ต่อภัสสร์ : ช่วงนี้มีกฎหมายใหม่ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการต่อต้านคอร์รัปชันถูกเสนอออกมาอย่างต่อเนื่องเลยนะครับ อย่างสัปดาห์ที่แล้วที่เราได้เขียนวิเคราะห์กันไปแล้ว คือข้อเสนอแนวทางการเปิดเผยข้อมูลทรัพย์สินของข้าราชการอย่างครอบคลุม ที่สำนักงาน ก.พ.นำเสนอคณะกรรมการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ (คตช.) ผ่านคณะอนุกรรมการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ ด้านการป้องกันการทุจริต โดยมีงานวิจัยของคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยสนับสนุน
ต่อมาสัปดาห์นี้ก็มีข่าวฮือฮาอีกรอบ ในวันที่ 17 สิงหาคม เมื่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) มีมติ 150 คะแนน ต่อ 0 คะแนน งดออกเสียง 7 คะแนน เห็นชอบร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนบุคคลกับประโยชน์ส่วนรวม พ.ศ. ... หรือ ที่หลายๆท่านอาจจะเคยได้ยินกันในชื่อเล่นว่า กฎหมาย 4 ชั่วโคตร โดยให้ตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ จำนวน 29 คน มีกำหนดแปรญัตติ 15 วัน และพิจารณาภายใน 60 วัน
ฟังชื่อกฎหมายสี่ชั่วโคตรนี้แล้วรู้สึกน่ากลัวมาก บางคนคิดไปว่าจะให้ลงโทษประหารสี่ชั่วโคตรเหมือนในสมัยโบราณหรือในหนังจีนเลยหรือเปล่า ตอบเลยว่าไม่ใช่นะครับ แล้วเรื่องการลงโทษประหารชีวิตนั้น เราเคยคุยกันไปเมื่อหลายเดือนที่แล้วว่า ถึงแม้จะฟังดูสะใจดี แต่ในความจริงมีงานวิชาการสนับสนุนว่า ลงโทษประหารไปก็ไม่ได้ช่วยให้การทุจริตลดลงได้ แถมยังจะมีต้นทุนความเสี่ยงอื่นๆอีก เช่น ประหารผิดคน ดังนั้นในบทความตอนนี้เราจึงจะมาคุยกันง่ายๆว่า กฎหมายสี่ชั่วโคตร นี่มันคืออะไรกันแน่ มันจะช่วยต้านโกงได้อย่างไร และจะได้ผลจริงหรือ
ต่อตระกูล: จริงอย่างที่บอกมาเลย ถ้าไม่เคยอ่านเรื่องนี้มาก่อนก็อาจจะเผลอคิดว่าเป็นกฎหมายประหารชีวิตสี่ชั่วโคตร แต่ที่จริงแล้วนี่คือกฎหมายป้องกันการมีผลประโยชน์ทับซ้อนระหว่างผลประโยชน์ส่วนตัวและผลประโยชน์ส่วนรวม หรือ Conflict of Interest และที่เป็นสี่ชั่วโคตร ก็หมายถึง ญาติพี่น้องสี่ลำดับที่ต่อไปจะถูกห้ามไม่ให้รับผลประโยชน์จากโครงการภาครัฐที่ญาติตนกำกับดูแล หรือง่ายๆ ก็คือป้องกันไม่ให้ญาติพี่น้องหาผลประโยชน์กันเองจากภาษีประชาชน
ก่อนจะลงรายละเอียดกฎหมายฉบับนี้ ขอเกริ่นนำหน่อยว่า ที่จริงแนวทางป้องกันผลประโยชน์ทับซ้อนนี้ ก็มีระบุในกฎหมาย ป.ป.ช.มาตรา 100 อยู่แล้ว ที่บังคับใช้กับเจ้าหน้าที่ของรัฐ 4 ตำแหน่ง ได้แก่ นายกรัฐมนตรี,รัฐมนตรี,ผู้บริหารท้องถิ่นและรองผู้บริหารท้องถิ่น รวมทั้งคู่สมรสบุคคลที่ดำรงตำแหน่งทั้ง 4 ตำแหน่งนี้ ไม่ให้เป็นคู่สัญญา,รับสัมปทานหรือไปรับผลประโยชน์จากบริษัทเอกชนที่ทำธุรกรรมกับหน่วยงานรัฐที่เจ้าหน้าที่รัฐนั้นกำกับดูแลอยู่ ซึ่งกฎหมายมาตรา 100 นี้เองที่ศาลตัดสินเอาผิดและลงโทษนายทักษิณ ชินวัตร คดีที่ดินรัชดา ในฐานะเป็นเจ้าหน้าที่รัฐมีส่วนได้เสียในการให้ภรรยา คือคุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร (ชินวัตร) ประมูลที่ดินดังกล่าวไปได้ในราคาต่ำกว่าความเป็นจริงกว่า 2,000 ล้านบาท
ต่อมาปี 2550 สมัยรัฐบาลพล.อ.สุรยุทธ จุลานนท์ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.)ขณะนั้นได้พิจารณาร่างกฎหมายฉบับหนึ่งนำเสนอโดย ดร.ธีรภัทร์ เสรีรังสรรค์ ที่ขยายความครอบคลุมผู้ที่อยู่ในขอบเขตการมีผลประโยชน์ทับซ้อนกับเจ้าหน้าที่รัฐกว้างกว่าเพียงคู่สมรส ไปถึงลูก พี่น้อง และญาติด้วยอีกถึง 7 ลำดับ จนกฎหมายฉบับนี้ได้รับชื่อเล่นว่า กฎหมาย 7 ชั่วโคตร ซึ่งเป็นที่ถกเถียงกันมาก อย่างไรก็ตามแม้จะผ่านความเห็นชอบของสนช.ในที่สุด แต่ยังไม่ทันประกาศใช้เป็นกฎหมาย ก็มีคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญออกมาเมื่อปี 2551 ว่ากระบวนการออกกฎหมายฉบับนี้มีปัญหาเพราะองค์ประชุมไม่ครบ ทำให้ร่างกฎหมายนี้ตกไป แล้วก็ไม่มีการหยิบร่างนี้มาพิจารณากันอีกเลย
จนกระทั่งสมัยนี้ จึงรื้อฟื้นแนวคิดการป้องกันผลประโยชน์ทับซ้อนด้วยกฎหมายอีกครั้ง แต่คราวนี้จำกัดคำนิยาม“ญาติ”ให้แคบลงกว่าเดิม ครอบคลุมลำดับหนึ่ง บุพการี ลำดับสอง ผู้สืบสันดาน บุตรบุญธรรมหรือผู้รับบุญธรรม ลำดับสาม คู่สมรส รวมถึงผู้ซึ่งอยู่กินฉันสามีภริยาโดยไม่ได้จดทะเบียนด้วย และลำดับสี่ พี่น้องร่วมบิดาหรือมารดา จึงเป็นที่มาของคำว่า กฎหมาย 4 ชั่วโคตร โดยญาติเหล่านี้ห้ามรับของขวัญ ของที่ระลึก เงิน ทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดจากผู้ที่เจ้าหน้าที่รัฐนั้นมีส่วนเกี่ยวข้องด้วย
อีกจุดเด่นหนึ่งของร่างกฎหมายฉบับนี้ คือความละเอียดของการกระทำที่ถือเป็นการขัดกันระหว่างผลประโยชน์ส่วนบุคคลกับประโยชน์ส่วนรวม ในมาตรา 5 แค่มาตราเดียวก็มีความยาวถึง 1 หน้าครึ่งกระดาษ A4 ทีเดียวเช่น การกำหนดนโยบายเอื้อประโยชน์, การใช้ข้อมูลภายในที่เป็นความลับ,การริเริ่มและอนุมัติโครงการ, การใช้ทรัพย์สินของหน่วยงานราชการเพื่อประโยชน์ส่วนตน และการใช้ตำแหน่งหรืออำนาจในทางทุจริต ซึ่งแต่ละข้อมีการอธิบายอย่างละเอียดอีกที นอกจากนี้การกระทำที่ห้ามแต่ละข้อนั้น บังคับใช้กับเจ้าหน้าที่รัฐไม่เท่ากัน เช่น ข้อหนึ่งถึงสามบังคับใช้กับผู้ดำรงตำแหน่งในระดับสูงเท่านั้น ส่วนข้ออื่นๆบังคับใช้กับทุกตำแหน่ง ที่สำคัญทุกข้อห้ามให้บังคับแก่คู่สมรสหรือบุตรของเจ้าหน้าที่รัฐนั้นๆด้วย
ต่อภัสสร์: ร่างกฎหมายฉบับนี้ มี
นักวิเคราะห์วิพากษ์วิจารณ์กันหลากหลายมาก ทั้งแง่บวกและแง่ลบ ในแง่บวกเช่นความครอบคลุมของผู้ที่อยู่ในขอบเขตจะมีผลประโยชน์ทับซ้อน ความละเอียดของการนิยามการกระทำผิดและลำดับการบังคับใช้ข้อห้ามกับเจ้าหน้าที่รัฐตำแหน่งที่แตกต่างกัน เพื่อความเหมาะสมในการทำงานจริง แต่ในแง่ลบหรือข้อด้อยก็มีมาก เช่น สร้างความลำบากในการทำงานของ
เจ้าหน้าที่รัฐที่สุจริตอยู่แล้ว และการตีความการกระทำที่ถือเป็นความผิดบางข้อ ผมขอยกเป็นประเด็นคำถามมาบางข้อนะครับ
ประการแรก ในวงการวิชาการถกเถียงกันพอสมควรเรื่องการป้องกันการคอร์รัปชันด้วยการเพิ่มกฎระเบียบ โดยเฉพาะระเบียบป้องกันการเกิดผลประโยชน์ทับซ้อน เพราะ 1.ในทางวิชาการแล้ว การทับซ้อนกันของผลประโยชน์นั้น ยังไม่ใช่การคอร์รัปชัน บุคคลมีโอกาสอยู่ในตำแหน่งที่มีผลประโยชน์ทับซ้อนได้บ่อยครั้งด้วยความจำเป็นหรือไม่ตั้งใจ โดยไม่เจตนาและไม่มีการกระทำทุจริต แต่เมื่อมีกฎหมายห้ามไว้แล้ว อย่างไรก็ผิดกฎหมาย สิ่งนี้อาจทำให้ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองและข้าราชการไม่กล้าออกนโยบายใหม่ๆหรือตัดสินใจเรื่องสำคัญๆอย่างทันท่วงที ดังนั้นมีวิธีการอย่างไรที่จะป้องกันการเกิดผลประโยชน์ทับซ้อนโดยไม่เพิ่มความเสี่ยงในการลดประสิทธิภาพการทำงานได้
ประการที่สองคือ การบังคับใช้กฎหมายนี้ เนื่องจากข้อดีของกฎหมายคือความครอบคลุมและความละเอียด จึงตามมาด้วย
ข้อด้อยคือ การตามตรวจสอบรายละเอียดเหล่านี้ หากหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายไม่สามารถหาวิธีที่มีประสิทธิภาพมากมาช่วยตรวจสอบ เช่น การใช้เทคโนโลยีทันสมัยมาประมวลและวิเคราะห์ผล แต่ยังใช้คนมาไล่ตรวจเอกสาร สุดท้ายกฎหมายก็จะเป็นแค่ตัวหนังสือในกระดาษที่ไม่มีใครกลัว นอกจากนั้น การตรวจสอบนี้ ต้องประเมินต้นทุนให้รอบคอบด้วย ไม่อย่างนั้นต้นทุนการตรวจสอบจะสูงมากจนไม่คุ้มค่ากับการดำเนินงานต่อ แล้วก็ต้องยกเลิกหรือชะลอไป ดังนั้นหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายฉบับนี้ มีการเตรียมตัวไว้พร้อมแล้วหรือยัง
ประการที่สาม ถ้าต่อไปเจ้าหน้าที่รัฐที่ขี้โกงไหวตัวทันและปรับตัว ไปเอาคนไว้ใจที่ไม่ใช้ “ญาติ” ตามคำนิยามของกฎหมายนี้
เช่น เลขานุการ คนขับรถ แม่บ้าน คนสนิท มารับผลประโยชน์แทน เหมือนกับที่เราเคยได้ยินกันบ่อยๆในอดีตว่านักการเมืองมักทำกันเป็นปกติ แล้วกฎหมายฉบับนี้จะสามารถปรับตัวไปแก้ไขสถานการณ์ได้อย่างไรบ้าง
ต่อตระกูล: เป็นคำถามที่น่าสนใจทั้ง 3 ข้อ หวังว่าผู้ออกแบบกฎหมายและผู้ที่จะต้องบังคับใช้กฎหมายคงได้คิดเผื่อไว้แล้ว เพราะเมื่อร่างกฎหมายฉบับนี้ผ่าน สนช.ไปแล้ว เราคงจะได้เห็นกฎหมายนี้มีผลบังคับใช้จริงเร็วๆนี้แล้ว
ประเด็นคำถามหนึ่งที่อยากจะทิ้งท้ายคือ ผู้อ่านมีความเห็นอย่างไร หากคู่สมรสหรือบุตรของเจ้าหน้าที่รัฐเป็นคนเก่งจริง ทำงานได้คุณภาพเหนือคู่แข่งอื่นๆทั้งหมดและราคาเหมาะสมด้วย เขาควรจะได้รับโอกาสรับงานภาครัฐหรือไม่ หรืออีกกรณีหนึ่งที่เราเคยได้ยินบ่อยๆช่วงที่ผ่านมา คือบุตรหลานของเจ้าหน้าที่รัฐมารับตำแหน่งรับเงินเดือนจากรัฐ หากเขามีความสามารถจริง จะสามารถช่วยพัฒนาประเทศชาติได้ แบบนี้เขาควรได้รับโอกาสเข้ามาทำงานหรือไม่
คำถามนี้สามารถถกเถียงกันได้ยาว ทั้งในแง่มุมทางวิชาการ การปฏิบัติจริง และมุมมองจากสาธารณะ สิ่งหนึ่งที่จะสามารถช่วยให้ได้ข้อตกลงและทางออกที่เหมาะสมมากที่สุดได้คือการสร้างความโปร่งใสในสังคม เมื่อทุกคนได้รับทราบข้อมูลเท่าเทียมกัน โอกาสการทุจริตจากผลประโยชน์ทับซ้อนก็จะลดลงได้โดยไม่ลดทอนประสิทธิภาพการทำงานด้วย
รศ.ดร.ต่อตระกูล ยมนาค และดร.ต่อภัสสร์ ยมนาค
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี