31 ส.ค. 60 - นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำนปช. กล่าวถึงกรณีศาลฎีกาฯ ยกฟ้องคดีนายอภิสิทธิ์ นายสุเทพ เกี่ยวข้องกับการสลายการชุมนุมทางการเมืองเมื่อปี 2553 ว่า
(1) เคารพคำวินิจฉัยของศาล แต่จะทำหน้าที่ทวงถามความยุติธรรมให้ประชาชนมือเปล่าที่ถูกยิงด้วยอาวุธสงครามนอนตายกลางเมืองหลวงนับ 100 ศพต่อไปจนถึงที่สุด
(2) เมื่อศาลชี้ว่าคดีอยู่ในอำนาจของป.ป.ช.ก็ต้องถามว่า หลังจากมีมติอุทธรณ์จำเลยบางคนในคดีสลายการชุมนุมกลุ่มพันธมิตรฯ แล้ว กรณีแกนนำนปช.ร้องขอให้หยิบยกคดีสลายการชุมนุมเมื่อปี 2553 มาพิจารณาใหม่จะดำเนินการอย่างไร ตั้งแต่ครั้งแรกที่ป.ป.ช.ยกคำร้อง พวกตนก็ไม่ได้เห็นด้วย ยิ่งเปรียบเทียบมาตรฐานการปฏิบัติต่อกรณีกลุ่มพันธมิตรฯ ยิ่งไปกันใหญ่
(3) รัฐบาลนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกฯ ใช้แก๊สน้ำตา อัยการยืนยันไม่สั่งฟ้องป.ป.ช.จ้างทนายฟ้องเอง แต่รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ ใช้เอ็ม 16 ติดลำกล้อง ป.ป.ช.ไม่แม้กระทั่งส่งเรื่องไปถึงอัยการ เรื่องแบบนี้สังคมยอมรับว่าเป็นความยุติธรรมหรือไม่ อย่างไรก็ตาม คนตายพูดไม่ได้ คนเป็นจึงต้องพูดแทนคนตาย หมาแมวถูกฆ่ายังมีคนเรียกร้องความเป็นธรรมให้ แต่ชีวิตคนเป็นร้อย ต้องขอความเห็นใจและจะปล่อยให้เป็นวิญญาณคับแค้นตลอดไปไม่ได้ (ที่มา : ไทยโพสต์)
อ่านกันอย่างผิวเผิน อยู่กันแบบโง่ๆ ไม่ใช่สมอง ก็จะมองว่า หูย! นี่มันวีรบุรุษชัดๆ ช่างเป็น “แกนนำ” ที่แสนดี ไม่ปล่อยให้ ไคนเสื้อแดง” ตายฟรี จะเรียกร้องความยุติธรรมให้
มาดูความจริงกันดีกว่า ว่านี่คือ วีรบุรุษ หรือ “พ่อค้าความแค้น” ผู้ใช้ศพ “หากินทางการเมือง” ได้ทุกวาระ โดยปราศจาก “ความรู้อาย” กันแน่!!
1) เริ่มจากทำความเข้าใจคดีที่ศาล “ไม่รับฟ้อง” นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กับนายสุเทพ เทือกสุบรรณ กันเสียก่อน คดีดังกล่าวนี้ คือ คดีสลายการชุมนุมกลุ่ม นปช.เมื่อ ปี 2553 หมายเลขดำ อ.4552/56 ที่พนักงานอัยการคดีพิเศษ 1 เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกฯฝ่ายความมั่นคง และอดีตผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ผอ.ศอฉ.) เป็นจำเลย ในความผิด “ฐานร่วมกันก่อให้เกิดการฆ่าและพยายามฆ่าผู้อื่น” จากกรณีเมื่อระหว่างวันที่ 7 เม.ย.-19 พ.ค.53 จำเลยกับพวกร่วมกันมีคำสั่ง ศอฉ.ให้มีการสลายการชุมนุมกลุ่มแนวร่วม นปช.โดยใช้อาวุธปืน และเครื่องกระสุนจริงเพื่อขอคืนพื้นที่จากกลุ่มผู้ชุมนุม ทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตจำนวนมาก ทั้งที่ไม่ปรากฏว่า มีกลุ่มผู้ชุมนุมกระทำการใดๆ อันเป็นการก่อการร้ายหรือชุมนุมโดยใช้ความรุนแรงแต่อย่างใด คำสั่งของจำเลยกับพวก จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขอให้ศาลพิพากษาลงโทษจำเลยตามความผิดด้วย -นี่คือประเด็นที่ฟ้อง
ศาลชั้นต้นกับศาลอุทธรณ์ ตัดสินตรงกันว่า “ไม่รับสำนวนไว้พิจารณา” เพราะไม่อยู่ในอำนาจของศาลอาญา ศาลฎีกาก็เช่นเดียวกัน!!
ทำไมศาลจึงชี้ว่า เรื่องนี้ “ไม่อยู่ในอำนาจของศาลอาญาที่จะพิจารณา” ก็เพราะ คำสั่งให้สลายการชุมนุมครั้งนั้น เป็นคำสั่งของ ศอฉ. ซึ่งตั้งขึ้นโดยมีกฎหมายรองรับ “นายธาริต เพ็งดิษฐ์” ซึ่งเป็นตัวตั้งตัวตี ทำสำนวน ส่งให้อัยการ ยื่นฟ้องต่อศาลครั้งนี้ ก็อยู่ใน ศอฉ. ด้วย โดย ศอฉ. นั้น ทำงานในรูปกรรมการ ดำเนินการทุกอย่างด้วย “มติ”
นายอภิสิทธิ์ กับนายสุเทพ มิได้ “ออกคำสั่งในนามนายอภิสิทธิ์กับนายสุเทพ” คือ ในนามตัวบุคคล ออกไป ใครจะทำตามล่ะ แต่เขาออกคำสั่งด้วยอำนาจความเป็น “นายกรัฐมนตรีกับรองนายกฯ” ซึ่งรองนายกฯ คือ นายสุเทพ เป็น ผอ.ศอฉ. ด้วย
การไปฟ้องว่า 2 คนนี้ ออกคำสั่งให้สลายการชุมนุมเพื่อจะเอาผิดพวกเขานั้น กระบวนการที่ถูกต้องต้องทำดังนี้ คือ ไปร้องให้ ป.ป.ช. ตรวจสอบการใช้อำนาจของพวกเขา หาก ป.ป.ช. ไต่สวนแล้วพบว่ามีมูลความผิด ก็จะส่งเรื่องต่อไปยังอัยการให้พิจารณายื่นฟ้องต่อศาลต่อไป แต่ครั้งนี้ ดีเอสไอทำสำนวนเสียเอง แล้วส่งให้อัยการฟ้องต่อ “ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง”
ศาลจึงชี้ว่า ดีเอสไอ ไม่มีอำนาจไต่สวน อำนาจไต่สวนตามกฎหมายเป็นของ ป.ป.ช. และ “ศาลอาญา” ไม่มีอำนาจรับพิจารณาเรื่องนี้ พิพากษา ไม่รับสำนวนไว้พิจารณา จบ!
2) ก็เป็นเรื่องน่าคิดนะว่า นายธาริต เพ็งดิษฐ์ ก็เคยเป็นอัยการมาก่อน “ความรู้พื้นฐาน” แค่นี้ จะไม่รู้เลยเชียวหรือ ว่าฟ้องไม่ได้ แต่เขาจะทำด้วยความโง่ ผิดหลง หรือเป็นเกมการเมืองที่จะเอา “ตราบาป” ไปติดหน้าผากนายอภิสิทธิ์กับนายสุเทพไว้ เพื่อให้แกนนำ นปช. มวลชนคนเสื้อแดง และพลพรรคเพื่อไทย ใช้ “หาประโยชน์ทางการเมือง” ด้วยการตีตราสองคนนี้ว่า เป็น “ฆาตกรมือเปื้อนเลือด” และน่าคิดด้วยว่า ธาริตกับอัยการพึงจะ “มีความผิด” ด้วยหรือไม่ ฐาน จงใจใช้อำนาจหน้าที่ในทางมิชอบกลั่นแกล้งนายอภิสิทธิ์กับนายสุเทพ
3) แวะไปที่คำว่า “ฆาตกรมือเปื้อนเลือด สั่งฆ่าประชาชน” สักนิดก่อน นี่เป็นวาทกรรมของ “พ่อค้าความแค้น” ที่อาศัย “ความตาย” มาหาประโยชน์ สร้างความเกลียดชังให้ฝ่ายตรงข้าม ย้ำความโกรธแค้นลงในใจมวลชนเพื่อผลประโยชน์ทางการเมืองมาโดยตลอด ความฉ้อฉลหนึ่งในการ “หาประโยชน์จากศพ” ของคนพวกนี้คือ นับเหมารวมหมด ว่ามีคนตายกี่คน นับแม้กระทั่ง พล.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรม รวมอยู่ในจำนวนคนตายด้วย ทั้งๆ ที่เหตุการณ์เป็นที่ประจักษ์แก่คนทั้งโลกว่า พล.อ.ร่มเกล้า กับลูกน้อง ตกอยู่ในวงล้อมของ “ชายชุดดำติดอาวุธสงคราม” ที่รุมถล่มที่แยกคอกวัว ในวันที่ 10 เมษายน 2553 ไอ้พวกนี้ก็หน้าด้าน นับรวมเพื่อให้คนตาย “มีเยอะ” เข้าไว้ ไม่รวมแม่ค้าที่ถูกเอ็ม 79 ยิง ที่รถไฟฟ้าศาลาแดง (สีลม) อีก ซึ่งไม่ใช่ปฏิบัติการของเจ้าหน้าที่เลย แต่วิถีการยิงออกมาจากฝั่งผู้ชุมนุม นปช. ที่สวนลุมพินี
4) สองคนที่ “ติดคุก” แล้วในขณะนี้ จากวาทกรรม “ฆาตกร สั่งฆ่าประชาชนนี้” คือ นายอริสมันต์ พงษ์เรืองรอง กับนายจตุพร พรหมพันธุ์ จากคดีหมิ่นประมาทนายอภิสิทธิว่าเป็นฆาตกรสั่งฆ่าประชาชน แต่ก็ยังมีคนอย่างนายณัฐวุฒิ หยิบประเด็น “คนตายพูดไม่ได้ คนเป็นจึงต้องพูดแทนคนตาย” ซึ่งมันห่างจากคำว่า “หากินกับความตาย” อยู่เพียงนิดเดียวเท่านั้น
5) นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เป็น “นักสู้เพื่อคนตาย” จริงหรือ? อยากได้คำตอบเรื่องนี้ ให้ย้อนกลับไปดูเมื่อครั้งรัฐบาล นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ใช้อำนาจของเผด็จการรัฐสภา ที่มีเสียงส่วนใหญ่ล้นเหลือ กระทำการผลักดัน พรบ.นิรโทษกรรม สุดซอย จนสำเร็จความใคร่ทางการเมืองได้ ในเวลาค่อนรุ่ง (ตีสี่) โยระหว่างการทำพิธีผ่านกฎหมาย ได้ใช้เล่ห์กลมากมาย ปิดกั้นการอภิปราย คัดค้าน ท้วงติง ของฝ่ายค้านอย่างไรจริยธรรม เพียงเพื่อให้กฎหมายฉบับนี้ผ่าน
6) เนื้อหาสำคัญของกฎหมายฉบับนี้คืออะไร คือ ใครที่ตายไป ช่างหัวมัน!! จะไม่มีการไต่สวนหาความจริงว่าตายยังไง ใครฆ่า จะไม่เอาผิดกะบคนที่ฆ่า หากคดีใดศาลกำลังพิจารณา ก็ให้ล้มกระบวนการของศาลนั้นทิ้งได้เลย หยุดหาความจริงว่าตายอย่างไร จงตายๆ กันไปเสีย เลิกแล้วต่อกัน จบกัน ที่สำคัญ แฝงการนิรโทษกรรมคดีทุจริตซุกอยู่ในกฎหมายด้วย ในส่วนท้ายนี้ คนที่ได้รับประโยชน์เต็มๆ คือ นายทักษิณ ชินวัตร แปลว่าอะไร แปลว่าใช้ความตายของคนเสื้อแดงบังหน้า หาโอกาสนิรโทษกรรมให้ทักษิณก็แค่นั้นเอง ทักษิณได้กำไร โดยมีความตายของคนเสื้อแดงเป็น “อิฐรองตีน” ให้เดินมาถึงจุดนั้น!!
7) ณัฐวุฒิ ซึ่งบัดนี้พยายามเล่นบท คนเป็นต้องพูดแทนคนตาย และ “จะทำหน้าที่ทวงถามความยุติธรรมให้ประชาชนมือเปล่าที่ถูกยิงด้วยอาวุธสงครามนอนตายกลางเมืองหลวงนับ 100 ศพต่อไปจนถึงที่สุด” ในขณะพิจารณากฎหมายนิรโทษกรรม ที่ให้คนเสื้อแดงตายเปล่านั้น ลงมติอย่างไรจำกันได้ไหมครับ เขา, นายหวง โตจิราการ และนางสาวขัตติยา สวัสดิผล ผู้ซึ่งพ่อของเธอก็ถูกยิงตายข้างถนนหน้าสวนลุมพินี ล้วนโหวตด้วยการ “งดออกเสียง” !!
8) “งดออกเสียง” แปลว่าอะไร แปลว่า กูไม่มีตัวตนอยู่ตรงนี้นะ พวกมึงจะโหวตกันอย่างไรก็เอาที่สบายใจเลยนะ กูจะนั่งเงียบๆ อยู่ในสภานี้ นี่หรือคนดีที่จะสู้เพื่อคนที่ตายไป!!
9) หากครั้งนั้น นายอภิสิทธิ์ไม่นำทัพฝ่ายค้าน คัดค้านกฎหมายฉบับนี้ ทั้งๆ ที่เขาได้ประโยชน์เต็มๆ คือ หลุดพ้นจากคดีวุ่นวาย ข้อกล่าวหามากมาย แต่เขากลับเลือกที่จะรักษา “ความตายของคนเสื้อแดง” ให้มีโอกาสได้รับความเป็นธรรม ได้ค้นหาความจริง โดยที่ไม่ว่าจะมีข้อกล่าวหาใด เขาประกาศชัดเจนว่า ยินดีจะให้กระบวนการยุติธรรมพิสูจน์ความถูกผิด เช่นเดียวกับนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ที่ยอมลาออก มานำทัพ กปปส. คัดค้านกฎหมายนิรโทษกรรมอย่างสุดตัว! หากไม่มีวันนั้น ป่านนี้ทุกๆ ความตายจากการชุมนุม นปช. ปี53 จบสิ้นไปหมดแล้ว ด้วยน้ำมือของ “คนกันเอง” คือ พรรคเพื่อไทย และแกนนำ นปช. บางคน ที่ตนเองหรือเมียได้เสวยสุขเป็น สส. อยู่ในสภา โดยเฉพาะณัฐวุฒินั้น มีบุญวาสนาเป็นถึง “รัฐมนตรีช่วย” เลยเชียวล่ะ
10) แวะดูบัญชีทรัพย์สินของณัฐวุฒิกันหน่อยไหม พี่น้องคนเสื้อแดง ในการแจ้งบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินครั้งล่าสุด กรณีพ้นจากตำแหน่ง ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2556 และยื่นต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) วันที่ 15 มกราคม 2557 (ป.ป.ช. เปิดเผยวันที่ 4 ก.พ.2557) นายณัฐวุฒิแจ้งว่ามีทรัพย์สิน 17,496,006.76 บาท ประกอบด้วย เงินฝาก 1,377,016.11 บาท ที่ดิน 6 แปลง มูลค่า 8,526,800 บาท โรงเรือนและสิ่งปลูกสร้าง (บ้านเลขที่ 337/72 หมู่บ้านเศรษฐสิริ ถนนนนทบุรี แขวงท่าทราย อ.เมือง จ.นนทบุรี) 1,500,000 บาท รถยนต์ 5,992,990.65 บาท ทรัพย์สินอื่น 100,000 บาท หนี้สิน 5,800,999.76 บาท
นางสิริสกุล ใสยเกื้อ ภรรยา มีทรัพย์สิน 16,045,188.31 บาท ประกอบด้วย เงินฝาก 760,098.31 บาท เงินลงทุน 173,100 บาท ที่ดิน 3 แปลง มูลค่า 14,174,000 บาท รถยนต์ 938,000 บาท หนี้สิน 8,626,731.77 บาท บุตรไม่บรรลุนิติภาวะ มีทรัพย์สิน (เงินฝาก) 128,143.25 บาท รวมทรัพย์สินทั้งสิ้น 33,669,339.32 บาท หนี้สิน 14,427,721.53 บาท มีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน 19,241,616.79 บาท
11) ส่วนประเด็นการร้องต่อ ปปช. แล้ว ป.ป.ช. ยกคำร้องนั้น ต้องอ่านรายละเอียดให้ครบถ้วน จะได้เข้าใจ ไม่ตกเป็นเหยื่อการหาประโยชน์ ไม่พลีความตายของพวกพ้องให้เป็น “ศพเอื้ออาทร” แก่นายณัฐวุฒิ หรือคนอื่นๆ อีกต่อไป มาทำความเข้าใจด้วยกันครับ
“...เมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2558 มีการเปิดเผยมติที่ประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช. กรณีคำร้องขอให้ถอดถอนและคำกล่าวหา นายอภิสิทธิ์ นายสุเทพ พล.อ. อนุพงษ์ เผ่าจินดา เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบก ว่าปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ สั่งใช้กำลังทหาร ตำรวจ และข้าราชการพลเรือนเข้าสลายการชุมนุมของกลุ่ม นปช. ในวันที่ 10 เมษายน 2553 ถึงวันที่ 19 พฤษภาคม 2553 จนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บจำนวนมาก
จากการไต่สวนปรากฏข้อเท็จจริงว่า ขณะเกิดเหตุที่มีการสั่งใช้กำลังทหารพร้อมอาวุธปืนติดตัว เข้าขอคืนพื้นที่จากกลุ่มผู้ชุมนุม นปช. ในระหว่างวันที่ 10 เมษายน 2553 ถึงวันที่ 19 พฤษภาคม 2553 จนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บนั้น อยู่ในช่วงการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรง ซึ่งปรากฏข้อเท็จจริงตามคำพิพากษาของศาลว่าการชุมนุมของกลุ่ม นปช. มิใช่การชุมนุมโดยสงบตามรัฐธรรมนูญ และมีบุคคลที่มีอาวุธปืนปะปนอยู่ในกลุ่มผู้ชุมนุม นปช. จึงมีเหตุจำเป็นที่ ศอฉ. ต้องใช้มาตรการขอพื้นที่คืน เพื่อให้เกิดความสงบสุขในบ้านเมือง โดยมีคำสั่งให้พนักงานเจ้าหน้าที่นำอาวุธติดตัว หากมีความจำเป็นสามารถนำมาใช้เพื่อระงับยับยั้งได้ไปตามสถานการณ์ หรือเหตุการณ์เฉพาะหน้า หรือป้องกันตนเองได้ อันเป็นไปตามหลักสากล ตามนัยคำพิพากษาศาลแพ่ง ในคดีหมายเลขดำที่ 1433/2553
อย่างไรก็ตาม แม้คำสั่งที่ให้พนักงานเจ้าหน้าที่นำอาวุธติดตัวเพื่อป้องกันตนเองได้จะเป็นไปตามหลักสากลก็ตาม แต่ก็เป็นความรับผิดชอบของเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติที่ต้องใช้ความระมัดระวังอย่างยิ่งในการใช้อาวุธปืนตามแนวทางดังกล่าวข้างต้นตามความจำเป็น และพอสมควรแก่เหตุ อันเป็นภาระที่หนักและยากอย่างยิ่งในการปฏิบัติ แต่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติไม่อาจหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบดังกล่าวได้ หากภายหลังสามารถพิสูจน์ได้ว่ามีการใช้อาวุธปืนโดยไม่สุจริต เลือกปฏิบัติ และเกินสมควรแก่เหตุหรือเกินกว่ากรณีจำเป็น จนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บ อันเป็น “ความรับผิดเฉพาะตัว” เช่นเดียวกับนายทหารระดับผู้บังคับบัญชาในพื้นที่จะต้องรับผิดในกรณีที่สามารถพิสูจน์ได้ว่า รู้ว่าเจ้าหน้าที่ที่อยู่ภายใต้บังคับบัญชาของตนได้ใช้หรืออยู่ระหว่างใช้กำลังบังคับและอาวุธปืนโดยไม่ถูกต้องตามกฎหมายแล้วไม่ดำเนินการยับยั้ง ป้องกัน และรายงานเหตุดังกล่าว ซึ่งคดีการเสียชีวิตและบาดเจ็บของประชาชนในเหตุการณ์สลายการชุมนุมของกลุ่ม นปช. เมื่อปี 2553 ในเหตุการณ์เดียวกันนี้ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ได้รับดำเนินการเป็นคดีพิเศษด้วย จึงมีมติให้ส่งเรื่องการดำเนินการกับเจ้าหน้าที่ทหารที่เป็นผู้กระทำให้เกิดการเสียชีวิตและบาดเจ็บดังกล่าว รวมถึงนายทหารระดับผู้บังคับบัญชาในพื้นที่ ซึ่งมิใช่บุคคลตามมาตรา 66 ให้ DSI ดำเนินการต่อไป ตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 89/2
สำหรับประเด็นการกล่าวหานายอภิสิทธิ์, นายสุเทพ และ พล.อ. อนุพงษ์ กับพวก กรณีละเว้นไม่สั่งระงับยับยั้ง ทบทวนวิธีการ หรือปรับเปลี่ยนรูปแบบการใช้กำลังทหารนั้น จากการไต่สวนปรากฏข้อเท็จจริงว่า ภายหลังจากเกิดเหตุการณ์การขอคืนพื้นที่ชุมนุมเมื่อวันที่ 10 เมษายน 2553 จนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บแล้ว ศอฉ.ได้ทบทวนปรับเปลี่ยนรูปแบบวิธีการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ โดยไม่ใช้กำลังเจ้าหน้าที่เข้าผลักดันผู้ชุมนุมอีกต่อไป แต่ใช้มาตรการตั้งด่านตรวจ หรือจุดสกัดปิดล้อมวงนอกไว้โดยรอบ เพื่อให้ ผู้ชุมนุมยุติการชุมนุมไปเอง โดยการปฏิบัติในวันที่ 14 พฤษภาคม 2553 เป็นการตั้งด่านอยู่กับที่ทุกแห่ง แต่ในวันที่ 19 พฤษภาคม 2553 เจ้าหน้าที่ได้เคลื่อนกำลังเข้าไปควบคุมพื้นที่บริเวณสวนลุมพินี โดยไม่ได้มีการผลักดันต่อผู้ชุมนุมที่แยกราชประสงค์โดยตรง แต่เป็นการกดดันต่อกองกำลังติดอาวุธที่ยึดสวนลุมพินีอยู่ ซึ่งการปฏิบัติในการกระชับพื้นที่สวนลุมพินี ในวันที่ 19 พฤษภาคม 2553 เจ้าหน้าที่ได้ดำเนินการตามขั้นตอน โดยประกาศให้ผู้ชุมนุมออกไปจากพื้นที่ก่อน หลังจากประกาศแล้ว เจ้าหน้าที่จึงเข้าไป
“ดังนั้น ข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานที่ได้จากการไต่สวน ยังรับฟังไม่ได้ว่าผู้ถูกกล่าวหาทั้งสาม กับพวก ได้ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบในการดำเนินการ ในเรื่องดังกล่าว โดยมีเจตนาเพื่อให้เกิดความเสียหายกับประชาชนผู้บริสุทธิ์ หรือเป็นผู้ก่อหรือใช้ให้มีการฆ่าผู้อื่น โดยเจตนาเล็งเห็นผลแต่อย่างใด คณะกรรมการ ป.ป.ช. จึงมีมติให้ข้อกล่าวหาตกไปเช่นกัน...”
ประเด็นจึงไม่ได้อยู่ที่วาทกรรม “สมชายใช้แก๊สน้ำตา อภิสิทธิใช้เอ็ม16” อย่างที่ณัฐวุฒิจงใจใช้ ตามนิสัย “นักโต้วาที” ผู้เก่งกาจในการประดิษฐ์วาทกรรม ต้องดูรูปการณ์ของการชุมนุมประกอบด้วย
บัดนี้ นปช. ยื่นให้ ป.ป.ช.ตรวจสอบอีกครั้ง ซึ่งเป็นสิทธิที่จะทำได้ และ ป.ป.ช.รับไว้พิจารณาแล้ว อยู่ระหว่างตรวจสอบว่าเป็นการ “ยื่นซ้ำ” หรือไม่ ถ้าซ้ำก็ตกไป แล้วใครจะเป็นฮีโร่ตบตาคน รวบรวมรายชื่อถอดถอน ป.ป.ช. ก็แสดงกันต่อไป เพียงแต่ นปช. และคนไทยต้องเข้าใจและเท่ากันเกม “ศพเอื้ออาทร” ของ “พ่อค้า” บางคนเท่านั้นเอง!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี