ในสถานการณ์แห่งการเลือกที่รักมักที่ชัง แบ่งแยกเพื่อปกครอง กีฬาสี ฯลฯ สุดแท้แต่จะเรียก ขอเพียงสิ่งเดียวเท่านั้นที่จะค้ำจุนชาติบ้านเมืองเอาไว้ นั่นคือ อย่าสูญเสียความสามารถที่จะแยกแยะผิดชอบชั่วดี หากประชาชนคนไทย ไม่ว่าจะมีรสนิยมทางการเมืองในทางใด ฝักใฝ่อยู่กับใคร เพียงเขามีมโนธรรมที่จะเคารพความสามารถในการแยะแยะว่าอะไรผิดชอบชั่วดีได้ บ้านเมืองก็อยู่ได้
อย่างกรณี ศาลนัดอ่านคำพิพากษาคดีจำนำข้าว ที่ภาคเช้าเป็นเรื่อง “การซื้อขายแบบรัฐต่อรัฐ” ซึ่งมีนายภูมิ สาระผล นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ กับพวก ซึ่งมีทั้งข้าราชการและเอกชนผสมอยู่ เป็นจำเลย กับภาคบ่าย ซึ่งนัดหมายอ่านคำพิพากษา คดีปล่อยปละละเลยไม่ระงับยับยั้งการทุจริต ในโครงการรับจำนำข้าว ซึ่งมีนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศไทยเป็นจำเลย ไม่ว่าคุณจะรัก ชัง เฉย กับพวกเขามากน้อยเพียงใด ก็ไม่สำคัญเท่ากับว่า คุณให้ความเป็นธรรมแก่บ้านเมืองเพียงใด ด้วยการใช้ความสามารถในการแยกดีแยกชั่ว แยกถูกแยกผิด เข้าสัมผัสกับเรื่องนี้
1) เริ่มจากการทำความเข้าใจเรื่อง “ข้อกล่าวหา”
ยิ่งลักษณ์ ถูกกล่าวหาว่า มีอำนาจที่จะระงับยับยั้งโครงการรับจำนำข้าว ภายหลังจากที่หลายฝ่ายแจ้งเตือนว่า พบและเห็นช่องของการ “ทุจริต” ในโครงการอย่างมากมาย โดยที่คำเตือนทั้งหมดนั้น เตือนก่อนจะทำโครงการ เตือนขณะทำโครงการ เตือนเมื่อปิดบัญชีฤดูกาลแรก และเตือนมาโดยตลอดหลังจากนั้น คำเตือนมีทั้งผู้ปิดบัญชี คือ นางสาวสุภา ปิยะจิตติ ข้าราชการกระทรวงการคลัง ซึ่งรัฐบาลเลือกให้เป็นผู้ปิดบัญชีในฤดูกาลแรก จาก ป.ป.ช. ซึ่งทำวิจัยเรื่องดังกล่าวไว้แล้ว ทีดีอาร์ไอ ซึ่งทำวิจัยให้ ป.ป.ช. กระทรวงการคลังเองก็เตือน องค์กรการค้าระหว่างประเทศก็เตือน ฝ่ายค้านถึงกับเปิดการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ว่ามีการทุจริต และคล้ายๆ กับมีการปล่อยปละละเลยไม่อุดช่องของการทุจริต เสมือนรู้เห็น แต่ยิ่งลักษณ์ก็เฉย
ไม่เพียงแต่เป็นนายกฯ ไม่เพียงแต่เป็นคนหาเสียงนโยบายดังกล่าวไว้ แต่ยิ่งลักษณ์ยังเป็นผู้มีอำนาจในการระงับยับยั้ง กำกับดูแล ให้โปร่งใส ให้คุ้มค่า ให้ถูกต้อง และมุ่งประโยชน์ไปที่ชาวนา แต่เมื่อมีการแจ้งเตือนว่า การทุจริตตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ ปลายน้ำ มีมาโดยตลอด ยิ่งลักษณ์ควรหยุดโครงการรับจำนำข้าว เพื่อตรวจสอบให้แน่ชัดเสียก่อน แล้วหาวิธีช่วยเหลือเกษตรกรด้วยมาตรการอื่นๆ ซึ่งมีให้เลือกมากมาย-แต่เธอไม่ทำ
ไม่เพียงแต่เป็นนายกฯ ยิ่งลักษณ์ยังเป็นประธานคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.) ซึ่งทำงานในระดับ “ปฏิบัติ” ไม่ใช่แค่ในระดับนโยบาย อย่างที่เธอกล่าวอ้าง เมื่อฝ่ายค้านอภิปรายว่า การขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ หรือจีทูจีเก๊ แทนที่จะหยุดการระบายข้าวด้วยวิธีดังกล่าว กลับปล่อยให้มีการทำสัญญาจีทูจีแบบเดิมตามมาอีกหลายครั้ง ยังไม่รวมการโกงเล็กโกงน้อย ประเภท เวียนเทียนข้าว นำข้าวต่างด้าวเข้ามาสวมสิทธิ กดราคารับซื้อจากชาวนา แต่มาเบิกจากรัฐในราคาที่สูงกว่าราคาซื้อ โกงความชื้น โกงน้ำหนัก สต๊อกลม เอาข้าวเลวเข้ามาเปลี่ยนข้าวดีในโกดังออกไปขาย ฯลฯ ยิ่งลักษณ์จึงถูกตั้งข้อหาว่า มีอำนาจระงับยับยั้งได้ แต่กลับปล่อยปละละเลย
มาที่ ภูมิ สาระผล, บุญทรง เตริยาภิรมย์ กับพวกบ้าง คนเหล่านี้มีพฤติการณ์ชัดว่า ปั้นแต่งวิสาหกิจจีนขึ้นมา แอบอ้างว่าเป็นตัวแทนรัฐบาลจีนมาซื้อข้าวกับรัฐบาลไทย ซื้อไปในราคาถูก แล้วเอาเวียนเทียนขายอยู่ในประเทศ ไม่มีข้าวออกนอกประเทศตามหลักการซื้อขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ คู่สัญญาก็ไม่ใช่ตัวแทนของอีกรัฐ เงินก็ไม่โอนผ่านบัญชีตามระบบซื้อข้าวแบบรัฐต่อรัฐ คนรับข้าวก็เป็นคนไทย เช็คที่จ่ายก็เป็นเช็คธนาคารไทยสุดท้ายศาลจึงพิพากษาจำคุกภูมิ บุญทรง และพวก ลดหลั่นกันไปตามความเกี่ยวข้องกับการทุจริต
2) ความจริงและการบิดเบือน
จุดอ่อนของประชาชนคือ ไม่แสวงหาความรู้ ไม่ฟังความให้รอบด้าน ไม่อ่าน ไม่ติดตามข้อมูล แต่เลือกฟังจาก “ตัวคน” ที่ตนชอบ จึงจะเห็นว่า พรรคเพื่อไทย นปช. และคนในตระกูลชินวัตร พยายามช่วยกัน “บิดเบือนข้อเท็จจริง” จากข้อกล่าวหาปล่อยปละละเลยของยิ่งลักษณ์ ไปเป็นเรื่องทำนโยบายแล้วผิด ช่วยชาวนาแล้วผิด โครงการขาดทุนจึงผิดแต่เรื่องทุจริตของภูมิ บุญทรง และพวก ซึ่งโยงกลับไปหาสมาชิกบางคนในวงศ์ตระกูลได้ กลับเลือกที่จะเงียบ ตัดขาด ไม่เอามาเกี่ยว ไม่ปกป้อง ไม่ให้กำลังใจใดๆ ทั้งสิ้น จนหลายคนเรียกเหตุการณ์ทำนองนี้ว่า “น้อง/นาย สำคัญกว่าขี้ข้า”
3) การสู้คดีและการหลบหนี
ยิ่งลักษณ์ ดีกว่าทักษิณตรงที่ มาศาล ร่วมอยู่ในกระบวนการ “สืบพยาน” ทุกนัด ไม่เคยเลี่ยง ไม่เคยขาด ไม่เคยเลื่อน และไม่หนี นั่นทำให้บรรดาบริวาร โดยเฉพาะ ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ สอพลอยิ่งลักษณ์หนักหน่วงจนหน้าแข้งชุ่ม ถึงขนาดมีการยกยิ่งลักษณ์ขึ้นเทียบกับ “ออง ซาน ซู จี” ยิ่งลักษณ์ทำให้คนคาดหวังเอง ว่าเธอจะสู้เยี่ยงวีรสตรี เธอพูดไว้ก่อนหน้านั้นว่า “ดิฉันจะตายในสนาประชาธิปไตย” และ “ถึงแม้ดิฉันจะเป็นผู้หญิง แต่ดิฉันก็จะไม่หนี”
ผสมโรงกับการนำมวลชน ชวนมวลชน สร้างบรรยากาศกระตุ้นมวลชน ให้มาให้กำลังใจยิ่งลักษณ์ ถี่ขึ้นทุกทีๆ มากขึ้นทุกทีๆ
จนทำให้วัฒนา เมืองสุข เหิมเกริมถึงขั้นผลิตวาทกรรมว่า คนตัดสินคดีไม่ใช่แค่องค์คณะ 9 คน แต่มีประชาชนอีกเป็นล้าน สุดท้ายเมื่อยิ่งลักษณ์ไม่มาฟังคำพิพากษาของศาล ทุกกระบวนการที่เคยสร้างไว้ ปั้นแต่งไว้ ก็พังครืน!!
4) ว่าด้วยการ “หนี” ของยิ่งลักษณ์ และใครพาหนี
ยังไม่ชัดเจนว่า ยิ่งลักษณ์อยู่ที่ไหนในเวลานี้ แต่นักเล่านิทานเรื่อง “หนีไปต่างประเทศ” ก็มีมากเหลือเกิน จนพาคนเดินไกลจากสิ่งที่ต้องโฟกัส ไปรุมด่ารัฐบาล คสช. และฝ่ายความมั่นคง แต่ผมเองได้เขียนในเฟซบุ๊ค “ปู จิตกร บุษบา” เอาไว้ว่า
“...ทำไมผมยังไม่รีบร้อนมาด่า คสช. หรือทำตีเนียนเป็นถาม คสช. เหมือนสื่อบางรายว่า ถ้า คสช. ไม่รู้ไม่เห็น ไม่ปล่อยให้นางหนีออกไป นางจะไปได้อย่างไร เพราะอะไรรู้ไหมครับ เพราะผมอยากให้ผู้คนในสังคม ค่อยๆ คิดเป็นลำดับไป ค่อยๆ ใช้เหตุผล ไม่ต้องผลีผลามหาคะแนนนิยม จากอารมณ์คนที่แล่นไปทางนั้น
4.1 เราเป็นสื่อ อย่าเอาแต่หมายจะเป็นที่รักของคน ด้วยการเล่นกับอารมณ์คน จนเตลิดเปิดเปิงไปด้วยกัน
4.2 สื่อควรค่อยๆ ตั้งหลักให้ผู้คนว่า ไอ้ที่บอกว่า หนีออกจากทางเขมร ไปสิงคโปร์ แล้วต่อไปดูไบ นั้น ทันยังเป็นระดับข้อมูลประเภท “แหล่งข่าวกล่าวว่า” หรือ “สันนิษฐานว่า”หรือ “การข่าวระบุว่า” อยู่เลย
4.3 รออีกสักนิด ให้ข้อมูลมันยืนยันตัวเองก่อนไหม ว่านางออกนอกประเทศไปแล้วแน่ๆ ซึ่งโดยสันดานของไอ้แม้วและนางปูแล้ว มันต้องสื่อสารมาถึงสาวกของมันแน่ๆ หรือสื่อต่างประเทศ ซึ่งบัดนี้ทยอยตีข่าวยิ่งลักษณ์หนี ไม่มาฟังคำพิพากษาของศาลแล้ว อาจรายงานการพบเห็นยิ่งลักษณ์ที่นั่นที่นี่ก็เป็นได้
4.4 จึงควรสื่อให้คนคิดเป็นขั้นเป็นตอนว่า วันนี้ยิ่งลักษณ์ไม่มา เป็นไปได้ว่าหนีไปแล้ว ซึ่งหนีในที่นี้ หนีอยู่ในประเทศ หรือหนีไปต่างประเทศ เป็นได้เท่าๆ กัน แต่โดยกฎหมายนั้น ให้รอ 1 เดือน จึงจะอ่านคำพิพากษา เช่นนั้นแล้ว เรารอดูกันดีกว่า ว่า ใน 1 เดือนนี้ ยิ่งลักษณ์จะโผล่ที่ไหน
4.5 ในขั้นต้น ทนายมีสิทธิยื่นต่อศาลให้เพิกถอนหมายจับ โดยนำใบรับรองแพทย์ พยาน หรือเจ้าตัวมายืนยันต่อศาล หากมาก่อน 1 เดือน ใช้สิทธิไปพบศาล ถือใบรับรองแพทย์ไปหา ก็จะถูกควบคุมตัว และประชุมองค์คณะ อ่านคำพิพากษาให้จำเลยทราบได้ทันที อาจมีความผิดฐานหลบหนีหรือขัดคำสั่งศาลก่อนหน้านี้เล็กน้อย หรือไม่มีก็ได้ หากป่วยจริงๆ แต่หากเกิน 1 เดือนแล้วยังไม่มา ศาลสามารถอ่านคำพิพากษาลับหลังได้ และมีหมายจับ แต่คราวนี้ ไม่ได้ให้จับเพื่อมาฟัง แต่เป็นหมายให้จับมาขังกันเลยทีเดียว หากศาลพิพากษาว่าผิด มีโทษจำคุกที่ไม่รอลงอาญา
4.6 ทีนี้ พอเกิน 1 เดือนแล้ว แม้ยิ่งลักษณ์ยังไม่ปรากฏตัวว่าอยู่ที่ไหนแน่ ก็ค่อยหันมาตั้งคำถามว่า ตกลงหนีไปแล้วใช่ไหม หนีอย่างไร ใครเอื้ออำนวยให้หนี หนีไปไหน ฝ่ายความมั่นคงที่เคยดูแล แค่ผิดพลาด การข่าวไม่แม่น ตามไม่ทัน หรือช่วยกันให้หนีไป ตม. เกี่ยวด้วยไหม ก็ไล่สืบไปกันทีละเปลาะๆ สำคัญที่สุดคือ ตำรวจนายเวรที่เฝ้าบ้านยิ่งลักษณ์ ทราบเรื่องหรือไม่ เพียงใด และ “สารวัตรหนุ่ย” ที่เป็นดุจ “เงาตามตัว” เกี่ยวข้องไหม ทราบรายละเอียดอะไรบ้าง
4.7 อย่าลืมนะครับ ว่า ฝ่ายความมั่นคง ทำหน้าที่แค่ “ติดตามการเคลื่อนไหว” เพราะไม่ต้องการให้เกิดการปลุกระดมมวลชน หรือสร้างปัญหาทางการเมือง แต่การห้ามเดินทางออกนอกราชอาณาจักร เป็นคำสั่งของศาล ซึ่งเป็นหน้าที่ของจำเลยพึงปฏิบัติ ศาลไม่ได้ส่งใครไปตามประกบ เสรีภาพบางระดับของยิ่งลักษณ์ยังคงอยู่ เธอมิใช่นักโทษ ที่ใครจะไปควบคุมหรือกักตัวเธอได้ แล้วถ้าคนมันจะหนี มันก็ต้องมีวิธีที่จะหนีใช่ไหม อย่าใช้อารมณ์แบบหนังฮอลลีวู้ดมาจับเรื่องนี้ครับ เพราะโลกแห่งความเป็นจริง มันซับซ้อนกว่านั้นเยอะ
4.8 การจะผลีผลามด่าเสียเลย ว่าปล่อยให้หนีไปได้อย่างไร มันก็พูดกันได้ คิดกันได้ แต่ถามว่าจังหวะไหนล่ะ ที่ควรถาม แล้วไม่เป็นการปรักปรำ ใส่ความ ทำให้เขากลายเป็นผู้ร้าย โดยที่คนถามไม่ต้องรับผิดชอบอะไรเลย เอาเรื่องสมมุติ เอาเรื่องสงสัย ไปตั้งข้อกล่าวหาคนอื่น มันทำกันได้ง่ายๆ โดยไม่ต้องรั้งรอใดๆ เลยอย่างนั้นหรือครับ คนที่จะช่วยให้เธอหนีได้ มีแค่ คสช. ฝ่ายเดียวหรือไงครับ ทหารแตงโม ตำรวจมะเขือเทศ ผู้มีอิทธิพลตามแนวชายแดน ลูกเขยเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ ที่อยู่ในกัมพูชา ฯลฯ มีอีกเยอะแยะ ที่พร้อมจะช่วยได้ ดังนั้น จะตั้งคำถามอะไร มันมีทั้ง “เวลาที่ชอบธรรม” และ “ถ้อยคำที่ชอบธรรม” รวมอยู่ด้วย กระนั้นก็ตาม คงเป็นการดี ที่ฝ่ายที่เกี่ยวข้องจะกระตือรือร้น พิสูจน์ทราบเรื่องนี้เสียก่อนที่สังคมจะกลุ้มรุมถาม แล้วทำเป็นกระฟัดกระเฟียดใส่เหมือนที่เคยๆ เป็นมา
4.9 รอให้ฝุ่นมันหายฟุ้ง ตามันแจ่ม ปัญญามันใส ค่อยคิด ค่อยถาม ค่อยแกะรอย ค่อยเรียนรู้ไปก็ได้ เราจะสอนให้สังคมปากไวใจไวไปเพื่ออะไรกันเล่า สู้สร้างสังคมที่มีภูมิรู้ คิดบนฐานของเหตุผล ไม่กล่าวหา ปรักปรำ สร้างคนอื่นให้เป็นผู้ร้ายอย่างง่ายๆ ดีกว่าไหม อย่าให้คนเขากล่าวเลยว่า “สื่อ บางทีก็ต้องคิดให้มากกว่าชาวบ้าน รัดกุมกว่าชาวบ้าน เพราะมีความเป็นวิชาชีพอยู่ ถ้าคิดได้แค่ชาวบ้าน จะต้องมีสื่อมวลชนไปทำไม...” และเอาเข้าจริง ยิ่งลักษณ์อยู่ วุ่นวายกว่ายิ่งลักษณ์หนีไปเยอะเลย ว่าไหมล่ะ?!?!?
4.10 บางเรื่องจึงรู้สึกได้ แต่คิดให้มาก คิดให้ครบ ก่อนถามอะไรออกไป เพราะคนเป็นสื่อ มันชี้นำคนที่เชื่อเราได้ ไม่มากก็น้อย อยู่ที่ว่า เราจะชี้นำเขาไปตามกระแสแห่งอารมณ์ หรือจะให้เขาค่อยๆ เคลื่อนมุมมองไป อย่างคนรู้ใช้ปัญญา ก็เท่านั้นเอง!!
5) ผลกระทบจากการไม่มาศาลของยิ่งลักษณ์
• เสียหายต่อความมีสัจจะของตัวเธอเอง เล่นไว้ใหญ่ ว่าจะไหมหนี มาหักมุมจบแบบนี้ คนที่เคยเชื่อือ เชื่อใจ ก็เกิด “บาดแผลในใจ” ขึ้นมาว่า ต่อไป ฉันจะเชื่อใจเธอได้อย่างไร
• เสียหายต่อตระกูลชินวัตร เมื่อทักษิณและยิ่งลักษณ์ เลือกวิธีเดียวกัน คือ หนีการลงโทษของกฎหมาย หนีกระบวนการยุติธรรม ที่เปิดให้สู้ได้อย่างเต็มที่แล้ว จะแก้ตัวซ้ำแบบเดิม ว่าทหารเล่นงาน อำมาตย์กลั่นแกล้งคงไมได้อีกแล้ว และคน
เริ่มคิดแล้วว่า จะหาสัจวาจาใดๆ ได้บ้าง จากคนตระกูลนี้ ซึ่งผลกระทบนี้ กระเทือนถึง “พรรคเพื่อไทย” ในการหา ผู้นำ”
สู้ศึกเลือกตั้ง
• พรรคเพื่อไทย ไม่เคยสลัดหลุดภาพที่ว่า พรรคเป็นเหมือนบริษัทชินวัตร จำกัด และผู้คนในพรรค เป็นเสมือนหุ้นส่วนและพนักงาน หากเดินหน้าต่อ จะเลือกใครมาเดินนำ สมชาย วงศ์สวัสดิ์ สามีเยาวภา ซึ่งถูกตีตราไว้หลายประการแล้ว ท่ามกลางความเสื่อมหมองของตระกูลชินวัตร สมชายจะหาความสง่างามมาจากไหน เช่นกันกับคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ที่เหมือนจะเป็นคนนอกตระกูล แต่ก็ แนบแน่น” เกินกว่าจะแยกออกจากการเป็น “คนในครอบครัว” ของทักษิณ
• ไม่เพียงแต่ ผู้นำ” แต่นโยบายประชานิยมใจป้ำ ที่เป็นจุดขาย ก็ไม่ง่ายเสียแล้วหลังจากนี้ ที่คิดจะเอาเงินประเทศชาติมาซื้อเสียงล่วงหน้า ด้วยนโยบาย แจกแหลก” ที่ลงเอยแบบ “แดกแหลก”
• ยังกระทบกับ นปช. ที่เป็น “ฐาน” หนุนพรรคเพื่อไทยด้วย จะเคลื่อนต่ออย่างไร ในวันที่หัวค่อยๆ ติดตะรางไปทีละคนสองคน และแกนนำหลายคนพัวพันกับการใช้ความรุนแรง และ “สู้แล้วรวย” ขณะที่มวลชนติดคุก จน และถูกหักหลังให้ตายฟรีด้วย พ.ร.บ.นิรโทษกรรม นั่นรวมไปถึงจำนำข้าว ก็กระทบกับมวลชน ที่ครั้งหนึ่งมีแต่ใบประทวนที่ขึ้นเงินไม่ได้ และได้เห็น “ความหมางเมิน” ของยิ่งลักษณ์และพรรคพวกมาแล้ว
แต่เอาเถอะ ยังมีเวลาอีก 1 เดือนเต็ม ที่อะไรก็เกิดขึ้นได้ และคำพิพากษาคดีของยิ่งลักษณ์จะออกมาในลักษณะใดก็ยังไม่รู้ ผิด สั่งจำคุก, ผิด แต่รอลงอาญา หรือไม่ผิด ยกฟ้อง ล้วนเป็นทางที่ผลคำตัดสินสามารถเป็นได้
หวั่นๆ ก็แค่ นิสัยของ ทักษิณ ชินวัตร นั้น เป็นพวกรบไป เจรจาไป สู้ไม่ได้ถอย แต่ไม่หยุดต่อรองและเจรจา คงไม่ง่ายที่จะปล่อยให้จุดจบของยิ่งลักษณ์และคดีจำนำข้าว ทำลายฐานการเมืองซึ่งเป็นอำนาจต่อรองและช่องทางทำกินสำคัญลงเอยเช่นนี้แน่ๆ
แต่สำหรับประชาชนคนไทย มียิ่งลักษณ์ มีทักษิณ หรือไม่ ไม่สำคัญเท่ากับมีประเทศไทย และมีใจรักษาชาติบ้านเมืองนี้ให้คงอยู่ ด้วยการรู้ว่าอะไรถูก อะไรผิด อะไรดี อะไรชั่ว รักใครก็รักต่อไป แต่อย่ารักตัวคนมากกว่ารักความถูกต้อง และรักประเทศไทย-เป็นพอ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี