คดีทุจริตการระบายข้าวจีทูจี ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองเพิ่งจะตัดสินคดีไปเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ตลอดจนการหนีคดีของนักการเมืองระดับอดีตนายกรัฐมนตรี ทำให้ผมได้คิดและเรียนรู้ถึงสัจธรรมการเมืองเรื่องการทุจริตในโครงการรับจำนำข้าว หลายประการ
1. ตถาคตสอนว่า “คนที่โกหก ไม่ทำชั่วไม่มี”
ความหมายคือ เมื่อโกหก นั่นก็เพราะต้องการปกปิดบิดเบือนความจริงบางอย่าง ที่ไม่ต้องการให้คนอื่นรู้ เพราะการกระทำนั้นอาจเป็นความชั่ว ความเลว หรือเป็นสิ่งที่สังคมจะติฉิน รังเกียจ ตนเองก็อับอาย
คำสอนนี้เป็นสัจธรรม เป็นอกาลิโก อยู่เหนือกาลเวลา และตอกย้ำความจริงด้วยกรณีล่าสุดนี้
1.1 ยิ่งลักษณ์อ้างว่า ป่วย น้ำในหูไม่เท่ากัน
แต่จริงๆ มันคือการโกหกศาล และศาลก็ไม่เชื่อ เพราะไม่มีหลักฐานมายืนยันเลย สุดท้ายออกหมายจับ
การทำชั่วในกรณีนี้ คือ การหนีศาล ไม่มาฟังคำพิพากษา แต่ต้องการปกปิด จึงโกหกว่าป่วย
1.2 ยิ่งลักษณ์เคยแสดงจุดยืนไว้ชัดเจนหลายครั้ง ว่าไม่เคยคิดหลบหนี จะไม่หลบหนีแน่ๆ เช่น
ให้สัมภาษณ์ นสพ.สเตรทไทมส์ สิงคโปร์ เมื่อวันที่ 11 ก.พ. 2559 “จะไม่หนีไปไหน ถ้าต้องการหนี ดิฉันคงหนีไปแต่แรกแล้วจะไปขึ้นศาลทำไม”
ให้สัมภาษณ์ สถานีโทรทัศน์ซีเอ็นเอ็น 18 ก.พ. 2559 “จะต่อสู้โครงการรับจำนำข้าวอย่างถึงที่สุด และไม่คิดหนีคดี”
ให้สัมภาษณ์พิเศษ นสพ.บางกอกโพสต์ 11 ก.ค. 2560 “ดิฉันขอยืนยันว่าจะต่อสู้ในคดีที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พิจารณาข้อหาละเว้นการปฏิบัติหน้าที่จากโครงการรับจำนำข้าว โดยจะไม่หนีไปไหน สู้เต็มที่แม้มีความหวังแค่ 1% ก็ต้องสู้เพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ เชื่อว่า 1% อาจจะโตขึ้นเรื่อยๆ”
ก่อนหน้านี้ พรรคเพื่อไทย แกนนำพรรค แกนนำ นปช. แนวร่วมผู้สนับสนุนระบอบทักษิณ ต่างพากันเชิดชู ยกย่อง หยิบเอาคำพูดของยิ่งลักษณ์ที่ยืนยันว่าจะไม่หนีมาชื่นชมยินดี บอกว่ากล้าหาญ บอกว่าคนสุจริตไม่ต้องกลัว ไม่ต้องหนีอย่างนี้
สุดท้าย ยิ่งลักษณ์ก็หนี
การบอกว่าจะไม่หนี จึงเป็นการโกหก สะท้อนถึงสิ่งที่ตถาคตเคยสอนไว้ “คนโกหก ไม่ทำชั่วไม่มี” ก็เพราะอาจจะรู้ตัวว่าทำอะไรไว้
และจะต้องเจอกับอะไร กลัวจะติดคุก ก็จึงหลบหนี โดยโกหกไว้ว่าจะไม่หนี
2. การหลบหนีของยิ่งลักษณ์ มีความเป็นไปได้ 2 ทาง
2.1 หลบหนีโดยความสามารถของตนเอง โดยที่ทางการไทย
ผู้กุมอำนาจรัฐในปัจจุบันไม่ล่วงรู้ ไม่ได้ช่วยเหลือ แต่เสียท่าให้กับจำเลยคดีอาญาแผ่นดิน เล็ดลอดออกจากประเทศไทยสำเร็จ
2.2 หลบหนีโดยความช่วยเหลือ ร่วมมือ หลิ่วตา หรือรู้เห็นใจกับผู้มีอำนาจรัฐ
หากข้อเท็จจริงปรากฏว่า ยิ่งลักษณ์หนีด้วยความสามารถของตนเองเพียงฝ่ายเดียว ผมจะเสียใจอย่างยิ่ง เพราะสะท้อนว่าบ้านเมืองมีรูรั่ว มีปัญหาความมั่นคงทันที ขนาดว่า คสช.มีอำนาจรัฏฐาธิปัตย์ มีทั้งตำรวจ ทหาร กลไกฝ่ายปกครองอยู่ในมือทั้งหมด ยังปล่อยให้จำเลยแผ่นดินในคดีที่สร้างความเสียหาย 5 แสนล้านบาท เล็ดลอดไปได้ ทั้งๆ ที่ รองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ ก็เคยให้สัมภาษณ์ยืนยันว่า เจ้าหน้าที่ได้ดูแลเป็นอย่างดี
นอกจากนี้ ยังมีคนที่กินเงินเดือนหลวง สารวัตรหนุ่ย-พ.ต.อ.วทัญญู วิทยผโลทัย คอยติดตามดูแลใกล้ชิด ปรากฏภาพข่าวมาโดยตลอด ย่อมรู้ว่ายิ่งลักษณ์เป็นจำเลยคดีอาญา ต้องห้ามเดินทางออกนอกประเทศ
แต่ทั้งหมดนี้ กลับไม่สามารถสกัดกั้น ตรวจจับ ทำให้ยิ่งลักษณ์หนีประกันไปได้เอง จึงสะท้อนว่า มีปัญหาความมั่นคง มีความไร้ประสิทธิภาพ กลไกควบคุมดูแลแย่มากๆ
ทว่าดูเหมือนคนจำนวนมากจะไม่เชื่อว่ากลไกความมั่นคงยุคนี้ไร้ฝีมือ แต่สงสัยว่า อาจเป็นตามแนวทางที่สอง คือ อาจมีการเจรจาตกลง ไฟเขียว ประนีประนอม เปิดทางสะดวก ปล่อยปูให้หนี เพื่อลดแรงกดดันที่จะสร้างปัญหาความมั่นคงภายในประเทศ
พูดตรงๆ ผมไม่คอยเชื่อว่ายิ่งลักษณ์จะหนีไปได้ โดยที่ทางการไทย
จะไม่รู้เลย
3. คดีเกี่ยวกับโครงการจำนำข้าวทั้ง 2 คดีนี้ หากมองทั้งกระบวนการทั้งระบบ จะเห็นได้ว่า การดำเนินการตามขั้นตอน ตั้งแต่ต้นน้ำ
กลางน้ำ ปลายน้ำ คสช.ไม่ได้เกี่ยวมาตั้งแต่ต้น โดยเป็นการตรวจสอบ ดุลและคานอำนาจของอำนาจอธิปไตยทั้ง 3 ส่วน
กล่าวคือ ฝ่ายบริหารถูกตรวจสอบโดยฝ่ายนิติบัญญัติ และคดีก็ถูกตัดสินโดยฝ่ายตุลาการ ซึ่งทั้งหมดนั้น ไม่ได้เกี่ยวกับ คสช.เลย
อย่าลืมว่า เรื่องเกิดจากฝ่ายนิติบัญญัติที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน โดยสส.พรรคฝ่ายค้าน อภิปรายไม่ไว้วางใจในสภา รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย 2550 บัญญัติให้ยื่นต่อ ป.ป.ช.เพื่อตรวจสอบเอาผิดด้วย สส.พรรคประชาธิปัตย์ ก็ยื่นให้ ป.ป.ช.ขณะนั้น ซึ่งเป็น ป.ป.ช.ชุดที่สรรหามาตามรัฐธรรมนูญ ตั้งแต่ก่อนจะมีรัฐประหาร ก็ทำหน้าที่ไต่สวนตามกฎหมาย อาจารย์วิชา มหาคุณ รับผิดชอบสำนวนไต่สวน กระทั่งชี้มูลความผิดโดย ป.ป.ช.เอกฉันท์ทั้งคณะ แล้วจึงส่งให้อัยการสูงสุด ส่งฟ้องศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองต่อไป ซึ่งศาลฯ ก็มีอยู่เดิม และการทำหน้าที่ การคัดเลือกองค์คณะ
ผู้พิพากษา ล้วนเป็นไปตามกฎหมาย โดยที่ คสช.ไม่ได้เข้าไปข้องเกี่ยวเลย ดำเนินการไต่สวน ให้ทั้งฝ่ายโจทก์และจำเลยนำพยานหลักฐานข้อเท็จจริงเข้ามาต่อสู้คดีกันตามปกติ ก่อนจะมีคำพิพากษาในที่สุด
เพราะฉะนั้น ภาพรวมที่เห็น จึงเป็นการทำหน้าที่ของกลไกภายใต้อำนาจอธิปไตยสามฝ่าย ตรวจสอบ ดุลและคานอำนาจกันอย่างดี ปรากฏข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการกระทำความผิดในคำพิพากษาชัดเจน
หากจะเสียดาย ก็ตรงที่จำเลยระดับอดีตนายกรัฐมนตรีหลบหนี ไม่มาฟังคำพิพากษา ทั้งๆ ที่ ได้ต่อสู้อย่างเต็มที่และเคยประกาศพร้อมรับคำตัดสินมาก่อนหน้านี้ มิฉะนั้นแล้ว คดีจำนำข้าว ก็น่าจะได้จารึกเป็นที่เผยแพร่ไปทั่วโลก ไม่แพ้คดีโกงในประเทศอื่นๆ อย่างเช่น เกาหลีใต้ หรือญี่ปุ่น ว่าอำนาจอธิปไตยไทยก็สามารถจัดการกับปัญหาการทจริตโกงขนานใหญ่ของเจ้าหน้าที่รัฐได้เหมือนกัน
อดีตรัฐมนตรี อดีตนายกฯ รวยแค่ไหน หากทำผิด ก็คิดคุกได้
แต่เมื่อยิ่งลักษณ์หนีไปเสีย ทำให้ความคมชัดในการนี้ลดดีกรีลงไป
และยิ่งถ้าผู้มีอำนาจรัฐในปัจจุบัน มีส่วนรู้เห็นในการหลบหนี ก็น่าเสียใจที่ทำให้เกิดผลลดทอนความศักดิ์สิทธิ์ของกฎหมายบ้านเมือง เหมือนอำนาจอธิปไตยถูกเจาะยาง
4. อาจจะต้องหนีตลอดชีวิต
หากวันที่ 27 กันยายน ศาลฎีกาฯ อ่านคำพิพากษาว่ายิ่งลักษณ์มีความผิด จำเลยย่อมจะใช้สิทธิอุทธรณ์ตามรัฐธรรมนูญปัจจุบันไม่ได้ เพราะจำเลยต้องมาปรากฏตัวในการอุทธรณ์
เว้นแต่ว่ายิ่งลักษณ์จะประเมินใหม่ เมื่อเห็นคำพิพากษาแล้ว ค่อยกลับมาว่ากันอีกยก
ส่วนเรื่องอายุความ ตามเดิม เมื่อหนีคดีไป อายุความตามกฎหมายก็เดินต่อไปเรื่อยๆ เราจึงเห็นว่าจำเลยคดีอาญาร้ายแรงบางรายใช้วิธีหนีจนหมดอายุความ แล้วค่อยกลับมา แต่กฎหมายฉบับใหม่ กำหนดว่าระหว่างที่จำเลยหลบหนีนั้น จะยังไม่มีการนับอายุความ
หมายความว่า ช่วงที่หนีไป อายุความก็หยุดนับ กลับมาเมื่อไหร่ ก็จับเข้าสู่กระบวนการเพื่อเดินต่อไป
แต่ขณะนี้ กฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการพิจารณาคดีของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองฯ ยังอยู่ในขั้นตอนทูลเกล้าฯ
เพราะฉะนั้น มีความเป็นไปได้ 2 ทาง คือ
(1) หาก พ.ร.บ.มีผลบังคับใช้ก่อน 27 ก.ย. การนับอายุความในกรณีหนีคดี ก็จะหยุดลง ยิ่งลักษณ์และใครก็ตามที่หนีคดีหลังจากมี พ.ร.บ.ใช้บังคับ ก็ต้องหนีตลอดชีวิต ไม่มีหมดอายุความสำหรับคนโกงที่หนีคดี หากกลับเมื่อไหร่ หรือเจอเมื่อไหร่ ต้องถูกจับกลับมารับโทษตามคำพิพากษาของศาล
(2) หาก พ.ร.บ.มีผลใช้บังคับหลัง 27 ก.ย. หลังมีคำพิพากษาคดียิ่งลักษณ์ แนวทางการนับอายุความนั้น ก็จะนำมาใช้กับคดีที่มีคำพิพากษาก่อนหน้าไม่ได้ เพราะถือว่าเป็นโทษ ย้อนหลังไม่ได้ การหลบหนีของยิ่งลักษณ์ก็จะอยู่ในข่ายใช้เทคนิคหนีจนหมดอายุความ โดยนับจากวันที่ 27 ก.ย. ที่ศาลพิพากษา
5. ข้อคิดเกี่ยวกับการอุทธรณ์คดีต่อศาลฎีกาฯ
คาดได้ว่า นายบุญทรง นายภูมิ และพวก คงจะมีการยื่นอุทธรณ์คดีอย่างแน่นอน โดยเป็นการใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ เพราะเจ้าตัวไม่ทันได้หนีไปไหน
ส่วนกรณียิ่งลักษณ์ หากไม่มาฟังคำพิพากษา และไม่มีตัวจำเลยมายื่นอุทธรณ์ ก็จะไม่สามารถใช้สิทธิอุทธรณ์ได้ตามกฎหมาย
แต่น่าคิดว่า ในคดีสลายการชุมนุม 7 ต.ค. จนเป็นเหตุให้มีคนบาดเจ็บล้มตายจำนวนมากนั้น ฝ่ายจำเลยชนะคดี และฝ่ายโจทก์ คือ ป.ป.ช. มีสิทธิยื่นอุทธรณ์คดีภายใน 30 วัน นับจากวันที่ศาลมีคำพิพากษาไปเมื่อ 2 ส.ค.
หากจะอุทธรณ์ ก็ต้องดำเนินการภายใน 1 ก.ย. ซึ่งเหลืออีกแค่ 4 วัน
ยังเป็นที่หวั่นใจว่า ประธาน ป.ป.ช. พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ ถูกจับตาว่ามีความสนิทชิดเชื้อกับจำเลยบางคน อาจเข้าข่ายมีส่วนเสียในคดี จะดำเนินการอุทธรณ์คดีนี้ หรือไม่? ถ้าอุทธรณ์จะต่อสู้ในประเด็นไหน? ตรงเป้า? ชกลม? สู้คดีเต็มที่หรือไม่? มีความเป็นได้หลายทาง
(1) ไม่อุทธรณ์ ด้นไปเลย จบแบบดื้อๆ ห้วนๆ แม้ถูกวิพากษ์วิจารณ์ทั่วบ้านทั่วเมืองก็ไม่สนใจ อ้างว่าทำไม่ทัน ไม่มั่นใจว่าอุทธรณ์แล้วจะชนะคดี หรือเห็นพ้องตามคำพิพากษาศาล ฯลฯ อ้างสารพัด จะกระทบต่อองค์กร ป.ป.ช.อย่างไรก็ไม่สนใจ
(2) เกิดจิตสำนึกที่จะอุทธรณ์ เพื่อต่อสู้ให้สิ้นสุดไปตามกระบวนการ โดยที่ภาคประชาสังคมและผู้รู้ ต่างชี้ประเด็นที่ควรจะอุทธรณ์มากมาย น่าสนใจทั้งสิ้น ซึ่งจะต้องต่อสู้อย่างแข็งขัน สมศักดิ์ศรีสถาบัน ป.ป.ช. มิใช่สู้แบบปวกเปียก เหมือนมวยที่ไม่สู้ ถอดใจ ชกไม่สมศักดิ์ศรี
(3) ตัวประธาน ป.ป.ช.ขอละเว้น ไม่พิจารณาคดี เพราะถือว่าตนมีส่วนได้เสีย ขอออกจากการพิจารณา
ยังมีเวลาอีก 4 วัน สังคมกำลังจับตามอง และการกระทำของผู้มีตำแหน่งหน้าที่สำคัญในครั้งนี้ จะเป็นที่จดจารไปชั่วลูกชั่วหลาน จะถูกหยิบยกขึ้นมากล่าวถึงแม้กระทั่งชาติตระกูล สืบต่อไปนานแสนนาน
6. คำพิพากษาของศาลฎีกาฯ ตอกย้ำว่า การจำนำข้าวแบบ “ทักษิณคิด เพื่อไทยทำ” ของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ เอาเงินแผ่นดินเข้าไปแทรกแซงตลาดและราคา มีความล้มเหลว เสียหายร้ายแรง ชั่วร้ายจริงๆ
เพราะนอกจากไม่สามารถยกระดับราคาตลาดได้จริงๆ แล้ว ยังมีการโกงมโหฬาร
แอบอ้างว่าระบายข้าวจีทูจี ขายให้รัฐบาลจีน ในราคาต่ำพิเศษ แต่ความจริงแล้ว โกหก ตบตา สร้างระบบการทุจริตแบบจีทูจีเก๊ เพื่อให้ได้ข้าวในโครงการจำนำออกมาขายต่อในราคาต่ำพิเศษ โดยดำเนินการอย่างย่ามใจ อุกอาจ อุกฉกรรจ์ เพราะหากแค่ดู 3 เรื่อง ก็จะเห็นภาพชัดเจน
(1)หลักฐานจากกรมศุลกากร ยืนยันชัดเจนว่า ไม่มีการส่งออกข้าวจีทูจีไปให้ประเทศจีนอย่างที่อ้างว่ามีการทำสัญญาหลายล้านตัน
(2) ในการซื้อขายข้าวดังกล่าว ตามปกติต้องจ่ายเงินในรูปแบบสัญญาตราสารเครดิต (Letter of Credit : L/C) แต่กลับปรากฏว่า มีพ่อค้าในประเทศเป็นผู้ซื้อแคชเชียร์เช็คมาจ่าย ในราคาถูกกว่าราคาท้องตลาด
(3) มีการแก้ไขสัญญาให้ส่งมอบข้าวแบบ Ex-ware House (ส่งมอบสินค้าหน้าคลัง) ทั้งที่ปกติ จะต้องใช้วิธีการส่งมอบสินค้าถึงกาบเรือ (F.O.B.) หรือ C.I.F.ให้ผู้ขายรับผิดชอบการขนส่งไปให้ที่ท่าเรือ กลายใช้วิธีการเช่นนี้ ทำให้พ่อค้าข้าวในประเทศสามารถเบิกข้าวจากโกดังภายในประเทศ ไม่ว่าจะอยู่ที่จังหวัดไหน แล้วนำมาหมุนเวียนขาย ทำมาหากินในประเทศกันต่อ โดยไม่ได้ส่งออกไปต่างประเทศ
7. คดีโกงระบายข้าวจีทูจี ตอกย้ำกลโกงเชิงนโยบายในประเทศไทย ว่ากระทำได้ ก็ด้วยตัวละคร 3 ฝ่าย ร่วมมือกันโกง คือ นักการเมือง ข้าราชการประจำ และพ่อค้าธุรกิจ
ถ้าฝ่ายใดไม่ร่วมมือด้วย การทุจริตจะเกิดได้ยาก
ในครั้งนี้ ศาลฎีกาฯ พิพากษาลงโทษทั้ง 3 ฝ่าย เป็นเครื่องตอกย้ำว่าประเทศจะต้องหาหนทางในการป้องกันและปราบปรามการทุจริตเชิงนโยบายที่ประสิทธิภาพ มิให้คนโกงร่วมกันโกงจนเกิดความเสียหายร้ายแรงแบบนี้อีก ควรจะต้องสร้างกฎเกณฑ์ที่ทำให้เกิดความโปร่งใส เปิดเผยข้อมูลการตรวจสอบ วางระบบตรวจสอบที่ครอบคลุมกลไกทั้งสามส่วน
ถือเป็นบทเรียนสำหรับข้าราชการด้วย เพราะต้องถูกจำคุกกว่า 40 ปี นับเป็นเยี่ยงอย่าง ว่าข้าราชการของแผ่นดินจะต้องเป็นเทคโนแครต ทำหน้าที่ตรงไปตรงมา ไม่หวังอามิสสินจ้าง ไม่ร่วมหัวจมท้ายไปกับนักการเมืองที่เข้ามามีอำนาจทุจริต เพราะสุดท้าย ข้าราชการก็ถูกถีบออกไป ไม่มีนักการเมืองพูดถึง หรือคิดจะช่วยเหลือ น่าเสียดายที่บางคนตระกูลดี พลอยได้รับผลในทางเสื่อมเสียไปด้วย
การตรวจสอบจนมาถึงการพิพากษาลงโทษขบวนการโกงในครั้งนี้ เรียกเงินกลับคืนแผ่นดินอีกเกือบสองหมื่นล้านบาท สังคมไทยต้องขอบคุณข้าราชการ เจ้าหน้าที่รัฐที่ทำหน้าที่อย่างสมศักดิ์ศรี เต็มภาคภูมิ เริ่มตั้งแต่ ป.ป.ช.ชุดที่แล้ว โดยเฉพาะ อ.วิชา มหาคุณ เจ้าของสำนวน ทำการไต่สวนอย่างไม่หวั่นเกรงภัยมืดใดๆ รวมถึงอัยการที่ทำงานอย่างเต็มที่ในฐานะทนายของแผ่นดิน
น่าเสียดายก็เพียงแต่จำเลยบางรายหนีคดีไป ไม่ได้ตัวคนผิดมาลงโทษครบถ้วน
น่าสนใจว่า ป.ป.ช.ชุดปัจจุบัน จะทำหน้าที่อย่างเด็ดขาด ปกป้องผลประโยชน์แผ่นดินแค่ไหน ไม่ว่าจะในคดีระบายข้าวอีกหลายคดี อาทิ ทุจริตข้าวจีทูจีลอตสอง ทุจริตข้าวถุง ทุจริตข้าวบูลล็อก หรือแม้แต่คดีทุจริตมันสำปะหลังจีทูจี ทุจริตโครงการปาล์มน้ำมันอินโดนีเซีย ฯลฯ
8. คดีโครงการจำนำข้าวในยุค “ทักษิณคิด เพื่อไทยทำ” สะท้อนการเมืองในพรรคเพื่อไทย
ตอกย้ำว่า ให้ความสำคัญคดีของยิ่งลักษณ์ มากกว่าคดีของนายบุญทรงและพวก
สะท้อนว่า ให้ความสำคัญทางการเมืองกับหุ่นเชิดนามสกุลชิน กับนามสกุลอื่น แตกต่างกัน
โดยให้ความสำคัญกับหุ่นเชิดตระกูลชินมากกว่า
หรือจะเป็นไปได้ว่า คนในแวดวงเพื่อไทยเอง อาจเห็นรูปการทุจริตชัดเจน ด้วยความย่ามใจ ดำเนินการโจ๋งครึ่ม จึงเลือกตัดเรือหุ่นทิ้งบางตัว จะได้ไม่ลากกันลงเหว
สะท้อนว่าพรรคเพื่อไทยยังเป็นของตระกูล เหมือนเป็นบริษัทของตระกูลชิน ที่เจ้าของบริษัทจะต้องอยู่รอดปลอดภัย แต่บรรดาขี้ข้าอาจให้เซ่นสังเวยได้เสมอ
ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง
ศาสตราภิชาน มหาวิทยาลัยรังสิต
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี