“เงินของแผ่นดินนั้น คือเงินของประชาชนทั้งชาติ” (พระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร)
พระราชดำรัสองค์นี้ถูกอัญเชิญไว้ในรายงานของผู้สอบบัญชี สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน ที่เสนอต่อผู้อำนวยการองค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย หรือที่คนทั่วไปเรียกว่าสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส
รายงานของผู้สอบบัญชีฉบับนี้ปรากฏอยู่ในรายงานผลการปฏิบัติงานประจำปี พ.ศ.2559 ของไทยพีบีเอส หน้า 114-116
“ความเห็น
สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินได้ตรวจสอบงบการเงินขององค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย ซึ่งประกอบด้วยงบแสดงฐานะการเงิน ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2559 งบรายได้และค่าใช้จ่าย งบแสดงการเปลี่ยนแปลงส่วนของทุน และงบกระแสเงินสดสำหรับปีสิ้นสุดวันเดียวกันและหมายเหตุประกอบงบการเงิน รวมถึงหมายเหตุสรุปนโยบายการบัญชีที่สำคัญ
สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินเห็นว่า งบการเงินข้างต้นนี้แสดงฐานะการเงินขององค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2559 และผลการดำเนินงานและกระแสเงินสดสำหรับปีสิ้นสุดวันเดียวกันโดยถูกต้องตามที่ควรในสาระสำคัญตามมาตรฐานการรายงานทางการเงินสำหรับกิจการที่ไม่มีส่วนได้เสียสาธารณะ”
ข้อย้ำอีกทีว่า ข้อความสองย่อหน้าในข้างต้นนี้คือความเห็นของผู้สอบบัญชีจากสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน
สำหรับคุณๆ ที่ไม่มีความรู้เรื่องการเงินและการบัญชี ก็คงจะเห็นว่า ก็ไม่มีข้อน่าสังเกตหรือน่าสงสัยอะไรเกี่ยวกับความเห็นดังกล่าวนี้ แต่สำหรับผู้ที่มีความรู้และความชำนาญทางด้านการเงินและการบัญชีแล้ว เมื่อได้อ่านความเห็นนี้แล้ว ต่างบอกตรงกันว่า “เจ้าหน้าที่ของ สตง. ทำงานได้เพียงเท่านี้เองหรือ” บางคนบอกว่า “แบบนี้แล้วยังจำเป็นต้องมี สตง. อีกหรือ” แต่บางคนก็บอกว่า “ก็น่าเห็นใจ สตง. เหมือนกันนะ เพราะเขาอาจจะได้ข้อมูลจำกัดจนไม่สามารถทำงานได้อย่างละเอียดลออ เมื่อเขาได้ข้อมูลจำกัด หรือขาดข้อมูล เขาก็ทำงานไม่ได้”
แต่อย่างไรก็ตาม ความเห็นของ สตง. ที่ระบุข้างต้นนั้น ก็ทำให้นักการเงินและนักการบัญชีบอกตรงกันว่า “สตง.สมควรจะต้องทำงานได้ดีกว่านี้ เพราะว่าไทยพีบีเอสเป็นหน่วยงานที่ใช้เงินภาษีอากรของแผ่นดิน”
ทั้งนี้เมื่อพิจารณาจากงบรายได้และค่าใช้จ่าย (หน้า 119) โดยดูในส่วนรายได้เงินได้บำรุงองค์การของปี 2558 อยู่ที่ 1,991,889,323.07 บาท ส่วนรายได้ของปี 2559 อยู่ที่ 1,987,561,920.52 บาท โดยในหมายเหตุประกอบงบการเงินข้อ 16 ระบุในหน้า 132 ว่า เงินบำรุงองค์การเป็นรายได้ที่ ส.ส.ท. รับรู้จากยอดภาษีหลังหักค่าใช้จ่ายในการจัดเก็บโดยกรมสรรพสามิตและกรมศุลกากรแล้ว ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังกำหนด แต่ไม่เกินร้อยละ 1.5 ของเงินบำรุงองค์การที่จัดเก็บได้ตามที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติองค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2551 มาตรา 13
ปีงบประมาณ พ.ศ. 2559 (1 ตุลาคม 2558-30 กันยายน 2559) ส.ส.ท.รับรู้รายได้เงินบำรุงองค์การไว้เต็มจำนวน 2,000 ล้านบาทแล้ว ส่วนปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 (1 ตุลาคม 2559-31 ธันวาคม 2559) ส.ส.ท.รับรู้รายได้เงินบำรุงองค์การไว้เป็นจำนวน 798,554,574.71 บาท
ตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการจัดเก็บ การนำส่งเงิน การงดเว้น การยกเว้น การลดหย่อนและการขอคืนเงินบำรุงองค์การขององค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย สำหรับสุรา ยาสูบ พ.ศ. 2557 ประกาศ ณ วันที่ 13 พฤศจิกายน 2557 ให้กรมบัญชีการนำส่งเงินบำรุงองค์การเพื่อเป็นรายได้องค์การ ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2558
สรุปความก็คือ ไทยพีบีเอสได้รับเงินสนับสนุนองค์การเกือบ 2 พันล้านบาทต่อปี
ครั้นเมื่อพิจารณาจากค่าใช้จ่ายบุคลากร ปี 2558 อยู่ที่ 589,806,355.33 บาท ของปี 2559 อยู่ที่ 660,798,513.43 บาท
ซึ่งพบว่างบในส่วนนี้ของปี 2559 เพิ่มขึ้นประมาณ 71 ล้านบาท เมื่อดูหมายเหตุประกอบในหน้า 133 พบว่า เงินเดือนและค่าตอบแทนบุคลากร ปี 2558 คิดเป็นเงิน 502,628,585.16 บาท ส่วนในปี 2559 ใช้เงินค่าตอบแทนเพิ่มขึ้นจากปี 2558 อีกประมาณ 65 ล้านบาท ค่าใช้จ่ายสวัสดิการตกปีละประมาณ 52 ล้านบาท และเงินผลประโยชน์พนักงานปีละเฉลี่ย 38 ล้านบาท
ส่วนค่าใช้จ่ายต้นทุนผลิตและจัดหารายการ ปี 2558 อยู่ที่ 576,456,698.00 บาท ของปี 2559 อยู่ที่ 704,771,468.42 บาท พบว่างบส่วนนี้ของปี 2559 เพิ่มขึ้นประมาณ 128 ล้านบาท เมื่อดูในหมายเหตุประกอบหน้า 134 พบว่ามีค่าใช้จ่ายที่น่าสนใจดังนี้ ค่าจ้างบุคคลภายนอกมีเม็ดเงินสูงอย่างผิดปกติคือจาก 68 ล้านบาท เพิ่มเป็นเกือบ 102 ล้านบาท ต้นทุนเกี่ยวกับข่าวและรายการ เพิ่มขึ้นอย่างผิดปกติ คือจาก 12.7 ล้านบาท เป็น 32 ล้านบาท ค่าประชาสัมพันธ์รายการจาก 8 ล้านบาท เป็น 13 ล้านบาท ค่าใช้จ่ายพิธีกรจาก 28 ล้านบาท เป็น 34 ล้านบาท ค่าผู้ประกาศปีละ 18 ล้านบาท ค่าใช้จ่ายแขกรับเชิญ จาก 21 ล้านบาท เป็น 24 ล้านบาท ค่าใช้จ่ายการเดินทางในประเทศ จาก 21.6 ล้านบาท เป็น 25.8 ล้านบาท ส่วนค่าใช้จ่ายที่ลดลงอย่างน่าชมเชยคือ การเดินทางไปต่างประเทศ ซึ่งที่ผ่านๆ มานั้นมีการใช้เงินส่วนนี้สูงมากจนผิดปกติ แต่ปีล่าสุดลดลงจาก 11.5 ล้านบาท เหลือ 7.7 ล้านบาท
ขออภัยที่ระบุตัวเลขมากมายจนอาจทำให้ผู้อ่านเวียนศีรษะ แต่ข้อย้ำว่าจำเป็นต้องระบุให้เห็นชัดๆ เพราะนี้คือสิ่งแสดงให้เห็นถึงการใช้เงินที่น่าตั้งข้อสังเกตของไทยพีบีเอส โดยเฉพาะค่าจ้างบุคคลภายนอก และค่าประชาสัมพันธ์รายการ รวมถึงค่าพิธีกร
ค่าใช้จ่ายเหล่านี้เป็นสิ่งที่ผู้บริหารไทยพีบีเอสจำเป็นต้องชี้แจงต่อสาธารณชนให้กระจ่าง เพราะเมื่อเปรียบเทียบกับสถานีโทรทัศน์ช่องอื่นๆ ที่ผลิตรายการได้ดีและมีผู้ติดตามชมมากมายกว่าไทยพีบีเอสหลายสิบเท่า จะพบว่าสถานีโทรทัศน์ช่องอื่นใช้รายจ่ายในส่วนนี้น้อยกว่าไทยพีบีเอส ยกเว้นผู้ประกาศข่าวและพิธีกรในสถานีโทรทัศน์ช่องยอดนิยมที่มีรายได้สูงมาก แต่ทว่าเขาก็สามารถสร้างได้ด้วยด้วยตัวของเขาเองโดยไม่จำเป็นต้องรับเงินจากภาษีบาป
ข้อน่าสังเกตอีกประการคือ งบกระแสเงินสด เงินสดสุทธิที่ได้มาจากกิจกรรมดำเนินงาน ปี 2559 ลดลงจากปี 2558 อย่างมาก คือจาก 1,264 ล้านบาท เหลือ 816 ล้านบาท ซึ่งหากจะพิจารณาในแง่ของการประสบความสำเร็จในการทำธุรกิจแล้ว ถือว่าไทยพีบีเอสมีปัญหาในงบก้อนนี้อย่างมาก และถ้าหากไทยพีบีเอสเป็นบริษัทเอกชนแล้ว รับรองว่าผู้ถือหุ้นจะต้องตั้งคำถามอย่างเอาเป็นเอาตายกับเรื่องนี้ แต่เนื่องจากมีข้ออ้างว่าไม่แสวงหากำไรจากกิจการจึงไม่ขอวิจารณ์งบก้อนนี้
ส่วนล่าสุด เมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 2560 คณะกรรมการนโยบายของไทยพีบีเอสออกคำแถลงกรณีการขายตราสารหนี้ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) (CPF) สรุปความได้ว่า ส.ส.ท. ได้ซื้อตราสารหนี้ของ CPF เมื่อ 20 มกราคม 2560 เป็นเงินประมาณ 194 ล้านบาท บัดนี้ ส.ส.ท. ได้ขายตราสารหนี้ดังกล่าวแล้ว เมื่อ 30 สิงหาคม 2560 โดยได้กำไรจากดอกเบี้ยประมาณ 5.3 ล้านบาท
สรุปคือผู้บริหารของไทยพีบีเอสต้องการบอกสังคมว่าการซื้อหุ้นกู้ CPF ในยุคที่กฤษดา เรืองอารีย์รัชต์ เป็นผอ.ไทยพีบีเอสทำให้ไทยพีบีเอสได้กำไร 5 ล้านกว่าบาท ใช่หรือไม่ ถ้าผู้บริหารของไทยพีบีเอสเห็นว่าเรื่องนี้ถูกต้องและเหมาะสม ก็สมควรจะคืนตำแหน่งผอ.ไทยพีบีเอสให้กับกฤษดาโดยทันที หรือกรรมการนโยบายของไทยพีบีเอสต้องการจะบอกสังคมว่าขายหุ้นกู้ตัวนี้แล้วได้กำไร ดังนั้นกฤษดาและผู้ร่วมลงนามในการซื้อหุ้นกู้ตัวนี้ไม่มีความผิด
อย่างไรก็ตาม สาธารณชนยังคงติดตามเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด และฝากถามพิศิษฐ์ ลีลาวชิโรภาส ผู้ว่าการสตง. ว่า ที่เคยให้ความเห็นว่าไทยพีบีเอสใช้เงินไม่ถูกต้องในการซื้อหุ้นกู้ตัวนี้ แล้วเมื่อเหตุการณ์ออกมาเป็นรูปแบบนี้ ผู้ว่าการสตง. จะตอบสังคมอย่างไร
เฉลิมชัย ยอดมาลัย
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี