จากนี้ไม่ถึง 24 ชั่วโมง ก็จะรู้กันแล้วว่า คดีจำนำข้าวที่มีจำเลยเป็นถึงอดีตนายกฯจะมีบทสรุปออกมาเป็นเช่นไร? รวมถึงจะมีเหตุชุลมุนวุ่นวายอะไรเกิดขึ้นหน้าศาลฎีกาฯ ภายหลังมีคำพิพากษาอย่างที่หลายฝ่ายคาดการณ์ไว้หรือไม่? อย่างไรก็ดีอาจจะมีบางคนที่ยังไม่รู้ถึงแก่นสาระสำคัญของคดีนี้อย่างแท้จริงว่า ที่จริงแล้วไม่ใช่เรื่องยกเลิกโครงการจำนำข้าวแล้วจะไม่ช่วยเหลือชาวนา แต่แท้จริงคือการพิจารณาว่า อดีตนายกฯหญิงมีความผิดฐานเป็นเจ้าหน้าที่รัฐละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ตามประมวลกฎหมายอาญา ม.157 และมีความผิดตามพ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติจนเป็นสาเหตุให้เกิดความเสียหายหรือการทุจริตในโครงการรับจำนำข้าวมากกว่า 5 แสนล้านบาทจริงหรือไม่?
ประเด็นนี้คือประเด็นสำคัญที่จะต้องพิสูจน์กันในชั้นศาล!!!
แต่ถ้าย้อนความหลัง ทบทวนเหตุการณ์ตลอด 2 ปีกว่าในโครงการจำนำข้าวที่เริ่มช่วงปี 2554 อดีตนายกฯหญิงยืนยันเสมอว่าจะไม่ยุติหรือระงับโครงการ ตรงกันข้ามจะสนับสนุนโครงการจำนำข้าวและจีทูจีเต็มที่ อ้างเพื่อประโยชน์ต่อชาวนาและเป็นไปตามนโยบายที่แถลงต่อรัฐสภา? ทั้งที่ตลอดเวลาการดำเนินโครงการ มีหลายหน่วยงานทั้งองค์กรอิสระอย่าง ป.ป.ช. รัฐสภา รวมถึงสถาบันวิชาการหลายแห่งเช่น ทีดีอาร์ไอ, นิด้า แม้แต่หน่วยราชการที่เกี่ยวข้อง ได้ส่งหนังสือท้วงติงนับครั้งไม่ถ้วน ทั้งที่เป็นข้อเท็จจริง ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับโอกาสความล้มเหลว ผลกระทบทางงบประมาณและเศรษฐกิจ การทำลายระบบตลาดตลอดจนส่อแววจะมีการทุจริตทุกขั้นตอน ตั้งแต่ช่วงแรกๆ ที่เริ่มโครงการใช่หรือไม่? ไม่เพียงเท่านั้นยังมีหลายสื่อขยายความประเด็นนี้ ให้อ่านให้ฟังแต่อดีตนายกฯยังยืนยันดำเนินการต่อไป ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่า ไม่ยอมฟังกระแสสังคม ในที่สุดเป็นที่มาให้ป.ป.ช. ชี้มูลความผิด ส่งสำนวนให้อัยการสูงสุดเป็นโจทก์ยื่นฟ้อง ซึ่งป.ป.ช.และอัยการยืนยันมาตลอดเช่นกันว่า อดีตนายกฯหญิงปล่อยปละละเลยนำมาซึ่งความเสียหายและการทุจริตจริง ผ่านการแสดงเอกสารหลายหมื่นหน้าและพยานบุคคล 14 ปากที่นำมาสู้คดี เพราะเรื่องนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเพียงคืนเดียวแต่เกิดขึ้นตลอด 2 ปี!!!
จนระยะหลังที่คดีงวดเข้าทุกขณะ สื่อหลายแขนงและสังคมส่วนใหญ่เริ่มตั้งข้อสังเกตว่าฝ่ายการเมืองของกลุ่มจำเลยพยายามจะเบี่ยงประเด็นเรื่องนี้ หลังพบมีใครบางคนออกมาพูดทำนองว่าถ้าคำพิพากษาออกมาว่า คดีนี้ผิดจริง ก็เท่ากับเป็นการทิ้งชาวนา เพราะการจำนำข้าวแทบจะเป็นโครงการเดียวที่สามารถช่วยเหลือชาวนาได้?สอดคล้องกับไม่กี่วันมานี้ที่มีนักการเมืองบางคนและสื่อเลือกฝ่ายบางสื่อจงใจใช้สถานที่สถาบันการศึกษาบางแห่งอิงแอบสร้างความน่าเชื่อถือให้ตัวเอง ใช่หรือไม่? โดยมุ่งสะท้อนภาพทำนองว่า โครงการจำนำข้าวเป็นเพียงทางเลือกเดียวของชาวนาและของประเทศ เสมือนหนึ่งประเทศหมดทางเลือกแล้วอย่างไงอย่างงั้น? ทั้งๆที่ความจริงประเด็นนี้เป็นคนละส่วนกับประเด็นของคดีใช่หรือไม่? ที่สำคัญกว่านั้นคือต้องตั้งคำถามให้หนักว่าประเทศเราจนตรอกถึงขั้นที่ว่าถ้าไม่มีโครงการจำนำข้าวชาวนาจะอยู่ไม่ได้จริงหรือ? หรือที่จริงเรามีทางเลือกมากกว่านั้น?
สมมุติว่า โครงการจำนำข้าวไม่มีเรื่องทุจริต ถามว่ามั่นใจหรือว่าโครงการจะไปรอดโดยประเทศไม่เจ๊งด้วย? เพราะเท่าที่ทราบจากสื่อต่างๆพบว่า โครงการจำนำข้าวเสียหายไม่น้อยกว่า 5 แสนล้านบาท หรือจากรายงานทีดีอาร์ไอพบว่า เป็นโครงการที่ขาดทุนเกือบ 6 แสนล้านบาท และถ้าต้องใช้เวลานานถึง 10 ปี ระบายข้าวคงค้างทั้งหมด รัฐจะเสียหายเพิ่มถึงเกือบ 7 แสนล้านบาท ทั้งมีรายงานให้เห็นชัดเจนถึง 5 ข้อของโครงการจำนำข้าวที่ทำลายระบบเศรษฐกิจ อย่างไรก็ดี หากบางคนบอกได้ช่วยเหลือชาวนา ก็เป็นความเสียหายที่คุ้มค่า แต่หากประเมินแบบคร่าวๆ แล้ว ช่วยชาวนาได้เพียง 2 แสนล้านบาทเท่านั้น แล้วอีก 3 แสนล้านบาท หายไปไหน? กับใคร? เหตุใดอดีตนายกฯจึงถูกรัฐเรียกค่าเสียหายย้อนหลังถึง 35,717 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 20 จากมูลค่าความเสียหายทั้งหมดที่ 286,000 กว่าล้านบาท?หรืออาจเพราะมีการปล่อยปละละเลยจนเกิดกระบวนการทุจริตจริงใช่หรือไม่?
เพราะเท่าที่ติดตามข้อมูลพบว่า มีความเป็นไปได้ที่มีการทุจริตขึ้นทุกระดับตั้งแต่การรับจำนำข้าว จนถึงขายทอดตลาด มิใช่หรือ? ต่อให้
บอกว่ารัฐต้องเสียเงินรับจำนำข้าวจากชาวนาตันละ 15,000 บาท ตามราคาที่ประกาศไว้ แต่ความเป็นจริง ชาวนาได้ถึง 15,000 บาท หรือไม่?และต่อให้ไม่พูดถึงเรื่องทุจริต ก็ต้องถามว่า แล้วต้นทุนโครงการทั้งหมดคุ้มค่ากับที่ลงทุนหรือไม่? ถามว่าที่ผ่านมาจนถึงตอนนี้ รัฐบาลเสียค่าดูแลค่าบริหารจัดการ ค่าจัดเก็บรักษาข้าววันละกี่สิบล้านบาท? แล้วผ่านมากี่พันวันแล้ว? หนำซ้ำต้องผ่านทั้งกระบวนการเจ้าหน้าที่กี่กระทรวง กี่กรมผ่านต้นทุนเก็บข้าวอีกเท่าไหร่? และสุดท้ายเมื่อจำนำแล้ว รัฐก็ต้องขายเอง ต้องเสียต้นทุนอีกเท่าไหร่? นี่ยังไม่นับเรื่องกระบวนการทำลายตลาดที่ทำให้พันธุ์ข้าวเสีย เพราะมุ่งปลูกข้าวพันธุ์ที่ต้นทุนถูกที่สุดผลที่ตามมาทำให้ได้ข้าวคุณภาพแย่และเสื่อมที่สุดจริงหรือไม่?
ไม่ต้องแปลกใจถ้าทั้งหมดนี้ส่งผลให้หนี้สาธารณะปี 2555-2557 พุ่งสูงเป็นประวัติการณ์ ตัวเลขที่พุ่งสูงล้วนมาจากงบประมาณที่เสียกับโครงการจำนำข้าวทั้งสิ้น ใช่หรือไม่? มีคนบอกว่าถ้านำเงินทั้งหมดแจกให้ชาวนา อาจได้รับประโยชน์มากกว่าทำผ่านโครงการจำนำข้าวด้วยซ้ำ เพราะสุดท้ายคนที่รวยคือโรงสีไม่ใช่ชาวนา และที่บางฝ่ายพูดว่า ชาวนาจนใน 2 ปีนี้ ถ้ามีโครงการจำนำข้าวชาวนาก็รอดไปแล้วก็ต้องถามข้อเท็จจริงว่า ปีหนึ่งน้ำแล้ง อีกปีน้ำท่วม ช่วง 2 ปีนี้ผลผลิตไม่เกิดเพราะปลูกข้าวไม่ได้ แล้วถ้ามีโครงการจำนำข้าว แน่ใจหรือว่าช่วยได้? เพราะเอาเข้าจริงโครงการไม่ครอบคลุมความช่วยเหลือด้านอุทกภัย วาตภัย หรือภัยพิบัติธรรมชาติ แต่กลับกันถ้าจะใช้โครงการอื่นๆที่เคยมีในสมัยรัฐบาลต่างๆ อาจช่วยให้ชาวนามีรายได้มากขึ้นบ้างใช่หรือไม่? เช่น โครงการประกันภัยพืชผล หรือประกันรายได้เกษตรกรที่เคยทำมาหลายรัฐบาล ก็ต้องยอมรับว่าเป็นต้นทุนไม่น้อย แต่ทั้งหมดอย่างน้อยพอจะเห็นภาพได้ว่า ประเทศไทยยังมีทางออกโดยไม่ต้องพึ่งโครงการจำนำข้าวอย่างที่บางกลุ่มการเมืองพูดไว้ อย่างไรก็ดีสิ่งสำคัญที่สุดตอนนี้ที่ คสช.ควรทำอยู่ดี ก็คือนโยบายของหน่วยงานรัฐที่ต้องลงมาแก้ปัญหาและวางแผนอย่างจริงจังถึงอนาคตของชาวนา และอนาคตของข้าวไทยในเวทีโลก
และเช่นเดียวกันอีกสิ่งสำคัญหนึ่งที่ต้องยอมรับว่า กำลังวิกฤติคือ ความเป็นไปของประชาชนระดับฐานรากทั้งในภาคแรงงานและเกษตรกรรวมหลายสิบล้านคนที่กำลังลำบาก ซึ่งต้องยอมรับว่าเป็นความผิดพลาดและความประมาทของหน่วยงานรัฐ บรรดาข้าราชการ กลไกขับเคลื่อนหลักในการดำเนินนโยบายช่วยเหลือประชาชนฐานรากตลอดช่วง 3 ปีของรัฐบาลปัจจุบันใช่หรือไม่?
ว่ากันตามจริงแบบไม่เข้าข้างใคร ต้องยอมรับว่าเศรษฐกิจไทยกำลังมีวิกฤติโดยเฉพาะเศรษฐกิจฐานราก ทุกวันนี้ลองถามพ่อค้าแม่ค้า ผู้ประกอบอาชีพหาเช้ากินค่ำได้ว่าเป็นเช่นไร? เงินถึงมือเหมือนแต่ก่อนหรือไม่? หรือลองดูได้จากที่สำนักงานพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เผยแพร่ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจโดยรวมปี 2560 ที่พบว่าปรับลดลงจากเดือนก่อนและมีแนวโน้มจะลดลงต่อเนื่อง สาเหตุสำคัญหนึ่งที่ทำให้สภาพเศรษฐกิจไทยเป็นเช่นนี้ ต้องยอมรับว่า เป็นเพราะเรื่องเหล่านี้ถูกสั่งสมมานาน ไม่เคยได้รับการแก้ไขจริงหรือไม่? หรือทุกวันนี้ยังมีอยู่และรุนแรงขึ้นอย่างปฏิเสธไม่ได้ ยิ่งเมื่อราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ แต่เจ้าของธุรกิจบางกิจการกลับรวยขึ้น มีสินค้าเข้ามาขายจนกลายเป็นผูกขาดมากขึ้น ส่งผลให้ตลาดท้องถิ่นตายมากขึ้น เช่นนี้ประชาชนฐานรากจึงขาดสภาพคล่อง ต้องพึ่งพาแหล่งเงินกู้มากขึ้น สังเกตให้ดีจะพบว่า ระบบเศรษฐกิจไทยเริ่มเข้าสู่ภาวะการผูกขาดแล้ว ขณะที่หนี้ครัวเรือนพุ่งสูงมากขึ้นต่อเนื่อง จนปัจจุบันไทยมีหนี้ครัวเรือนสูงติดอันดับ 3 ของเอเชีย สวนทางกับจีดีพีโดยรวมที่หน่วยงานรัฐมักโฆษณาว่าโตขึ้น แต่แท้จริงโตขึ้นปีละ 2-3% เพราะมีกลุ่มนายทุนเพียงหยิบมือได้กำไรใช่หรือไม่?
หรืออย่างภาคการเกษตรที่ราคาพืชผลหลายชนิดอยู่ในระดับต่ำและแนวโน้มต่ำต่อเนื่อง แลดูสวนทางกับที่หน่วยงานรัฐพูดย้ำเสมอ แต่ที่ผ่านมาหลายต่อหลายครั้ง เกษตรกรอาชีพของคนส่วนใหญ่กลับถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองเพื่อช่วงชิงฐานสนับสนุนผ่านนโยบายประชานิยม มากกว่ามุ่งหวังที่จะเห็นเกษตรกรได้ลืมตาอ้าปาก หรือมากกว่าคิดที่จะพัฒนาภาคเกษตรให้มีประสิทธิภาพยั่งยืน ใช่หรือไม่?สุดท้ายหลายโครงกรออกมาแทนที่จะช่วยแก้ปัญหาได้ กลายเป็นการแทรกแซงกลไกตลาดซ้ำเติมเกษตรกรให้ลำบากขึ้น จึงไม่แปลกที่
ทุกวันนี้แรงงานภาคเกษตรที่มีกว่า 40% ของแรงงานทั้งหมดในประเทศจะผลิตจีดีพีได้เพียง 10% ของจีดีพีทั้งหมด เป็นผลจากการที่หน่วยงานรัฐไม่เคยส่งเสริมให้ความรู้เกษตรกร ไม่เคยช่วยให้เข้าถึงโอกาสใหม่ๆ ไม่เคยช่วยให้เข้าถึงเทคโนโลยีและการวิจัยที่จะทำให้สามารถผลิตสินค้าคุณภาพมากพอแข่งขันในตลาดได้ สุดท้ายคุณภาพและสินค้าเกษตรจึงตกต่ำเช่นทุกวันนี้ และต้องยอมรับว่ารัฐบาลปัจจุบันแม้ไม่มีนักการเมือง แต่ก็ไม่ได้ทำอะไรให้ดีขึ้น!!!
ทั้งหมดนี้คือประเด็นสำคัญที่ภาครัฐต้องยอมรับให้ได้ว่า เป็นปัญหาจริง และจากนี้คือประเด็นที่ท้าทายรัฐบาลว่า จะหาทางแก้ไขอย่างไรในเมื่อ 3 ปีที่ใช้ระบบราชการเป็นตัวขับเคลื่อน ไม่ประสบความสำเร็จ?หนำซ้ำระบบราชการยังเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนา หรือแท้จริงถึงเวลาแล้วที่ต้องเปลี่ยนตัวผู้ดำเนินนโยบายอีกครั้งในรอบปีกว่าๆ ที่เหลือของรัฐบาลชุดนี้
ที่บอกว่ายังเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนา นั้นก็เพราะระบบราชการไทยมีขนาดใหญ่มาก ในช่วงสิบปีที่ผ่านมา ขนาดของภาคราชการเพิ่มขึ้นถึง 60%มีข้าราชการและพนักงานราชการรวมกันไม่น้อยกว่า 2,300,000 คนค่าใช้จ่ายต่อปีอยู่ที่ 1.1 ล้านล้านบาท คิดเป็น 7.2% ของจีดีพีทั้งประเทศทำให้ประชาชนคาดหวังการได้รับการช่วยเหลืออย่างมาก แต่เอาเข้าจริงไม่สามารถถามหาประสิทธิภาพการทำงานที่ดีหรือการช่วยเหลือที่ทันท่วงทียามมีภัยพิบัติต่างๆ เช่น กรณีอุทกภัยครั้งใหญ่ปี 2554 หรือกรณีการขับเคลื่อนนโยบายแก้ไขปัญหาความยากจนหรือแก้ความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา ปัญหาทั้งหมดเกิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า ถูกพูดถึงมานับทศวรรษแล้ว แต่ไม่เคยถูกแก้ไขจริงจัง หนำซ้ำทรัพยากรอีกมากมายก็ถูกครอบครองและบริหารจัดการโดยภาคราชการ ตั้งแต่ทรัพยากรเศรษฐกิจจนถึงเทคโนโลยีที่จะสามารถนำมาสร้างการวิจัยและพัฒนาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของประเทศได้ แต่สุดท้ายเครื่องมือทั้งหมดเหมือนสูญเสียไปแบบเปล่าประโยชน์ ใช่หรือไม่? เพราะระบบราชการและข้าราชการไทยปัจจุบันไม่ได้เข้าถึงการรับรู้ปัญหาแท้จริงของประชาชนเลย
ที่สำคัญ ทุกวันนี้ประเทศไทยยังมุ่งแต่จะเพิ่มอำนาจรัฐในการจัดการทุกเรื่อง แผ่ขยายขอบเขตของตัวเอง หวังให้บริการและกิจการคลอบคลุมประชาชนทุกภาคส่วน ขณะที่ต่างประเทศกำลังคลายอำนาจราชการ เพราะรู้ดีถึงจุดอ่อน ความพะรุงพะรัง ล่าช้า ไม่ทันโลกเทคโนโลยีและการไม่ยึดโยงกับประชาชนของระบบราชการว่า ล้วนคือปัญหาหลักของประเทศ
วันนี้เรากำลังกำจัดนักการเมืองชั่ว แต่ลืมนึกว่ายังมีอุปสรรคการพัฒนาประเทศสำคัญคือ ระบบราชการที่มีปัญหาและยังมีช่องโหว่
การทุจริต หากท่านนายกฯ คิดจะปฏิรูปประเทศจริงๆ ต้องยกเครื่องบ้านตัวเองด้วย นั้นคือ ปฏิรูปรัฐราชการของพล.อ.ประยุทธ์ให้เป็นที่พึ่งพาของประชาชนได้จริงๆ...
“ความรัก ความจริงบังเกิดอย่างฉับพลัน มีแต่น้ำมิตรจึงลึกล้ำเพราะเป็นผลจากการสะสม”
(คำคมโกวเล้ง จากเรื่อง กระบี่ยั่งยืนยาว)
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี