วันศุกร์นี้ คนไทยและเกาหลีใต้จะได้รู้ผลการพิจารณาว่า นักธุรกิจเจ้าของกิจการใหญ่ นักการเมืองมหาเศรษฐีมีทรัพย์สินนับแสนล้าน จะหลุดพ้นการลงอาญาหรือจะต้องรับผลกรรมที่ทำความเสียหายให้แผ่นดิน เป็นหนี้สินหลายแสนล้าน เป็นเรื่องบังเอิญน่าอัศจรรย์ใจที่ศาลเกาหลีใต้กับศาลไทยนัดฟังคำตัดสินคดีใหญ่ตรงกันให้ 25 สิงหาคม เป็นวันแห่งความทรงจำในอำนาจตุลาการ
กรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้ ศาลอาญานัดฟังคำพิพากษาคดีที่ นายอี แจ-ยอง รองประธานบริษัท ซัมซุงอิเล็กทรอนิกส์ บุตรชายนาย อี กุน-ฮี เจ้าของบริษัท ถูกอัยการฟ้องหลายข้อหาเกี่ยวข้องกับคดีจ่ายหรือสัญญาว่าจะจ่ายสินบนเกือบ 38 ล้านดอลลาร์สหรัฐให้นางชเวซุน-ซิล เพื่อนสนิทของอดีตประธานาธิบดี ปักกึน-เฮ เพื่อแลกกับการได้รับการอนุมัติแผนควบรวมกิจการของสองบริษัทในเครือเมื่อปี 2558 นอกจากนี้เขายังถูกข้อหาคดียักยอกทรัพย์ ซุกซ่อนทรัพย์สินในต่างประเทศ ปกปิดการกระทำผิดคดีอาญา และให้การเท็จ
นายอี แจ-ยอง ถูกคุมขังระหว่างพิจารณาคดีตั้งแต่เดือน ก.พ. ที่ผ่านมา และหลังจากไต่สวนคดีมาหลายเดือน ในวันแถลงปิดคดีเมื่อวันที่ 7 ส.ค. ที่ผ่านมาอัยการสูงสุดซึ่งเป็นโจทก์ได้เสนอต่อศาลให้ลงโทษจำคุก12 ปี ถ้าผู้พิพากษาตัดสินลงโทษตามข้อเสนอของอัยการ นายอีจะเป็นผู้บริหารกลุ่มธุรกิจยักษ์ใหญ่ที่ต้องโทษจำคุกหนักที่สุดเท่าที่เคยมีมา ดังนั้นหากทายาทบริษัทซัมซุง ถูกตัดสินจำคุกต้องกลายเป็นประวัติศาสตร์ของกระบวนการยุติธรรมเกาหลีใต้ ที่หลายฝ่ายจับตามอง เพราะข้อหาติดสินบนเกี่ยวพันกับคดีคอร์รัปชั่นและการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบที่ทำให้น.ส.ปัก กึน-เฮประธานาธิบดีหญิงคนแรกของเกาหลีใต้ถูกจำคุกระหว่างดำเนินคดีอยู่ในเวลานี้
ในวันเดียวกันที่คนเกาหลีใต้รอฟังคำตัดสินคดี ส่วนในไทยที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง คงจะมีแฟนคลับน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร มาให้กำลังใจและฟังคำพิพากษาด้วยความระทึกว่า ชะตาของเธอจะออกมาในรูปไหน ศาลจะยกฟ้องให้เธอไม่ต้องถูกลงอาญา หรือจะตัดสินว่าเธอมีความผิดให้ติดคุกตามข้อกล่าวหา
น.ส.ยิ่งลักษณ์ อดีตนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของไทยที่ถูกอัยการสูงสุดฟ้องในข้อหาละเลยการปฏิบัติหน้าที่และปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ในโครงการรับจำนำข้าวซึ่งทำให้ประเทศชาติเสียหายหลายแสนล้านบาท คดีอื้อฉาวที่ที่มีข้อกล่าวหาว่าเป็นคอร์รัปชั่นระดับโลกครั้งนี้ ยังมีนายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีต รมว.พาณิชย์กับพวกอีก 28 คน ถูกฟ้องข้อหาทุจริตในโครงการจำนำข้าวด้วย ถึงแม้อัยการแยกฟ้องเป็นสองคดี แยกการไต่สวนออกจากกัน แต่ศาลพิจารณาว่า พยานหลักฐานและข้อกล่าวหามีส่วนสัมพันธ์กัน จึงมีคำสั่งให้ฟังคำตัดสินในวันเดียวกัน
ถึงนาทีนี้ไม่มีใครทำนายได้ว่าคำพิพากษาจะออกมาอย่างไร แต่ไม่ว่าจะออกมาในรูปไหนการตัดสินครั้งนี้จะเป็นประวัติศาสตร์จารึกไว้ว่ากระบวนการยุติธรรมของไทย เที่ยงตรงโปร่งใส ไม่มีอิทธิพลจากส่วนไหนแทรกแซงได้ ทั้งอิทธิพลการเมืองภายในหรือจากต่างประเทศ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระยะหลังนี้ ถ้าติดตามการพิจารณาคดีผู้ยิ่งใหญ่ ไม่ว่าผู้นำปากีสถานที่ซุกทรัพย์สินไว้ต่างประเทศ จนต้องพ้นจากตำแหน่ง หรือคดีที่ศาลแห่งอุซเบกิสถานสั่งกักบริเวณน.ส.กุลนารา คาริโมวา ลูกสาวอดีตประธานาธิบดี 5 ปี ในข้อหากรรโชกทรัพย์คอร์รัปชั่นและซุกซ่อนทรัพย์สินไว้ต่างประเทศกว่า 500,000 ล้านบาท ทรัพย์สินที่ซุกซ่อนจะตกเป็นของรัฐถ้าศาลตัดสินว่าเธอได้มาจากฉ้อฉล ทั้งสองคดีสำคัญนี้มีอิทธิพลทางการเมืองภายในประเทศและจากประเทศมหาอำนาจแทรกแซงอย่างหนัก แต่ก็ไม่สามารถยับยั้งการลงโทษนักการเมืองและนักธุรกิจหญิงผู้ทรงอิทธิพลได้
ในระยะหลังนี้สังคมเริ่มเห็นแนวโน้มที่ศาลยุติธรรมทั่วไปทั้งในประเทศไทยและศาลต่างประเทศ พิจารณาคดีอย่างเที่ยงตรงโปร่งใสไม่ยอมให้อิทธิพลทางการเมืองจากภายในและต่างประเทศแทรกแซงได้ เช่น คดีที่ศาลสั่งจำคุกนายจตุภัทร์ บุญภัทรรักษา หรือ ไผ่ ดาวดิน 2 ปี 6 เดือน ฐานละเมิดกฎหมายอาญามาตรา ๑๑๒ และคดีที่ศาลฮ่องกงสั่งจำคุกนายโจชัว หว่อง กับพวกในความผิดชุมนุมผิดกฎหมายและทำลายทรัพย์สินราชการ
นายโจชัว หว่อง เป็นนักเคลื่อนไหวทางการเมืองหุ่นเชิดของนักวิชาการ ครูบาอาจารย์คลั่งตะวันตกที่รับแผนเคลื่อนไหวเพื่อเสรีประชาธิปไตยมาจากกลุ่มการเมืองอเมริกัน ที่ใช้นายหว่อง ครั้งอายุเพิ่ง 17 ปี เป็นผู้ออกหน้าเคลื่อนไหวเรียกร้องเสรีประชาธิปไตยให้ฮ่องกง การเคลื่อนไหวที่เรียกว่าปฏิวัติร่มเมื่อปี 2557 ทำตามแผนการของซีไอเอและได้รับการสนับสนุนกำลังทรัพย์จากนายทุนอเมริกัน ยังสร้างความไม่พอใจให้รัฐบาลจีนแผ่นดินใหญ่เป็นอย่างมาก
การเคลื่อนไหวรุนแรงที่สร้างความเสียหายแก่ทรัพย์สินราชการ ถูกอัยการฟ้องในปี 2557 แต่ศาลชั้นต้นตัดสินรอลงอาญาและให้ทำงานรับใช้สังคม 50 ชั่วโมงจากการสนับสนุนจากสหรัฐและองค์กรที่อ้างว่าส่งเสริมประชาธิปไตย ทำให้นายหว่องกับพวกกลายเป็นวีรบุรุษนักสู้เพื่อเสรีประชาธิปไตยในพริบตาและจากการหนุนหลังของสหรัฐและองค์กรช่วยเหลือจากตะวันตก ส่งผลให้นายนาธาน ลอว์ และอเล็กซ์ โชว ชนะการเลือกตั้งเข้าสภาในฐานะ สส.รุ่นใหม่ไฟแรง แต่เมื่อได้รับเลือกตั้งมาในฐานะนักสู้เพื่อเสรีประชาธิปไตยที่ต้องการแยกเกาะฮ่องกงออกจากจีนแผ่นดินใหญ่ ในวันสาบานตนเข้ารับตำแหน่งในสภานิติบัญญัติ ว่าที่สส.คนรุ่นใหม่ไม่ยอมเปล่งวาจา ที่ว่าฮ่องกงเป็นส่วนหนึ่งของแผ่นดินใหญ่
เมื่อไม่ยอมสาบานตนตามบทบัญญัติรัฐแห่งธรรมนูญการเป็นสส.โมฆะ พวกเขาถูกไล่ออกจากสภาและเคราะห์กรรมตามมาเมื่อวันที่ 17 ส.ค. ศาลอุทธรณ์กลับคำพิพากษาจากรอลงอาญา มาเป็นลงโทษจำคุกนายโจชัว หว่อง 6 เดือนนายลอว์ 7 เดือนและ อแล็กซ์ โชว 8 เดือนตามกฎหมายของฮ่องกง บุคคลที่ถูกศาลตัดสินจำคุกเกิน 3 เดือน ห้ามลงสมัครรับเลือกตั้งในสภานิติบัญญัติที่เป็นการเลือกตั้งโดยตรงบางส่วนของฮ่องกง เป็นเวลา 5 ปี
ศาลอุทธรณ์ตัดสินจำคุกนักเคลื่อนไหวชาวฮ่องกง สร้างความแค้นเคืองแก่สหรัฐจนนายมาร์โก รูบิโอ ประธานกรรมาธิการรัฐสภากิจการจีนของสหรัฐพูดว่า“แกนนำทั้งสามคน ควรได้รับการยกย่องในฐานะที่เป็นนักสู้เรียกร้องประชาธิปไตย ไม่ใช่เป็นอาชญากรที่จะจับพวกเขาเข้าคุก” ส่วนองค์กรนิรโทษกรรมสากลประณามคำตัดสินของศาลฮ่องกงว่า เป็นการทำร้ายเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นและการชุมนุมโดยสงบ
นางหัวฉุนหยิง รองโฆษกกระทรวงต่างประเทศจีนตอบโต้นายรูบิโอ ว่า “ฮ่องกงมีสิทธิ์และเสรีภาพอย่างเต็มที่ แต่ไม่มีใครจะอ้างประชาธิปไตยและเสรีภาพในการทำกิจกรรมรุนแรงละเมิดกฎหมายได้ ขอย้ำอีกครั้งว่าฮ่องกงเป็นเขตปกครองพิเศษของจีน จึงขอคัดค้านการเข้าแทรกแซงกิจการภายในของฮ่องกงจากภายนอก”
ศาลตัดสินจำคุกนักเคลื่อนไหวหุ่นเชิดเป็นกรณีศึกษาที่น่านำมาพิจารณาว่า ผู้ถือหางที่ชักใยอยู่ทั้งภายในและต่างประเทศ ไม่สามารถช่วยเหลือหุ่นเชิดของตัวเองได้ ถ้าวันไหนที่เจ้าของประเทศที่หวงแหนอธิปไตย ไม่ยอมอิทธิพลต่างประเทศแทรกแซงกิจการภายในชะตากรรมของนายโจชัว หว่อง จึงมีส่วนคล้ายคลึงกับเมืองไทยคดีของไผ่ ดาวดิน
ไผ่ ดาวดิน นักเคลื่อนไหวจากรั้วมหาวิทยาลัย ที่ได้รับเสียงเชียร์ แรงสนับสนุนจากองค์กรต่างประเทศและพรรคการเมืองในประเทศไทย ในฐานะนักสู้ผู้กล้าหาญต่อต้านรัฐบาลทหาร ทุกครั้งที่เขาขยับตัวเคลื่อนไหว มีองค์กรต่างประเทศ สื่อตะวันตกติดตามให้กำลังใจประหนึ่งเป็นเกราะป้องกันภัยจน คสช.ไม่กล้าต่อกร ด้วยความย่ามใจว่ามีลูกพี่ใหญ่ถือหางนายไผ่ ก้าวย่างข้ามเส้นปลอดภัยไปละเมิด กฎหมายอาญาตรา ๑๑๒ ที่ทั้งองค์กรระหว่างประเทศและอิทธิพลการเมืองภายในไม่สามารถช่วยเหลือให้พ้นการติดคุกตะรางได้
จากกรณีที่ผู้ขบถต่อต้านระบอบการปกครองผู้ทรยศประชาชนที่เลือกพวกเข้ามาโดยการกระทำทุจริตคิดมิชอบ เพราะย่ามใจว่าอิทธิพลทางการเมืองภายในและอิทธิพลจากต่างประเทศช่วยเหลือได้ แต่สุดท้ายต้องชดใช้กรรมทำให้อนุมานจากความเที่ยงตรงโปร่งใสของกระบวนการยุติธรรมยุคใหม่ว่า วันที่ 25 สิงหาคม คำตัดสินของศาลฎีกาน่าจะคล้ายกับในปากีสถาน ในประเทศอุซเบกิสถาน และในฮ่องกง
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี