วันอันเงียบสงบวันหนึ่ง เงียบจนทางเราก็งงเหมือนกันว่า เนื้อหาที่สื่อหลักทุกสื่อควรกระพือให้สาธารณชนต้องทราบทั่วกันนั้น
กลับเงียบเชียบ เหมือนเป็นเรื่องราวข่าวขอบ ข่าวมุมเล็กๆ
จะมีสักกี่คนครับที่ทราบว่า เมื่อวันที่16 ส.ค. 2560 กลางสัปดาห์ที่ผ่านมานี้พนักงานอัยการได้ยื่นคำแถลง “ปิดคดีโครงการรับจำนำข้าว” ที่อัยการสูงสุดเป็นโจทก์ยื่นฟ้อง ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีผู้ตกเป็นจำเลยเรียบร้อยแล้วเท่านั้นยังไม่พอ ยังมีการยื่นสำนวนคดีระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐหรือที่รับรู้ทั่วกันว่าจีทูจีโกง-จีทูเก๊ จีทูเจ๊งโดยมิชอบอีกด้วย คดีนี้ก็จะมี บุญทรงเตริยาภิรมย์ อดีตรมว.พาณิชย์กับพวกรวม 28 คน พ่วงเข้าไปด้วย
ซึ่งก็อย่างที่เคยย้ำไปครับว่า ศาลฎีกาฯจะนัดฟังคำพิพากษาในวันที่ 25 ส.ค. 2560 นี้
ถึงแม้ว่าจะยังอยู่ในกระบวนการตัดสินของศาล แต่สื่อหลักก็ควรอย่างยิ่งที่ต้องเกาะติดการเป็นไปของข่าวสารในรายละเอียดของคดี เพื่อป้องกันสิ่งที่ฝ่ายยิ่งลักษณ์และพรรคเพื่อไทยทำได้ดีที่สุด นั่นคือ การฟอกผิดเป็นถูก
เรามาดูที่เนื้อหาภายในของคำแถลงปิดคดีปล่อยให้โกงจำนำข้าวดังกล่าวกันว่า เป็นยังไงบ้าง...
อัยการมีการอ้างถึง สตง.-สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน และป.ป.ช.หรือสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ที่แต่แรกเริ่มเดิมทีตรวจสอบพบถึงความไม่โปร่งใสในการดำเนินงาน มีการเตือนหลายต่อหลายครั้งร่วมกับหลาย
หน่วยงาน โดยมีการย้อนไปถึงการจำนำข้าวในสมัยรัฐบาลทักษิณด้วยว่า ป.ป.ช. ก็เคยตรวจสอบพบการทุจริตมาแล้ว
ในส่วนของผลการดำเนินงานหรือการเอาข้าวเข้ามา เพื่อจะต้องบริหารจัดการและขาย พบว่านอกจากปล่อยให้มีการโกงแล้ว ก็ยังมีการขาดทุนสะสมต่อเนื่องมหาศาล กรณีนี้ทำให้มีหนี้ค้างชำระต่อธ.ก.ส.เป็นจำนวนมาก ในที่นี้คือหลักแสนล้าน และตอนนี้ก็ยังจ่ายคืนได้ไม่ครบ ต้องมีการตั้งงบประมาณใช้คืนหนี้ย้อนหลังกันอีกหลายปี
นอกจากเรื่องนี้ยังมีประเด็น การเสื่อมคุณภาพของข้าว รวมถึงปัญหาการไม่ให้ความสำคัญจริงต่อการติดตามเร่งรัดและกระบวนการประเมินผลโครงการนี้ รวมถึงปัญหาทุจริตและความไม่โปร่งใส แน่นอนประเด็นนี้ฝ่ายยิ่งลักษณ์แก้ต่างว่า มีการตั้งคณะกรรมการต่างๆ นานา มีฉากละครที่รองนายกฯที่คุมตำรวจในสมัยยิ่งลักษณ์ มาทำหน้าทำตาขึงขัง แต่พอเอาเข้าจริง พอรู้ว่าโจรเป็นเด็กของใครก็ถอยกันแทบไม่ทัน
คำแถลงปิดคดี ยังมีการยกกรณีคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติที่มีอดีตนายกรัฐมนตรีเป็นประธานฯและมีการเห็นชอบแต่งตั้ง พ.ต.นพ.วีระวุฒิ วัจนะพุกกะ เลขานุการรมว.พาณิชย์ในตอนนั้น ให้ดำรงตำแหน่งในคณะอนุกรรมการชุดต่างๆ ในโครงการรับจำนำข้าวและระบายข้าวของรัฐหลายคณะ ซึ่งปรากฏต่อมาจำนนต่อหลักฐานว่า พ.ต.นพ.วีระวุฒิ คุณหมอคนดังคนนี้ก็คือ หนึ่งในผู้ถูกกล่าวหาว่ามีส่วนร่วมในการทำให้เกิดการโกงข้าวจากการระบายแบบจีทูจีนั่นเอง คุณหมอคนนี้ตอนนี้หนีไปแล้ว!
เท่านั้นยังไม่พอครับ ยังมีความร่วมมืออันดีจากธ.ก.ส. ที่ว่า โครงการนี้มีปัญหาหลายประการ ได้แก่ การขึ้นทะเบียนเกษตรกร,สวมสิทธิ์เกษตรกร, การแจ้งข้อมูลเท็จเกี่ยวกับการปลูกข้าว, ปัญหาการรับมอบข้าวเปลือกโรงสีตรวจสอบคุณภาพไม่ตรงกับข้อเท็จจริงจนเกิดช่องให้มีการหมุนเวียนข้าว, ปัญหาการจัดเก็บข้าวสารในโกดังที่อยู่ในความดูแลขององค์การคลังสินค้า (อคส.) และองค์การตลาดเพื่อการเกษตร (อ.ต.ก.), การสับเปลี่ยนข้าวและข้าวหาย ซึ่งทั้งหมดที่กล่าวมานี้ เคยได้กล่าวไปแล้วใน 4 ขั้นตอน 20 กระบวนการโกงจำนำข้าว โดยอัยการบอกว่า เกือบทุกปัญหาที่ว่ามานี้ไม่พบว่าอดีตนายกฯยิ่งลักษณ์ได้เคยชี้แจงในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี หรือที่ปากว่าตาขยิบบอกว่า ได้ดำเนินการอย่างจริงจังเพื่อป้องกันแก้ไขปัญหาดังกล่าวอย่างเป็นรูปธรรมเลยแม้แต่น้อย
ฝ่ายอัยการยังย้ำต่อโยงกับประเด็นการขายข้าวแบบจีทูจีที่เป็นจุดที่มัดทุจริตได้ชัดเจนที่สุด โดยเมื่อช่วงต้นสมัยรัฐบาลปู ได้ทำการขายข้าวแบบจีทูจีกับรัฐวิสาหกิจจีนรวม 4 สัญญา ตรงนี้คือชัดเจนที่สุดครับ ทุกประเทศทั่วโลกทราบดีว่า ถ้าจะขายข้าวให้รัฐวิสาหกิจจีน จะต้องขายกับรัฐวิสาหกิจที่ชื่อว่า COFCO แต่ว่า รัฐบาลยิ่งลักษณ์ไม่ได้ขายให้กับ COFCO อัยการยังมีการอ้างถึงเอกสารจากการอภิปรายไม่ไว้วางใจของคุณหมอวรงค์ เดชกิจวิกรม อดีตสส.พิษณุโลก พรรคประชาธิปัตย์ และสำนวนการไต่สวนของป.ป.ช. ที่แฉเป็น Flow Chart แฉเป็น Video แฉเป็นภาพถ่าย โยงใยกระบวนการโกงกรณีนี้ที่ชัดเจน จนต้องจำนนในหลักฐานว่า “การระบายข้าวจีทูจีนี้ไม่ได้เกิดขึ้นจริง”
อัยการยังมีการย้อนไปถึงที่มาของการเริ่มต้นโครงการจำนำข้าวแบบยิ่งลักษณ์เอาไว้ด้วยครับ เรียกได้ว่า เป็นการตอกฝาโลงคนโกงได้อย่างน่าชื่นชม
ยิ่งลักษณ์ก็มีการอ้างแบบหน้าด้าน ต้องขอใช้คำว่าหน้าด้านจริงๆ เพราะเรื่องแบบนี้มันเบสิกมากที่แทบจะไม่ต้องประมวลความเข้าใจให้ลึกนัก ก็ควรจะเข้าใจได้ว่านโยบายจำนำข้าวนี้ทำกันมา 30 กว่าปีแล้วแต่ว่าที่ผ่านมาส่วนใหญ่รัฐบาลอื่นๆ ในอดีตจะรับจำนำไม่เกิน 60-70% ของราคาตลาด มีแต่ปี 2546 สมัยรัฐบาลทักษิณ พี่ชายยิ่งลักษณ์นี่แหละ ตอนเป็นนายกรัฐมนตรีที่ยกราคารับจำนำเกินกว่าราคาตลาดเป็นครั้งแรก เริ่มบิดเบือนกลไกตลาด เริ่มทำเพื่อประชานิยม แต่ยังดีกว่ายิ่งลักษณ์นิดเดียวตรงที่ได้จำกัดวงเงินไว้
นโยบายนี้ อัยการบอกว่าเป็นวิธีที่ทำให้จำเลยได้อำนาจรัฐมาโดยง่ายเพราะใช้นโยบายประชานิยมที่ง่ายต่อการได้ประโยชน์ เป็นเพียงนโยบายที่มุ่งหมายจะเอาชนะเลือกตั้งเท่านั้น การใช้นโยบายรับจำนำข้าวเปลือกเกวียนละ 15,000-20,000 บาท คงไม่มีชาวนาคนใดไม่เห็นชอบที่จะสามารถขายข้าวได้ราคาสูงกว่าท้องตลาดถึง 50-60% คือ ภาษาของอัยการที่กล่าวมาข้างต้นนี้ พูดเป็นภาษาชาวบ้านได้ว่า เหยียบหัวชาวนาขึ้นมามีอำนาจ ด้วยการหลอกลวงโดยเอาภาษีประชาชนคนอื่นมาผลาญ แล้วเอาเงินคงคลังของชาติเป็นตัวประกัน
เท่านั้นยังไม่พอนะครับยิ่งลักษณ์เถียงต่อว่าได้ศึกษาวิจัยมาแล้ว แต่อัยการก็ส่งเนื้อหาอัดกลับบอกว่า...ตามทางนำสืบ ไม่ปรากฏว่าจำเลยมีเอกสารหลักฐานที่ได้ผ่านการศึกษาวิจัยที่น่าเชื่อถืออย่างเป็นระบบ ขณะเดียวกันที่น.ส.ยิ่งลักษณ์อ้างพยานหลายปาก เกี่ยวกับนักวิชาการมาเบิกความในประเด็นนี้ว่าเป็นนโยบายที่คุ้มค่าแล้ว ก็เป็นการมองประเด็นมุมเดียว แต่ในมุมอื่นที่สำคัญกว่าหรือไม่ยิ่งหย่อนกว่ากัน หาได้มีความเป็นกลางที่จะวิเคราะห์วิจารณ์ไม่ ทั้งเป็นการเบิกความเลื่อนลอย ไม่มีพยานหลักฐานที่จับต้องได้เป็นรูปธรรม
ซวยยิ่งกว่าเดิมเพราะดันมีพี่ชายที่ชอบพล่ามแบบขี้โม้ไว้ก่อนอัยการแนบเนื้อหา คำพูดเมื่อวันที่ 23 ต.ค.2555 ที่อดีตนายกฯทักษิณให้สัมภาษณ์กับนิตยสารฟอร์บส์ไว้ว่า ตัวเองเป็นคนคิดนโยบายนี้ขึ้นเอง อัยการจึงสรุปไว้ว่า กรณีจึงฟังเป็นอย่างอื่นไม่ได้ นอกจากจะสรุปว่า อ้าว!ก็ทักษิณเป็นคนคิดนโยบายนี้แต่เพียงผู้เดียว โดยปราศจากการศึกษาวิจัยที่น่าเชื่อถือมารองรับ แล้วอยู่ๆ จะมาอ้างว่าตัวเองวิจัยมาแล้วได้อย่างไร และสรุปสุดท้ายก็ชัดไปอีกตรงที่บอกว่า...โดยเนื้อแท้แล้วเสมือนหนึ่งการคิดนโยบายหาเสียงเพื่อชนะเลือกตั้งเท่านั้นชาวนาไทยมี 4 ล้านครัวเรือน รวมครอบครัวเข้าไปด้วยก็ 10 ล้านกว่าคน ได้คะแนนเสียงจากคนกลุ่มนี้กลุ่มเดียวก็มองออกแล้วครับว่าจะชนะเลือกตั้งได้โดยง่าย
จำได้ไหมครับ “ทักษิณคิด เพื่อไทยทำ” แต่พอจะติดคุกดันอ้างงานวิจัยตลกสิ้นดี
ว่ากันใหม่ จนกว่าคำพิพากษาจะออกครับ เราจะคอยจับตาประเด็นจำนำข้าวนี้ไปด้วยกัน
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี