายุไม่ถึงเกณฑ์เข้าผับ เข้าบาร์แทบทุกวัน เหมือนก่อนหน้านี้ที่เคยมีข่าวหลายครั้งทำนองว่า ในพื้นที่ทั้ง 2 จังหวัดดังกล่าวมีทั้งบ่อน ทั้งโต๊ะพนันบอลตั้งอยู่ แต่พอประชาชนไปแจ้งความกลับเงียบหาย ไม่มีตำรวจดำเนินการ จนสุดท้ายทหารต้องเข้าไปจัดการ จึงค้นพบข้อมูลว่า ผู้เล่นพนันบอกว่าจ่ายส่วยให้ตำรวจไปแล้ว!?!?!? เหตุใดยังมาจับกุม? เรื่องจริงเป็นอย่างไร?
และไม่ใช่แค่ในพื้นที่ดังกล่าวที่เป็นเช่นนี้ แต่หลายๆ พื้นที่ทั่วประเทศ โดยเฉพาะ 3 ปีหลังในยุครัฐบาลคสช.ที่เอาจริงกับการ
ปราบสิ่งผิดกฎหมาย ก็พบว่า ตำรวจจับไม่ได้ แต่ทหารจับได้ ทั้งโต๊ะบอล บ่อน นำมาซึ่งความสงสัยว่าตำรวจไม่รู้จริงๆ หรือ? ความเอือมระอาตำรวจของประชาชนยังไปถึงการตั้งประเด็นต่อการตั้งด่านลอยดักจับประชาชนหาเช้ากินค่ำ หรือกรณีที่ตำรวจเพิ่งรู้ว่ามีแขกชาวต่างชาติตั้งตัวเป็นมาเฟียเก็บค่าเช่าห้องเดือนละ 30,000 บาท เพื่อให้ชาวต่างด้าวขายของละเมิดลิขสิทธิ์มานานไม่น้อยกว่า 5 ปี ถามว่า กรณีนี้ตำรวจไม่รู้จริงหรือ? ไม่รู้ทั้งเรื่องมีมาเฟีย การขายของละเมิดลิขสิทธิ์ รวมถึงการเรียกค่าเช่าที่แพงมหาโหด ทั้งๆ ที่เหตุการณ์ทั้งหมดอยู่ไม่ไกลจากตัวเองอย่างนั้นหรือ?
ยาเสพติดปราบไม่หมดเพราะใคร?
ยาเสพติดที่ระบาดทั่วบ้านเมือง นำมาซึ่งความสงสัยของประชาชน ประเด็นแรกคือผู้เสพมีมาก? สองคือจับไม่ได้? และสาม
คือไม่ยอมจับ? ถามว่าตำรวจไม่รู้แหล่งผลิตหรือแหล่งพักยาเลยหรือ? หรือข้อสงสัยว่าจับแล้วนำยาเสพติดไปไว้ที่ใด? การปราบทุกวันนี้ ดูไปดูมายิ่งจับ ยาเสพติดยิ่งมีมาก แถมบางครั้งมีการโพสต์ท้าทายขายยาผ่านสื่อสังคมออนไลน์ โดยไม่เกรงใจผู้มีอำนาจในบ้านเมือง
นอกจากนี้ พบปัญหาประชาชนไปร้องเรียนตำรวจด้วยความเดือดร้อนจริงๆ ผลคือประชาชนมองว่าไม่ได้รับความร่วมมือ
จากตำรวจ ล่าสุดมีทั้งกรณีบัตรเอทีเอ็มและบัตรประชาชนหาย รวมถึงกรณีถูกรถเฉี่ยวชน แต่ตำรวจกลับไม่รับแจ้งความ ไล่ให้
กลับบ้านไปก่อน เพราะต้องการจะนอน? หรือบางเรื่องที่เป็นเรื่องใหญ่ แต่เมื่อเจอตอแห่งคดี เจอผู้มีอิทธิพล ประชาชนมักมองว่า ตำรวจตีมึนเพื่อดึงคดี หวังให้หมดอายุความใช่หรือไม่? แม้แต่คดีทายาทเครื่องดื่มชูกำลัง จริงหรือไม่ที่อัยการพบว่าตำรวจไม่ยอมระบุพิกัดของผู้ต้องหาว่า อยู่ที่ใด? ทำให้การประสานงานส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดน ดำเนินการไม่ได้จริงหรือไม่? เรื่องนี้ความจริงคืออะไร? ประชาชนยังติดตามการทำหน้าที่ของตำรวจ?
ถึงเวลาปฏิรูปตำรวจไทย?
ถ้าเหตุการณ์ทั้งหมดนี้คือ วิธีการทำงานของผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ที่แก้ตัวว่ามีภารกิจเยอะเกิน จนทำให้ไพร่พลไม่พอทำงานให้มีประสิทธิภาพ วันนี้เราก็เห็นแล้วว่า กำลังพลมีแต่อัตรา แต่ไม่มีตัวมาทำงานจริง หรือข้ออ้างว่าเงินเดือนน้อยไม่พอเลี้ยงชีพ (เวลาพบตำรวจกระทำผิด) วันนี้ก็รู้แล้วว่าการเลือกปฏิบัติคืออะไร หรือข้ออ้างที่ว่ามีความรับผิดชอบสูงตามอำนาจตามกฎหมายและอำนาจฝากจากหน่วยงานอื่นๆ จึงทำงานไม่ไหวและอาจบกพร่องในประสิทธิภาพ หรือมองไม่เห็นปัญหาในพื้นที่ตัวเอง วันนี้เราก็รู้แล้วว่าฝ่ายความมั่นคงที่ไม่มีประสบการณ์ในเมือง หรือไม่ได้ขลุกในพื้นที่ก็ยังสามารถตามปัญหาและจับกุมผู้กระทำผิดได้
หรือเพราะบางทีมีอำนาจมากเกินไป มากจนกลายเป็นวัฒนธรรมองค์กรในทางไม่พึงประโยชน์ต่อประชาชน
ถึงเวลาหรือยังที่ต้องกระจายภารกิจ ลดอำนาจ และปฏิรูปวัฒนธรรมตำรวจไทย ด้วยการถ่ายโอนอำนาจ หน้าที่ตามกฎหมายบางอย่างไปให้หน่วยงานอื่นที่มีหน้าที่โดยตรง หรือมีความพร้อมและมีประสิทธิภาพมากกว่า เข้ามาทำแทน? เชื่อว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ อีกต่อไป เพราะคสช.บอกจะเอาจริงในการปฏิรูปตำรวจ จนกลายเป็นความหวังของประชาชน แต่มาบัดนี้กี่ปีแล้ว ความหวังกำลังกลายเป็นความหมดหวังและสุดท้ายจะกลายเป็นเสื่อมศรัทธาต่อผู้ที่บอกจะปฏิรูป แต่สุดท้ายยังทำไม่ได้...!!!
........................................................................................
“...ผู้ที่จัดเจนในการใช้ปัญญาความคิดมักเป็นคนอ่อนต่อโลกยิ่ง
ความกลอกกลิ้งและความเจนจัด
ความจริงเป็นเรื่องราวสองประการ”
(คำคมโกวเล้ง จากเรื่อง ดาวตก ผีเสื้อ กระบี่)
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี