ถ้านี่คือการตัดสินใจ“หนีศาล”ของอดีตนายกฯ“ยิ่งลักษณ์”ในคดีโครงการรับจำนำข้าวที่เป็นหนึ่งในคดีประวัติศาสตร์ พฤติกรรมอดีตคู่พี่น้องนายกฯทั้งสอง ดูเหมือนเป็นการนำเอาหนังม้วนเดิม พล็อตเดิม รูปแบบเดิมที่เคยเกิดขึ้นกับการ“หนี”ของพี่ชายในคดีประวัติศาสตร์ว่าด้วยคดีทุจริตที่ดินย่านรัชดาเมื่อปี 2551 กลับมาใช้อีกครั้ง เพียงแต่ครั้งนี้เปลี่ยนตัวละครจากพี่ชายเป็นน้องสาว ที่สำคัญดูๆ แล้วการตั้งใจ“หนี”ครั้งนี้ ไม่น่าใช่เรื่องที่ทำแบบกะทันหัน แต่คงผ่านการเตรียมตัว ตัดสินใจและพิจารณามาอย่างดีแล้วว่า “งานนี้คุ้ม” เพราะ ณ วันที่หนี ศาลยังไม่ได้ตัดสิน เช่นเดียวกับที่พี่ชายหนีศาลก่อนการตัดสิน
แม้ถึงวันนี้จะไม่รู้ข้อเท็จจริงว่า อดีตนายกฯหายไปไหน? ตัดสินใจหนีคดีจริงหรือไม่? แล้วหนีออกนอกประเทศ จริงหรือไม่? วางแผนหนีล่วงหน้าหรือไม่? ถ้าใช่แล้วหนีได้อย่างไร? ผ่านช่องทางใด? แล้วใครคอยช่วยในการหายตัวแบบไร้ร่องรอย?จนไม่มีใครรู้ แต่วันสองวันที่ผ่านมากลับพบคำแถลงของพรรคเพื่อไทยออกมาทำนองว่า ในวันหนึ่งจะบอกเหตุผลการหายตัวไป แต่อย่างน้อยการหายตัวของ“ยิ่งลักษณ์”ก็พอพิสูจน์ได้ว่า ประการที่หนึ่งยิ่งลักษณ์ยังมีชีวิตอยู่ และคนรอบตัวรับรู้ว่าอยู่ที่ใด? จึงมีการประกาศว่า ในวันหนึ่งจะออกมาบอกเหตุผลได้ ประการที่สอง น่าจะพอมีเค้าลางว่าเป็นการกระทำที่เตรียมการล่วงหน้า แม้คนรอบตัวจะไม่รู้ทั้งหมด แต่อดีตนายกฯก็ทำสำเร็จ ส่วนจะเป็นความสำเร็จหรือล้มเหลวของประเทศ คงต้องรอดูต่อไป
แต่ข้อเท็จจริงที่หลายคนยังสงสัยคือ เหตุใดจึงตัดสินใจทิ้งลูกน้องที่ทำงานถวายชีวิตนับสิบคนให้ต้องเผชิญชะตากรรมอย่างโดดเดี่ยว? ไล่ตั้งแต่อดีตรมว.และรมช.พาณิชย์ ข้าราชการ รวมถึงเอกชนนับสิบราย ที่เอื้อเฟื้อกันตลอดมา ให้ต้องไปเผชิญความจริงที่ศาลฎีกาฯทั้งที่ในวันนั้นลูกน้องคิดว่าจะได้เจอลูกพี่อย่างยิ่งลักษณ์ แต่ก็ไม่พบลูกพี่ที่คอยประกาศต่อสื่อและประกาศโดยตรงต่อลูกน้องว่า จะยืนหยัดต่อสู้ไม่คิดจะหนี จนลูกน้องตายใจ ไม่มีใครหนีและอยู่ร่วมเผชิญชะตากรรมกับเจ้านายที่ตัวเองจงรักภักดี มวลชนและคนภายนอกคงไม่อาจเข้าใจความรู้สึกอันเจ็บปวดของการโดนหักหลังครั้งนี้
ข้อสงสัยที่สำคัญกว่าการหนี คือคำถามที่ว่า ณ ขณะนี้อดีตนายกฯอยู่ที่ใด? หนีไปต่างประเทศจริงหรือไม่? หรือยังวนเวียนอยู่แถวขอบชายแดนประเทศไทย? นี่เป็นคำถามสำคัญที่กระบวนการยุติธรรมไทยและรัฐบาล คสช.ต้องตอบให้ได้ เพราะการออกมาพูดแค่ว่าอดีตนายกฯไม่ได้อยู่บ้านแล้วเหมือน 2-3 วันที่ผ่านมา ส่วนการติดตามตัวก็แทบไม่พบอะไรคืบหน้า ดูจะไม่เพียงพอและไม่ส่งผลดีต่อรัฐบาลและหน่วยงานความมั่นคงนัก เพราะนอกจากความเสียหายนับแสนล้านบาทที่เกิดกับประเทศจากคดีนี้แล้ว ยังส่งผลต่อภาพลักษณ์ความมั่นคง ความน่าเชื่อถือ กระบวนการการทำงานของรัฐบาล และความศรัทธาของประชาชนด้วย ยิ่งเมื่อมีข่าวว่า มีนายตำรวจระดับผู้กำกับอาจมีส่วนรู้เห็นช่วยเหลืออดีตนายกฯด้วยแล้ว? เรื่องนี้ยิ่งน่าเป็นห่วงความมั่นคงของคนในรัฐบาลในอนาคต!!!
ดังนั้นทางออกดีที่สุดของรัฐบาล คสช.ตอนนี้ ต้องอย่ามองผลประโยชน์เพียงระยะสั้นช่วงที่ตัวเองเป็นรัฐบาลว่า ไม่มีอดีตนายกฯอยู่แล้ว ประเทศจะสงบ ไม่วุ่นวาย เพราะนี่เป็นเพียงความสงบระยะสั้น ที่สำคัญสงบโดยหมักหมมปัญหาไว้เพื่อรอวันระเบิด ลองจินตนาการดูว่าในวันหนึ่งที่รัฐบาลหมดอำนาจไปแล้ว แต่ผู้มีคดีที่มีอิทธิพลกลับยังมีอิสรภาพ มีอำนาจ แถมมีลิ่วล้อในประเทศคอยเป็นมือไม้ให้จำนวนมาก ถ้าวันนั้นมาถึงจริง คิดว่าผู้มีคดีจะดำเนินการอย่างไรกับประเทศต่อไป? จำภาพเหตุการณ์ช่วงปี 2552-2553 ได้หรือไม่ที่ประเทศวุ่นวาย เศรษฐกิจพังพินาศ ต้นเหตุทั้งหมดไม่ใช่มาจากผู้หนีคดีที่รัฐบาลจัดการไม่สำเร็จ? เพราะฉะนั้นนอกจากที่รัฐบาลและหน่วยงานความมั่นคงต้องเร่งดำเนินการตามขั้นตอนกฎหมาย ติดตามตัวอดีตนายกฯมาดำเนินคดีแล้ว ยังต้องเร่งดำเนินการเรียกคืนความเสียหาย 35,000 กว่าล้านบาทตามที่เคยใช้คำสั่งทางปกครอง ยึดทรัพย์อดีตนายกฯมาให้ได้!!!
อย่างที่สองที่รัฐบาลคสช.ต้องทำก็คือ ชี้แจงให้ประชาชนเข้าใจว่า รัฐบาลไม่ได้จะบอกว่านโยบายช่วยชาวนาและโครงการจีทูจีเป็นสิ่งที่ผิดหรือไม่ถูกต้อง ส่วนนโยบายจำนำข้าวจะเหมาะสมในทางเศรษฐกิจหรือไม่ ก็เป็นเรื่องทางวิชาการซึ่งไม่ใช่ประเด็นนี้ เพราะประเด็นที่ศาลพิจารณาคือ เรื่องทุจริต มีผลประโยชน์ทับซ้อน และการทำให้เกิดความเสียหายต่อรัฐ ซึ่งผู้มีอำนาจรับรู้ รู้เห็น ตามอำนาจตัวเองทางกฎหมาย นี่คือประเด็นที่ถ้ารัฐบาลไม่สามารถทำให้ประชาชนเข้าใจได้ ไม่สามารถแยกประเด็นให้รับรู้ได้ อนาคตความขัดแย้งของประชาชนจะปรากฏขึ้นอีกครั้ง? หลังรัฐบาลนี้หมดอำนาจลง เพราะทุกวันนี้ก็มีบางฝ่ายตั้งใจและพยายามชี้นำสังคมให้เป็นไปในแนวทางนี้อยู่แล้ว ใช่หรือไม่? ขณะที่การติดตามตัวอดีตนายกฯ ก็เป็นการติดตามตัวด้วยเหตุผลเรื่องการหนีศาล
ทั้งสองเรื่องนี้รัฐบาลคสช.และหน่วยงานความมั่นคงควรจัดการให้เสร็จโดยเร็ว อย่างน้อยก็ก่อน 27 กันยายนวันที่ศาลฎีกาฯนัดฟังคำพิพากษาคดีโครงการจำนำข้าวที่เลื่อนมาจากวันศุกร์ที่ผ่านมา
ในขณะที่คดีจีทูจี ลูกมือของอดีตนายกฯต่างพร้อมใจกันมาสู้คดีทุจริตโครงการระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐหรือจีทูจี ที่ศาลฎีกาฯตัดสินจำคุกนายบุญทรง อดีตรมว.พาณิชย์ 42 ปี,นายภูมิ อดีตรมช.พาณิชย์ 36 ปี,เสี่ยเปี๋ยง 48 ปี และข้าราชการนับสิบรายอีกคนละหลายสิบปีตามแต่ความผิด พร้อมสั่งให้จำเลยร่วมกันชดใช้เงินกว่า 16,000 ล้านบาทนั้น เอาเข้าจริงใครๆ ก็รู้ว่า อดีตนายกฯเป็นคนแต่งตั้งนายบุญทรง และนายภูมิด้วยตัวเอง และใครๆ ก็รู้ว่านายบุญทรงเป็นเด็กของเจ๊คนใดใช่หรือไม่?
และหากดูกันตามคำพิพากษาที่เผยแพร่ออกมา จะพบว่าศาลแสดงให้เห็นถึงรายละเอียดการกระทำผิดอย่างชัดเจนในการระบายข้าวว่าไม่ได้เป็นไปตามกรอบการซื้อขายแบบรัฐต่อรัฐ โดยเฉพาะประเด็นว่าด้วยการลงนามในสัญญาซื้อขายข้าวอย่างน้อย 4 ฉบับระหว่างรัฐบาลไทยที่มีอดีตรมว.และรมช.เป็นผู้ลงนามซื้อขายกับบริษัทเอกชน ที่พบว่าทั้ง 4 สัญญานำมาซึ่งความเสียหายต่อรัฐมากกว่า 1 หมื่นล้านบาท เพราะสัญญาขายข้าวทั้งหมด ขายในราคาต่ำกว่าท้องตลาด ที่สำคัญผู้รับมอบอำนาจซื้อข้าวจากรัฐบาลไทยยังเป็นคนไทย ยิ่งกว่านั้นศาลพิเคราะห์ว่า ข้าวที่ซื้อขายกัน ไม่ได้ส่งออกไปจีนจริง แต่ผู้ประกอบการกลับนำมาหมุนเวียนขายในประเทศ ศาลยังพิเคราะห์พบข้อพิรุธในสัญญาสี่ฉบับอีกหลายประการ เช่น มีการแก้ไขสัญญาโดยเพิ่มชนิดและปริมาณข้าวเรื่อยๆ ซึ่งไม่ได้เป็นไปเพื่อประโยชน์แก่ประเทศชาติ อีกทั้งการชำระเงินด้วยแคชเชียร์เช็ค ที่ผู้ซื้อข้าวจากรัฐบาลไทยสามารถนำข้าวไปขายต่อยังที่อื่นหรือประเทศที่สามได้ด้วย เป็นต้น
คำพิพากษาดังกล่าว นอกจากเป็นบทลงโทษรุนแรงที่สุดที่ศาลฎีกาฯเคยพิพากษามา ยังนับเป็นบทเรียนสำคัญของประเทศชาติและนักการเมืองที่จะเข้ามาบริหารประเทศในอนาคตว่า จะต้องไม่เกิดเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นอีกทั้งทางบริหารราชการแผ่นดิน ทางการเมืองหรือทางเศรษฐกิจ เพราะผู้ที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดคือประชาชน ที่สำคัญกว่านั้น จำเป็นอย่างยิ่งที่ประชาชนไม่ว่าฝ่ายใดก็ควรจะต้องศึกษาคดีนี้ เพื่อให้รู้ถึงแก่นแท้ของคดีว่า ผิดเพราะอะไร? ไม่ใช่ใช้แต่อคติของตัวเองมาตัดสินข้อเท็จจริงไปหมด เช่นนี้ความจริงก็จะไม่เกิดขึ้น
แม้วันนี้ศาลยังไม่ตัดสินคดียิ่งลักษณ์ ซึ่งเราไม่อาจก้าวล่วงได้ แต่คำพิพากษาคดีจีทูจีที่ออกมา หลายๆ คนอาจรวมถึงทีมทนายของยิ่งลักษณ์คงมองว่า น่าจะมีทิศทางไม่ต่างจากคดีจำนำข้าวใช่หรือไม่?เพราะนอกจากองค์คณะผู้พิพากษา 5 จาก 9 คนจะเป็นผู้ร่วมพิจารณาทั้งสองคดีแล้ว องค์คณะผู้พิพากษาฯ ยังนำทั้งสองคดีมาตัดสินพร้อมกัน นอกจากนี้ที่มาต้นเหตุทั้ง 2 คดีก็มาจากที่เดียวกัน คือ โครงการจำนำข้าวที่มีอดีตนายกฯอยู่บนยอดสุดของการตัดสินใจดำเนินการทุกอย่างใน 2 โครงการนี้ด้วย แต่ปัจจุบันอดีตนายกฯหญิงที่อยู่บนสุดของทุกอย่าง ทั้งเป็นผู้สั่งการ เป็นผู้กำหนดนโยบาย เป็นผู้กำกับกระบวนการ เป็นผู้แต่งตั้งคณะกรรมการกลับยังไม่ได้รับการลงโทษ มีเพียงผู้ปฏิบัติที่ถูกลงโทษ ทั้งที่ว่ากันตามความจริง คนผิดที่สุดไม่ใช่ผู้ปฏิบัติ แต่เป็นผู้อยู่เบื้องหลัง ผู้สั่งการต่างหาก ใช่หรือไม่?
มีผู้เสียประโยชน์(รัฐ) ก็ต้องมีผู้ได้ประโยชน์ อย่าลืมว่ายังมีประเด็นเจ๊“ด”คนดังที่ได้ประโยชน์จากโครงการจำนำข้าวและจีทูจีใช่หรือไม่? เหตุใดไม่มีการสาวถึงต้นตอเสียที? ที่สำคัญกว่าการที่ยังไม่สามารถจับตัวอดีตนายกฯได้ คือ เรื่องผลกระทบทั้งทางเศรษฐกิจ,กลไกตลาด,ราคาข้าว,งบประมาณแผ่นดินและทางระบบการผลิต อันเป็นสิ่งที่ศาลฎีกาฯไม่สามารถเยียวยาได้ ผลกระทบเหล่านี้จึงเป็นสิ่งที่รัฐบาลปัจจุบันต้องหาทางเยียวยา แก้ไขและป้องกันไม่ให้เกิดเหตุซ้ำอีก
สิ่งสำคัญที่สุดคือ ต้องทำความเข้าใจกับประชาชน โดยเฉพาะเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบโดยตรงเรื่องระบบซื้อขายและราคาข้าว เพราะก่อนหน้านี้มีอดีตรัฐมนตรีคนหนึ่งของพรรคตรงข้ามรัฐที่พยายามแบ่งแยกประชาชน ผ่านการพูดกับเกษตรกรทำนองว่า โครงการย่อมมีการขาดทุนเป็นเรื่องปกติ แต่การได้ช่วยเหลือเกษตรกรก็เพียงพอแล้ว หรืออย่างอดีตสส. พรรคเดียวกันที่ยืนยันว่าจำนำข้าวเป็นโครงการที่ดี หวังช่วยเกษตรกรเท่านั้น ไม่มีเจตนาทุจริตใดๆ? แต่ในความเป็นจริงผลกระทบที่เกิดขึ้นกับงบประมาณ ผลตัดสินของ ป.ป.ช.ก็บอกอยู่แล้วว่า มีการทุจริต แม้แต่โครงการจีทูจีเอง ศาลฎีกาฯก็มีคำพิพากษาว่า ทุจริตและมีผู้ได้ประโยชน์ เกี่ยวพันกับผู้มีอำนาจ อันเป็นความผิดครบวงจร ชัดเสียยิ่งกว่าชัดว่านักการเมืองพรรคใดได้ประโยชน์จากการทุจริต? ส่วนประเทศและประชาชนเสียประโยชน์ รวมทั้งเสียโอกาสจากเงินส่วนต่างของการทุจริต ดังนั้น ข้อสรุปจากการตัดสินของศาลฯ ตามกฎหมายปกติของ ป.ป.ช.ที่เป็นผู้ชี้มูลและยื่นเรื่องให้อัยการสูงสุดสั่งฟ้อง ย่อมเป็นการพิสูจน์แล้วว่านักการเมืองพรรคใดกระทำการทุจริต? ใครเป็นผู้มีอำนาจแต่งตั้งนักการเมืองคนนั้น? และวันนี้ก็พิสูจน์แล้วว่าใครได้ประโยชน์จากการทุจริต
ครั้งนั้น ซึ่งไม่ใช่ประชาชนแต่อย่างใดใช่หรือไม่?
สิ่งที่รัฐบาลต้องทำตอนนี้ นอกจากการสร้างบรรทัดฐานแห่งการบังคับใช้กฎหมายให้เกิดขึ้นจริงแล้ว ยังต้องพิจารณาบรรทัดฐานการจัดการบรรดาอดีตรัฐมนตรี ข้าราชการ และพวก ที่สำคัญคือผู้อยู่เบื้องหลังการทุจริต โดยต้องเร่งติดตามว่าเงินจากการทุจริตเดินทางไปที่ไหน? ผ่านการใช้เครื่องมืออย่างปปง. ตรวจสอบไปจนถึงเจ๊คนดังที่อยู่เบื้องหลัง อย่าให้สังคมมองว่า “คุกมีไว้ขังคนจนเท่านั้น”แต่คนรวย คนมีอำนาจที่อยู่เบื้องหลังก็ต้องได้รับโทษด้วย!!!
ทั้งสองคดีแสดงให้เห็นแล้วว่า นักการเมืองที่ไม่จริงใจใช้ประชาชนเป็นเครื่องมือเพื่อประโยชน์ของตัวเอง นักการเมืองที่ทำทุกวิถีทางเอาตัวเองรอดแม้กระทั่งหักหลังลูกน้อง เป็นอย่างไร? รวมถึงศักดิ์ศรีของคนที่คิดจะมาเป็นผู้นำ ที่ทั้งสองคดีนี้ผู้ที่เป็นหัวหน้ารัฐบาลและอยู่เหนือคำสั่งทั้งปวงก็คือ อดีตนายกฯที่นอกจากหนีในคดีตัวเองแล้ว ก็ไม่เคยหยิบยื่นความช่วยเหลือหรือปกป้องลูกน้องในคดีจีทูจี ซึ่งเทียบไม่ได้แม้กระทั่งกับหมอเลี้ยบและนายจตุพร ที่ทำความผิดทั้งที่รู้สึกว่าตัวเองไม่ได้กระทำผิด แต่ก็ยังรับคำตัดสินศาล เดินเข้าคุก หรือแม้กระทั่งนายบุญทรง,นายภูมิก็ตาม ทั้งหมดคือนักการเมืองที่พร้อมทำทุกอย่าง ไม่ว่าถูกหรือผิดเพื่อให้ได้มาซึ่งตำแหน่ง ใช่หรือไม่? แต่อย่างน้อยเขาก็ยังมีส่วนดีที่กล้าออกมารับผิดและรับโทษตัดสินของศาล
ขณะที่ประชาชนผู้ภักดีทั้งหลายควรจะตาสว่างได้แล้ว เพราะในเวลาที่เขาไม่ได้ประโยชน์ เขาก็ไม่ได้แยแสมวลชนอย่างที่เคยกล่าวไว้ เช่นนั้นนักการเมืองที่ยังอยู่ในสังกัดเดิมทั้งหลาย ถึงเวลาที่ต้องตระหนักให้ดีแล้วว่า จะเอาชีวิตตัวเองทั้งชีวิตไปแลกกับลาภยศสรรเสริญ ด้วยความฉิบหายที่จะเกิดขึ้นกับตัวเองและประเทศชาติ เพราะนายชั่วๆอีกหรือไม่...?
“...ไม่ปฏิเสธเท่ากับเป็นการยอมรับ”
(คำคมโกวเล้ง จากเรื่อง ดาวตก ผีเสื้อ กระบี่)
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี