เมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2560 ได้มีการอ่านคำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ในคดีทุจริตค้าข้าวจีทูจีครั้งใหญ่ที่สุดชื่อเต็มๆ ว่า “คดีการกระทำความผิดเกี่ยวกับการทำสัญญาขายข้าวให้แก่บริษัทกวางตุ้งและบริษัทห่ายหนาน ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจของสาธารณรัฐประชาชนจีน รวม 4 สัญญา โดยอ้างว่าเป็นการซื้อขายแบบรัฐต่อรัฐและขายในราคาต่ำกว่าท้องตลาด” มีผลการตัดสินลงโทษทั้งจำคุกและปรับ นักการเมือง ข้าราชการและนักธุรกิจ ที่ร่วมทุจริต เป็นโทษสูงที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองไทย
ผู้ที่ได้รับโทษ มีตำแหน่งสูงเป็นถึงรัฐมนตรีว่าการและรัฐมนตรีช่วยกระทรวงพาณิชย์ ฝ่ายข้าราชการก็มีตำแหน่งสูงเป็นถึงอธิบดี, รองอธิบดี และเลขานุการกรม ส่วนฝ่ายพ่อค้านักธุรกิจก็ได้รับโทษหนักทั้งเจ้าของกิจการและพนักงานผู้มีส่วนร่วมกระทำผิดมีหนึ่งคนที่เป็นลูกสาวของเจ้าของกิจการด้วย รวมทั้งหมดถึง 21 คน รายละเอียดการลงโทษ เช่น นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีต รมว.พาณิชย์ถูกจำคุก 42 ปี, นายภูมิ สาระผล อดีต รมช.พาณิชย์ถูกจำคุก 36 ปี, นายอภิชาต จันทร์สกุลพร หรือ เสี่ยเปี๋ยง พ่อค้าข้าวคนสำคัญ โดนโทษจำคุก 48 ปี
ฝ่ายข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ในกระทรวงพาณิชย์ก็ถูกลงโทษพร้อมกันไปด้วย ที่สำคัญๆคือนายมนัส สร้อยพลอยอดีตอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ จำคุก 40 ปี, นายทิฆัมพร นาทวรทัต อดีตรองอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศจำคุก 32 ปี, นายอัครพงศ์ ช่วยเกลี้ยง อดีตเลขานุการกรมการค้าต่างประเทศ จำคุก 24 ปี พร้อมทั้งมีค่าปรับอีกเป็นจำนวน 16,912 ล้านบาท (คำนวณจาก 50% ของมูลค่าสัญญาที่ประมูลได้)อีกด้วยที่บังคับให้จำเลยที่ร่วมกระทำผิดต้องร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายคืนแก่รัฐ
การที่มีผู้ที่ถูกลงโทษจำนวนมากเป็นกลุ่มใหญ่และลงโทษเป็นค่าปรับสูงมากก็เพราะประเทศไทยมีกฎหมายเฉพาะสำหรับลงโทษผู้ร่วมทุจริตการประมูลงานของรัฐ การลงโทษครอบคลุมกว้างขวางตั้งแต่นักการเมือง ข้าราชการ ไปจนถึงพ่อค้าประชาชนที่มีส่วนร่วม และไปถึงผู้ที่เป็นกรรมการหรืออนุกรรมการต่างๆที่มีอำนาจเกี่ยวข้องในการประมูลนั้นๆ และยังเขียนไว้รวมถึงผู้ออกแบบและกำหนดสเปกด้วย
กฎหมายนี้รู้จักกันทั่วไปในชื่อว่ากฎหมายฮั้ว แต่ที่จริงแล้วกฎหมายนี้มีอำนาจจัดการไม่เฉพาะการสมยอมเรื่องราคาหรือการฮั้วเท่านั้น แต่สามารถจัดการผู้ทุจริตทุกรูปแบบในการประมูลงานของรัฐ มีชื่อกฎหมายเต็มๆ ว่า” พ.ร.บ. ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542”
ในคำพิพากษาอ้างถึงความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 151,157 และ พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 มาตรา 4, 9, 10, 12
มาตรา 4 เนื้อหาให้มีโทษปรับเป็นเงินได้ โดยมีการกำหนดไว้ว่า“...ปรับร้อยละห้าสิบของจำนวนเงินที่มีการเสนอราคาสูงสุดในระหว่างผู้ร่วมกระทำผิดนั้นหรือของจำนวนเงินที่มีการทำสัญญากับหน่วยงานของรัฐแล้วแต่จำนวนใดจะสูงกว่า...”
ส่วนที่มีเอกชนถูกลงโทษเป็นจำนวนมากนั้น ก็มาจากข้อความในมาตรา 9 ที่ระบุไว้ว่า “ในกรณีที่การกระทำผิดตามพระราชบัญญัตินี้ เป็นไปเพื่อประโยชน์ของนิติบุคคลใด ให้ถือว่าหุ้นส่วนผู้จัดการ กรรมการผู้จัดการผู้บริหารหรือผู้มีอำนาจในการดำเนินงานในกิจการของนิติบุคคลนั้น หรือผู้ซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลในเรื่องนั้น เป็นตัวการร่วม ในการกระทำผิดด้วย เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่า ตนมิได้มีส่วนรู้เห็นในการกระทำผิดนั้น”
ในมาตรา 10 นั้น มีการกำหนดความผิดของเจ้าหน้าที่ของรัฐไว้เป็นข้อความที่สำคัญว่าถ้ารู้หรือควรรู้ ว่ามีการกระทำผิดเกิดขึ้น แล้วไม่ยกเลิกการเสนอราคานั้นๆ ไปเสีย ด้วยข้อความว่า “...รู้หรือมีพฤติการณ์ปรากฏแจ้งชัดว่าควรรู้ว่าการเสนอราคาในครั้งนั้นมีการกระทำความผิดตามพระราชบัญญัตินี้ ละเว้นไม่ดำเนินการเพื่อให้มีการยกเลิก การดำเนินการเกี่ยวกับการเสนอราคาในครั้งนั้น มีความผิดฐานกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่...”
ส่วนโทษจำคุกที่หนักนั้น กำหนดไว้ 5 ถึง 20 ปี หรือจำคุกตลอดชีวิต อยู่ในมาตรา 12 ของพ.ร.บ.นี้
จริงๆแล้ว ป.ป.ช.เคยใช้ พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 ไปลงโทษนักการเมืองและข้าราชการมาก่อนแล้ว ไม่ได้ใช้เป็นครั้งแรก เพราะก่อนหน้านี้ ในปีพ.ศ.2558 ก็ได้เคยใช้ในการชี้มูลความผิดของอธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงานและศาลอาญาคดีทุจริตฯกลาง พิพากษาจำคุกอดีตรองอธิบดีกรมแรงงาน 49 กระทงรวม 245 ปีมาแล้ว
นายประชา มาลีนนท์ อดีตรมช.มหาดไทย ก็ถูกพิพากษาจำคุก 12 ปี ด้วย พ.ร.บ.นี้ และนายชูชีพ หาญสวัสดิ์ อดีตรมว.เกษตรและสหกรณ์และนายวิทยา เทียนทอง อดีตเลขานุการ รมต.ก็ถูกสั่งจำคุกคนละ 6 ปีในคดีทุจริตฮั้วประมูลจัดซื้อปุ๋ย เช่นเดียวกัน
พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 ฉบับนี้จึงนับได้ว่าเป็นกฎหมายที่มีฤทธิ์เดชสามารถนำนักการเมือง ข้าราชการและพ่อค้า ที่ร่วมทุจริตการประมูลงานของรัฐไปลงโทษได้อย่างครอบคลุมทุกเล่ห์เหลี่ยมการคดโกง และมีโทษรุนแรงทั้งจำคุกและโทษค่าปรับที่มีมูลค่าสูง ดังที่ปรากฏแล้วในครั้งนี้ว่า สามารถนำผู้ร่วมกระทำผิด กรณี
ซื้อขายข้าวจีทูจี มาลงโทษได้ทั้งหมด
นี่เป็นบทเรียนสำหรับผู้คิดจะกระทำผิดทุกฝ่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้าราชการหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐที่จำยอมร่วมมือกระทำผิด ซึ่งจะขอนำคำกล่าวเตือนของนายนิกร ทัสสโรรองอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลางที่กล่าวเตือนไว้ว่า “...การทำตามระเบียบ กฎหมายอย่างเคร่งครัดนั้น เป็นสิ่งที่จะคุ้มครองตน อย่าใจอ่อนต่อเงินและประโยชน์ที่ไม่ชอบ อย่าใจอ่อนต่อคำสั่งของผู้บังคับบัญชาที่สั่งการโดยไม่ถูกต้อง เพราะท้ายที่สุดแล้วการกระทำตามคำสั่งที่ไม่ถูกต้องจะทำให้เดือดร้อนต้องถูกดำเนินคดีอาญาได้ และเท่าที่สังเกตเมื่อต้องคดีก็ไม่เคยเห็นผู้สั่งการให้ความช่วยเหลือทางคดี!...”
รศ.ดร.ต่อตระกูล ยมนาค และดร.ต่อภัสสร์ ยมนาค
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี