นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รักษาการรองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ออกมาระบุว่า ครบเงื่อนไขในการยกเลิกหนังสือเดินทางของน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ถ้าหากกระทรวงการต่างประเทศไม่ชี้แจง จะตกเป็นจำเลยสังคม ว่า ความจริงเรื่องการยกเลิกหนังสือเดินทางเป็นอำนาจหน้าที่ของกระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งมีระเบียบปฏิบัติเป็นแนวทางในการดำเนินการอยู่แล้ว เป็นเรื่องที่เจ้าหน้าที่ต้องดำเนินการตามกฎหมาย
การที่ฝ่ายการเมืองมาแสดงความเห็นในลักษณะนี้ ควรใช้ความระมัดระวัง เพราะอาจถูกตั้งคำถามได้ว่า ไปเกี่ยวข้องอะไร หรืออาจถูกมองว่า ไปกดดันการทำหน้าที่ของเจ้าหน้าที่หรือไม่ นายอภิสิทธิ์ เคยเป็นนายกรัฐมนตรี น่าจะทราบว่า การดำเนินการใดๆ ต้องยึดหลักความถูกต้องตามกฎหมาย
ส่วนประเด็นที่ว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์จะขอลี้ภัยการเมืองนั้น ขนาดตนเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทย ยังไม่ทราบเลยว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ อยู่ที่ไหน และยังไม่รู้เลยว่า จะขอลี้ภัยทางการเมืองหรือไม่ พรรคเพื่อไทย ได้ออกแถลงการณ์ไปแล้วว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ น่าจะออกมาชี้แจงในช่วงเวลาที่เหมาะสม ดังนั้น ไม่มีประโยชน์ที่จะไปคาดการณ์ไปในทางหนึ่งทางใด จะสร้างความสับสนและสังคมไม่ได้ประโยชน์ นายอภิสิทธิ์ ควรเลิกยุ่งเรื่องคนอื่น เอาเวลาไปคิดนโยบายและพัฒนาพรรค เผื่อจะชนะการเลือกตั้งจะดีกว่าหรือไม่ (ที่มา : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์)
นี่ไม่ใช่ครั้งแรก ในการแสดงความ “ตื้นเขินทางปัญญา” และ “แร้นแค้นความสำนึก” ของ นายอนุสรณ์ ผู้เคยออดอ้อนมวลชนคนเสื้อแดงบนเวทีการชุมนุม นปช. จนมาได้ดิบได้ดีเป็นรองโฆษกพรรค
ผมค่อนข้างแปลกใจ ที่พรรคนี้ ทำไมไม่หาคนฉลาดๆ รอบรู้ มีเหตุมีผล และคิดอะไรอย่างมีสามัญสำนึกมาทำหน้าที่โฆษกให้มากขึ้น ชอบเอาคนตะแบงเก่ง และไร้ตรรกะมาทำหน้าที่ ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อภาพลักษณ์ขององค์กรเลย
เช่น กรณีนี้ของนายอนุสรณ์
(1) เกิดจากการฟังไม่จบ ดูไม่ครบ ตามมาตรฐานอ่านหนังสือไม่เกินปีละ 8 บรรทัด ละกระมัง จึงทำให้นายอนุสรณ์คลาดเคลื่อนในข้อเท็จจริง นี่มองในทางดีนะครับ ในทางชั่ว นี่คือนิสัย “บิดเบือน” เพราะในความเป็นจริง นายอภิสิทธิ์ตั้งข้อสังเกตว่า กรณีนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร หลบหนีการฟังคำพิพากษาศาล (เหมือนพี่ชายของเธอ นายทักษิณ ชินวัตร หนีการฟังคำพิพากษาศาล ในคดีที่ดินรัชดา) แล้วศาลออกหมายจับ ประกอบกับข่าวการหลบหนีออกนอกประเทศไปแล้วนั้น มันเข้าเงื่อนไขตามระเบียบการยกเลิกหนังสือเดินทางได้ ที่เหลือเป็นเรื่องดุลพินิจของเจ้าหน้าที่ ว่าจะยกเลิกหรือไม่ยกเลิก เพราะ 1.ยิ่งลักษณ์เป็นบุคคลที่ถูกออกหมายจับ 2.ยิ่งลักษณ์มีคำสั่งระหว่างการขอประกันตัวจากศาลว่า ห้ามเดินทางออกนอกประเทศ บัดนี้ 2 องค์ประกอบนั้นครบ ระเบียบกำหนดว่าเข้าข่ายเพิกถอนหนังสือเดินทางได้ เพียงแต่ว่า เจ้าหน้าที่จะใช้ดุลพินิจอย่างไรเท่านั้นเอง ซึ่งนายอภิสิทธิ์ก็มิได้ก้าวก่าย แต่แสดงความกังวลว่า มีบางบุคคลในรัฐบาลปัจจุบัน ไม่อธิบายข้อบัญญัติในระเบียบให้ชัดว่า มีอยู่ และเข้าองค์ประกอบแล้ว ซึ่งทำให้ประชาชนเข้าใจคลาดเคลื่อนไปจากความเป็นจริง ซึ่งนายอภิสิทธิ์เสนอว่า ควรอธิบายเสียให้ชัดว่า ระเบียบมีอย่างนี้ แต่ด้วยดุลพินิจ จึงยังไม่ออกเพิกถอนหนังสือเดินทาง คนก็จะได้แยกออกว่า การจะเพิกถอนหรือไม่เพิกถอน มี 2 ขั้นตอน คือเป็นไปตามระเบียบหรือไม่ และใช้ดุลพินิจกันอย่างไร ก็เท่านั้นเอง
(2) หากจะเข้าข่าย “กดดัน” ตามที่นายอนุสรณ์พยายามจะทำให้เป็น ก็ถือเป็นการ “กดดันให้ทำหน้าที่” ไม่เหมือนกรณีนายวัฒนา เมืองสุข” ของพรรคเพื่อไทย ที่ออกมาพูดในทำนองว่า ผู้พิพากษาคดีจำนำข้าวไม่ได้มีแค่ 9 คน แต่ยังมีประชาชนอีกหลายสิบล้านคน กรณีนั้น ทำไมอนุสรณ์ไม่ออกมาตำหนิบ้างล่ะ ว่าอย่า “ข่มขู่” ศาล
(3) ส่วนเรื่องการ “ตกเป็นจำเลย” นั้น หาใช่เรื่องการไม่เพิกถอนหนังสือเดินทางไม่ แต่เป็นการแสดงความกังวลว่า หากนางสาวยิ่งลักษณ์เดินทางหลบหนีไปต่างประเทศ และดำเนินการขอลี้ภัยในเวลาต่อมา ถ้าฝ่ายรัฐบาลไม่เตรียมการหรือเตรียมคำอธิบาย ว่าคดีนี้เป็นคดีอะไร เป็นคดีการเมืองหรือไม่ ขั้นตอนการดำเนินการเป็นมาอย่างไร ก็อาจตกเป็นจำเลยเสียเอง ในสายตาของนานาประเทศ
โดยการอธิบายนั้น ให้อธิบายตามความเป็นจริงว่า คดีนี้ เริ่มต้นขึ้นตามกลไกของระบอบประชาธิปไตย คือ พรรคฝ่ายค้านยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจในสภา และยื่นเรื่องให้ ป.ป.ช. ตรวจสอบการทุจริต ซึ่งเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย และเป็นกฎหมายที่มีมาก่อนหน้านั้นแล้ว เมื่อ ป.ป.ช. ตรวจสอบ พบว่ามีมูลการทุจริต ทั้งเรื่องจีทูจีและการปล่อยปละละเลยไม่ระงับยับยั้งโครงการ ทั้งที่มีการแจ้งเตือนแล้วจากหลายหน่วยงาน ป.ป.ช. จึงส่งสำนวนให้อัยการพิจารณา อัยการเห็นควรส่งฟ้องศาล ศาลรับคดีไว้ มีการไต่สวน นำสืบในศาล ครบถ้วนทุกขั้นตอน นางสาวยิ่งลักษณ์ก็ไปศาลทุกนัดไม่เคยขาด ดังนั้น เรื่องนี้จึงไม่ใช่เรื่องการคุกคามหรือกลั่นแกล้งทางการเมือง เป็นการตรวจสอบเอาผิดตามขั้นตอนปกติของกฎหมายปกติ ไม่เกี่ยวข้องกับการรัฐประหาร ซึ่งมักจะถูกใช้เป็นข้ออ้างในการลี้ภัย ก็เท่านั้นเอง
(4) เชื่อว่า นายอนุสรณ์น่าจะ “มีการศึกษา” พอที่จะ “ฟังรู้-ดูเป็น-อ่านออก-เขียนได้” แต่การเอาข้อมูลมั่วๆ มาใช้งาน มันสะท้อนความมักง่าย ไม่มีการตรวจสอบหรือไต่สวนทวนความให้ชัดเจน ไม่ใส่ใจเหตุผลใดๆ นอกจาก “กูจะโต้วาที” เป็นที่ตั้ง ผลกับตัวนายอนุสรณ์เอง คือ คนจะมองว่าเป็นโฆษกโง่ๆ มักง่าย แต่ผลกระทบทางสังคมสำคัญกว่า คือ นายอนุสรณ์ได้ผลิตความเท็จ การบิดเบือน สู่การรับรู้ของผู้คน หากไปหลงเชื่อคำบิดเบือนชุดนี้ ก็จะเกิดอคติ ความเข้าใจผิด ซึ่งอาจเป็นไปตามความต้องการของนายอนุสรณ์ก็เป็นได้ จึงอยากฝากไปยังผู้หลักผู้ใหญ่ของพรรคเพื่อไทยว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องที่อย่าละเลย อย่าให้คนทั้งหลายมองภาพของพรรคว่า นาย 2 คน เจอคดีแล้วหนีไป ไม่เคารพกฎหมาย ไม่มีความรับผิดชอบต่อบ้านเมือง เอาเปรียบ ปลุกปั่น ทรยศหักหลังคนเสื้อแดงด้วยการออก พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ให้ นปช. ตายฟรี ตายแทน ยังไม่พอ ยังสะสมโฆษก ที่มีพฤติกรรมเช่นนี้ไว้อีก แล้วมาตรฐานของพรรคจะเป็นอย่างไร ในความรู้สึกของคนทั่วไป ในพรรค ไม่มีใครพอจะพูดความจริง พูดให้ตรงกับข้อเท็จจริง ดูดี มีสมอง ได้มากกว่านี้ อ่านหนังสือได้จบได้ครบกว่าคนนี้ แล้วโต้แย้งแบบ “ปัญญาชน” กว่าคนคนนี้แล้วกระนั้นหรือ?
(5) ส่วนเรื่องที่นายอนุสรณ์บอกว่า ยิ่งลักษณ์อยู่ที่ไหนตนยังไม่ทราบเลยนั้น ก็ไม่นับว่าเป็นเรื่องแปลก เพราะธรรมเนียมปกติ แต่ไหนแต่ไรมา ไม่ว่าในสังคมไทยหรือสังคมไหนๆ คนระดับ “นาย” เขาก็มิได้แพร่งพรายทุกเรื่องสู่ระดับ “ขี้ข้า” อยู่แล้ว ถูกไหมครับ ข้อนี้ก็ต้องลองพิจารณาดูฐานะของอนุสรณ์กับยิ่งลักษณ์ซิว่า เข้าข่ายหรือไม่ ยิ่งเรื่องการ “หนีศาล-หนีคดี” แบบ “ผู้ร้ายกลัวคำพิพากษาศาล” เช่นนี้ ใครเขาจะบอก หรือต่อให้นายอนุสรณ์และพรรคเพื่อไทยรู้ นายอนุสรณ์จะบอกไหมว่ารู้?!?
(6) ส่วนประเด็นพรรคเพื่อไทยออกแถลงการณ์ว่า ยิ่งลักษณ์ น่าจะออกมาชี้แจงในช่วงเวลาที่เหมาะสมนั้น ก็ต้องถามว่า “รู้ได้อย่างไร?” บางเรื่องที่ควรรู้ กลับทำเป็นไม่รู้ บางเรื่องที่ไม่ควรรู้ กลับทำเป็นสู่รู้ ร้อนตัว ออกมาแถลงแทนยิ่งลักษณ์เสียอย่างนั้น ในความถูกต้องแล้ว พรรคเพื่อไทยควรแถลงประณามการไม่เคารพกฎหมาย จากเหตุไม่มาฟังคำพิพากษาของศาลมากกว่า ควรตำหนิว่า การหลบหนีไม่ใช่พฤติกรรมของสุจริตชน และพรรคเพื่อไทยขอประกาศว่า มิได้รู้เห็น เกี่ยวข้อง หรือสนับสนุนการหลบหนีดังกล่าวมากกว่า จริงไหม?
(7) ส่วนประเด็นที่ว่า “นายอภิสิทธิ์ ควรเลิกยุ่งเรื่องคนอื่น เอาเวลาไปคิดนโยบายและพัฒนาพรรค เผื่อจะชนะการเลือกตั้งจะดีกว่าหรือไม่” นั่น เป็นวิธีคิดของ “นักธุรกิจการเมือง” เพราะหาก
เป็นวิธีคิดของ “คนปกติ” การพูดของนายอภิสิทธิ์คือการรักษาหลักการ ความถูกต้อง อันเป็นหน้าที่พลเมือง นายอภิสิทธิ์คงไม่ได้สนใจว่า “ยิ่งลักษณ์” เป็น “คนอื่น” หรือเป็น “พวกกู” แต่ยิ่งลักษณ์เป็นอดีตนายกรัฐมนตรี เป็นบุคคลสาธารณะ เป็นจำเลยในคดี ที่สร้างความเสียหายให้แก่วินัยการเงินการคลังของประเทศ ใช้นโยบายเอาคนจนบังหน้า แล้วเปิดทางให้คนชั่วเข้ามาหาประโยชน์จากเงินงบประมาณ ที่บอกว่าจะเอาไปช่วยชาวนา ซึ่งบัดนี้มาหลบหนีการอ่านคำพิพากษาของศาล มีหมายจับ และอาจหลบหนีออกนอกราชอาณาจักร ซึ่งแปลว่า เข้าข่ายที่จะเพิกถอนหนังสือเดินทางได้ เจ้าหน้าที่ควรอธิบายต่อสังคมว่า ทำไมจึงยังไม่เพิกถอนหนังสือเดินทางอย่างตรงไปตรงมาก็เท่านั้นเอง
(8) มาตรฐานของการเป็นนักการเมืองและพรรคการเมืองที่ดีนั้น ไม่ใช่มุ่งแต่การ “ชนะการเลือกตั้ง” แต่ต้องมุ่งรักษาความถูกต้อง ความรู้ ของประชาชนและประเทศชาติ ไม่อย่างนั้น แพ้การเลือกตั้งก็ไม่ทำอะไรกันเลยสิครับ การชนะการเลือกตั้งจึงไม่ควรเป็น “สำนึกเดียว” ของนักการเมืองและพรรคการเมือง แต่คนจะเป็นนักการเมืองนั้น สำนึกที่สำคัญที่สุด คือ การปกป้องความถูกต้องและรักษาผลประโยชน์ของส่วนรวมเป็นใหญ่ พรรคประชาธิปัตย์เมื่อเป็นฝ่ายค้าน จึงได้ทำหน้าที่ “ตรวจสอบ” ด้วยการเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ นำมาสู่การยื่นข้อมูลการทุจริตในโครงการจีทูจีสู่ ป.ป.ช. เมื่อตรวจสอบแล้ว ป.ป.ช.ยังพบว่า ผู้มีหน้าที่กำกับนโยบายให้สุจริตและเกิดประโยชน์สูงสุดต่อชาวนา ได้ปล่อยปละละเลย เพิกเฉย ไม่กำกับ จนเกิดการทำ “จีทูจีปลอม” ขึ้นมา คนไทยหลอกรัฐไทย ซื้อข้าวถูกๆ จากรัฐบาล มาขายแพงกว่าในตลาดไทย ซ้ำเติมตลาด เอาเปรียบคนอื่น และเผลอๆ วนข้าว
เข้าไปในโครงการรับจำนำ ได้กำไรเหนาะๆ ทันที นี่ไงครับ สำนึกของนักการเมืองที่ดี ที่ไม่ต้องรอแค่ “ชนะการเลือกตั้ง”
(9) และหากดู “มาตรฐานความเป็นพรรคการเมือง” ประกอบเข้าไปด้วยนั้น จะพบว่า พรรคประชาธิปัตย์ตั้งมานานกว่า 60 ปี ไม่เคยถูกยุบพรรคเลย แต่พรรคเพื่อไทย ถูกยุบพรรคไป 2 ครั้ง เมื่อครั้งเป็นพรรคไทยรักไทย และพรรคพลังประชาชน เพราะคนระดับรองหัวหน้าพรรคและกรรมการบริหารพรรค กระทำการผิดกฎหมาย เพียงเพื่อให้พรรค “ชนะการเลือกตั้ง” โดยไม่สนใจว่า วิธีที่จะชนะนั้น สุจริตหรือไม่ การมุ่งจะชนะการเลือกตั้งจึงไม่ใช่หลักการที่ถูกต้องของนักการเมืองและพรรคการเมืองเลย ยิ่งพรรคที่เคยพยายามโกงโดย “รองหัวหน้าพรรค” ยิ่งย่อมไม่ใช่พรรคที่ควรเผยอหน้าชูคอมาสอนสั่งใคร อย่างไม่รู้อับอายในประวัติและที่มาของพรรคตัวเอง เช่นที่นายอนุสรณ์ทำ
ผมถึงบอกไงครับ ว่าพรรคเพื่อไทย ควรพิจารณาหาใครที่ “สมองสมบูรณ์” กว่าเขา มาทำหน้าที่โฆษกพรรค ไม่ใช่ไปช้อนเอา “นักร้องบนเวทีชุมนุม” อย่างนี้ มาเป็นโฆษก ให้สังคมตีความว่าเป็นการ “ตบรางวัล” กัน จนหามาตรฐานของความเป็นโฆษกที่ฉลาดแทบไม่ได้!!
พรรค-มีหัวหน้าพรรคอย่างนายทักษิณ ที่ถูกตรวจสอบเอาผิด จนต้องหนีไปอยู่ต่างประเทศคนหนึ่งไม่พอ มามียิ่งลักษณ์ หนีศาลอีกคน แล้วมีโฆษกแบบนี้ คือมาตรฐานของพรรคการเมืองที่ดี ที่ควรไปสอนหัวหน้าพรรคการเมืองพรรคอื่นเขาได้แล้วหรือครับ ตักน้ำใส่กะโหลก ชะโงกดูเงา แล้วส่งอนุสรณ์ไปตอบ “คนเสื้อแดง” ให้ได้ ว่าทำไมออก พ.ร.บ.นิรโทษกรรมให้คนเสื้อแดงตายแทน ตายเปล่า โดยไม่เอาความยุติธรรมมาให้พวกเขา ในเวลาที่เขาหนุนคุณจนมีอำนาจ “ชนะการเลือกตั้ง” ได้แล้ว-จะดีกว่า!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี