เมื่อตอนที่ Gary becker คิดเรื่องทุนมนุษย์จนได้รับรางวัลโนเบล (Nobel) กว่า 50 ปีที่แล้วเป็นการมองในด้านเศรษฐศาสตร์และมองในด้านปริมาณมากกว่าคุณภาพ เมื่อเวลาผ่านไปได้ระยะหนึ่งพบว่าการเป็นคนเก่ง อย่างเดียวจะไม่พอต้องเป็นคนดีด้วย และในด้านของปริมาณอย่างเดียวไม่พอ คือคนที่เรียนมาก เช่น จบปริญญาตรีขึ้นไปต้องเก่งกว่าและมีรายได้มากกว่าคนจบ ป.6
ซึ่งเดี๋ยวนี้อาจจะไม่จริง เพราะจากเวลาที่ผ่านมา 50 ปีที่แล้ว แต่เวลานี้ประเทศไทยได้พิสูจน์แล้วว่า ปริญญาไม่ใช่ปัญญา แต่เนื่องจากในโลกทุนนิยมที่เจริญทางวัตถุมากมาย ทำให้สังคมอ่อนแอ เกิดความโลภ มีการโกงกินทางการเมืองและทุกสาขา เช่น เมืองไทยมีการโกงจำนำข้าวเสียหายถึง 500,000 ล้าน ทุนมนุษย์ในยุคผมจึงเน้นในด้านคุณภาพไม่ใช่เพียงใบปริญญาเท่านั้น และยังเห็นว่าทุนมนุษย์ครอบคลุมอีก 4 ประเด็น คือ
- ดี
- เก่ง
- มีความสุข
- มีความยั่งยืนด้วย
จึงเป็นที่มาของ 8K’s,5K’s ของผม คือพื้นฐานของทุนมนุษย์และทุนที่สำคัญอันดับต้นๆ คือทุนทางจริยธรรม แต่เมื่อทำงานไปสักระยะหนึ่งจะพบว่าทุนทางจริยธรรมขยายไปอีกจึงเรียกว่า 3+1
ที่มาของ 3+1 เกิดจากแรงบันดาลใจ ที่ผมได้รับเชิญไปเป็นองค์ปาฐก Keynote Speakers at the “Conference on Green Entrepreneurship & Innovation for Sustainable Development (ICGEISD 2017) เมื่อวันที่ 28-29 สิงหาคม 2560 ที่ University of Muhammadiyah Gresik ประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งนอกจากผมแล้วยังมีผู้เชี่ยวชาญเรื่องความยั่งยืนของศาสนาอิสลามจากชาวมาเลเซียอีก 2 คน ซึ่งเห็นนักธุรกิจและคนทั่วๆ ไปไม่รักษาทรัพยากรไว้ให้คนรุ่นหลัง ถือว่าเป็นปัญหาขาดจริยธรรมอย่างหนึ่ง
วันนี้จึงจะสรุปให้ทราบว่า ทุนทางจริยธรรมมี 3+1 คืออะไร?
1.ทุนทางจริยธรรม อันแรกก็คือ ทำงานสิ่งใดที่ไม่โปร่งใส เอาเปรียบผู้อื่น โลภ คิดแต่ประโยชน์ส่วนตัว ไม่นึกถึงประโยชน์ส่วนรวม ทำผิดกฎหมายตลอดเวลา
มีตัวอย่างเกิดขึ้นแล้ว คือนโยบายจำนำข้าว นโยบายรถคันแรกของรัฐบาลอดีตนายกฯยิ่งลักษณ์ ศาลฎีกาแผนกคดีอาญานักการเมือง ตัดสินจำคุกรัฐมนตรี 2 คนคือ นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ 42 ปี และ นายภูมิ สาระผล 36 ปี ข้อหาเรื่องการขายข้าวรัฐต่อรัฐ หรือจีทูจี
แต่จะตัดสินคดีนายกฯยิ่งลักษณ์ก็รู้ล่วงหน้าแล้วจึงหนีไปเสียก่อน ซึ่งทุนจริยธรรมอย่างแรกคือ ขาดจริยธรรมไม่มีความซื่อสัตย์สุจริต โกงชาติ เอาสมบัติของชาติมาเป็นของตัวเองโดยอ้างว่าเพื่อส่วนรวม (ชาวนา)
จริยธรรม ข้อที่ 2 คือเมื่อดูข้างนอกอาจจะคิดว่าไกลตัว แต่ผู้เชี่ยวชาญ ชาวมาเลเซีย 2 ท่าน และผมมีความเห็นพูดตรงกัน
ว่าธุรกิจที่คิดแต่กำไร แต่ไม่คำนึงถึงการพัฒนาให้มีความยั่งยืนก็ขาดจริยธรรมเหมือนกัน เป็นการขาดจริยธรรมที่เอาเปรียบคน
รุ่นหลังคือทำลายความยั่งยืนของโลก
จริยธรรม ข้อที่ 3 คือการขาดจริยธรรมทางวิทยาศาสตร์หรือเรียกว่า Ethics in science เช่น การทารุณสัตว์โดยเฉพาะเป็นผลงานทาง UNESCO เช่น การทดลองและทารุณสัตว์ การตัดต่อยีนในพืช ที่เรียกว่า GMO มีผลในทางเศรษฐกิจ แต่มีปัญหาด้านสุขภาพของผู้บริโภค ทำให้ได้ผลผลิตสูง รายได้ดี เช่น การใช้ Stem cell โดยฆ่าทารกตัวอ่อนของคนหรือสัตว์ เหล่านี้คือ เป็นคุณธรรมทางวิทยาศาสตร์
ที่เรียกว่าจริยธรรม +1 คือจริยธรรมด้านทัศนคติ เช่น ที่อเมริกา ชาวผิวขาวมีความเป็นชาตินิยมต่อต้านเหยียดผิวสีอื่นๆ เรียกว่าขาดจริยธรรมการเหยียดสีผิวที่ไม่ใช่ผิวขาว คือเหยียดผิวเหลือง ดำ หรือชาวยิว คล้ายในอดีตที่ชาวเยอรมันฆ่าชาวยิว
จำนวนมากถึง 5 ล้านกว่าคน เพราะเป็นผู้กุมอำนาจทางเศรษฐกิจไว้
ผมเรียกว่า 3+1 เพราะชาวยิวสื่อคำว่า Moral Capital ทุนทางศีลธรรม คือทุนทางจริยธรรมนั่นเอง
โดยเฉพาะเขาโจมตีทรัมป์ที่เอาใจฐานเสียงของผิวขาวไร้การศึกษา เน้นลัทธิคลั่งชาตินิยมแบบทำนองเดียวกับ Neo Nazi
ผมจึงภูมิใจที่แนวคิดในการบรรยายของผมครั้งนี้มีคุณประโยชน์และยังได้เรียนรู้จากชาวมุสลิมว่า การทำลายสิ่งแวดล้อมเป็นการขาดจริยธรรมอีกอย่างหนึ่งด้วย
จีระ หงส์ลดารมภ์
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี