ตลอด 50 ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยยังถูกจัดเป็นประเทศกำลังพัฒนา ถึงแม้ไทยเราจะเพียรพยายามใช้พละกำลังของเราเอง เพื่อพัฒนาตนเองทั้งด้านองค์ความรู้เทคโนโลยี ขีดความสามารถของแรงงาน ขีดความสามารถในการบริหารจัดการ และด้านเงินทุนควบคู่ไปกับการพึ่งพาต่างประเทศ
ฉะนั้น ไทยเราต้องเชื้อเชิญต่างประเทศ ให้เขานำเงินทุน องค์ความรู้และเทคโนโลยี เพื่อจะได้สร้างงานสร้างรายได้ รวมทั้งเสริมสร้างองค์ความรู้และทักษะต่างๆ ซึ่งไทยได้สร้างความน่าพิสมัยให้ตนเอง ด้วยการให้แรงจูงใจต่างๆ โดยเฉพาะสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากร ภาษีรายได้และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ทั้งด้านการขนส่งและสาธารณูปโภค พร้อมกับการยืนอยู่บนพื้นฐานค่าจ้างแรงงานที่ต่ำ นอกจากนั้น ไทยยังมีการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษ หรือเขตนิคมอุตสาหกรรม รวมถึงการอนุญาตให้บุคลากรวิชาชีพต่างชาติเข้ามาทำงานทำการ
วิธีการชักชวนและดึงดูดการลงทุนต่างชาติวิธีหนึ่งคือ ออกกฎหมายส่งเสริมและคุ้มครองการลงทุนและจัดตั้งสำนักงานส่งเสริมการลงทุนเพื่อรองรับภารกิจ โดยเฉพาะในแขนงสาขาที่ไทยต้องการ เพราะขาดหรือด้อยอยู่ เพื่อเอื้ออำนวยให้ไทยมีขีดความสามารถการแข่งขันระดับโลกให้ดียิ่งขึ้น
วิธีการอื่นๆ ที่จะเสริมสร้างความน่าเชื่อถือ ความมั่นอกมั่นใจให้กับนักลงทุนและนักธุรกิจต่างชาติ ก็คือการจัดทำข้อตกลงทั้งแบบทวิภาคี(หนึ่งต่อหนึ่ง) และแบบพหุภาคี(ไทยร่วมกับประเทศสมาชิกอาเซียนอีก 9 ประเทศเป็นฝ่ายหนึ่ง กับประเทศหนึ่งใดหรือกับกลุ่มประเทศ) ซึ่งเป็นการเปิดประเทศ เปิดพรมแดนเพื่ออำนวยความสะดวกในการเพิ่มพูนการค้าการลงทุนและความเจริญก้าวหน้าร่วมกัน
ข้อตกลงหลักก็คือ ข้อตกลงว่าด้วยการเปิดเสรีทางการค้า (Free Trade Agreement – FTA) ซึ่งมิได้ระบุแค่การลดภาษี หรือลดอุปสรรคทางด้านการค้าขายสินค้าผลิตภัณฑ์ และสินค้าบริการเท่านั้น แต่มักจะมีเรื่องการส่งเสริมและคุ้มครองการลงทุนผนวกไว้ด้วย ในลักษณะต่างตอบแทน ต่างปฏิบัติต่อกันและกันอย่างทัดเทียมอีกด้วย
ส่วนข้อตกลงเสริม ก็คือข้อตกลงเฉพาะ เช่น ข้อตกลงว่าด้วยการส่งเสริมและคุ้มครองการลงทุนระหว่างกัน และข้อตกลงว่าด้วยการยกเว้นการเก็บภาษีซ้อน คือ ให้คนหรือผู้ประกอบการเริ่มเสียภาษี ณ ที่ประเทศเดียว เช่น บริษัทมีกิจการในต่างประเทศ ก็เลือกเสียภาษีที่ประเทศที่ลงทุนนั้นแล้ว ก็ไม่ต้องถูกเรียกเก็บที่ประเทศของตนซ้ำสองอีก
แต่ทั้งหมดทั้งปวงนี้ มักจะเป็นข้อตกลงที่เอื้ออำนวยต่อภาคธุรกิจเอกชนเป็นสำคัญ ซึ่งแน่นอนว่า นำไปสู่การขยายการค้า การลงทุน การถ่ายทอดเทคโนโลยีและองค์ความรู้ระหว่างกัน โดยเฉพาะฝ่ายประเทศที่ให้สิทธิพิเศษเหล่านี้ เช่น ไทยก็ได้รับผลการพัฒนาประเทศเป็นการตอบแทน ฝ่ายผู้มาลงทุนก็ได้กำไรกลับไป
แต่ระยะหลังๆ มีข่าวเกี่ยวกับการประท้วงและการฟ้องร้องเป็นคดีความที่มีต้นเหตุจากการตั้งโรงงาน การจัดตั้งเขตนิคมอุตสาหกรรมหรือเขตเศรษฐกิจพิเศษ ซึ่งก่อปัญหาและมีผลกระทบทางด้านมลพิษ ทำลายธรรมชาติสิ่งแวดล้อม วิถีชีวิตและความปลอดภัยของชุมชน รวมไปถึงขนบธรรมเนียมประเพณีวัฒนธรรม เช่น การถูกบังคับให้โยกย้ายถิ่นฐานดั้งเดิม เพื่อเปิดทางให้กับการตั้งโรงงาน หรือเขตเศรษฐกิจ หรือเขตอุตสาหกรรมพิเศษเหล่านี้ มากขึ้นเป็นลำดับ
ซึ่งพูดได้ว่า การดำเนินการรองรับความต้องการและผลประโยชน์ภาคธุรกิจทั้งไทยและเทศ ที่เป็นไปด้วยนโยบายและมาตรการของฝ่ายรัฐ อันเนื่องจากต้องการขยายการค้าการลงทุน โดยเฉพาะจากต่างประเทศนั้น ส่งผลให้มีการเรียกร้อง ให้มีการเสริมสร้างความสมดุลของผลประโยชน์ระหว่างภาคธุรกิจกับภาคประชาชน และธรรมชาติสิ่งแวดล้อม โดยผู้เรียกร้องต้องการให้ภาครัฐคำนึงถึงเรื่องสิทธิมนุษยชนพื้นฐานเป็นหลัก มิใช่เอาแต่เรื่องธุรกิจ หรือโครงการพัฒนาใหญ่ๆ ดังที่เป็นมาแต่อย่างเดียว
ดังนั้น ภาครัฐจะคิดถึงเพียงตัวเลขทางเศรษฐกิจ การค้าการลงทุน แม้กระทั่งการท่องเที่ยวอย่างเดียวแบบเดิม คงไม่ได้แล้ว จะออกกฎหมาย กฎเกณฑ์ใดๆเพื่อตอบสนองภาคธุรกิจอย่างเดียวเหมือนที่เป็นมา ก็ไม่ได้อีกแล้ว เพราะมันส่งผลให้เกิดการละเมิดสิทธิมนุษยชนของประชาชนและชุมชน ที่พึงจะต้องได้รับการประกันและคุ้มครองจากรัฐฯ ของตนเอง
ศักดิ์ศรีแห่งความเป็นมนุษย์ ที่ถูกรองรับด้วยกฎหมายว่าด้วยสิทธิมนุษยชน จักต้องมีสถานะ หรือความศักดิ์สิทธิ์ ไม่ด้อยไปกว่ากฎหมายอื่นใด
ฉะนั้น น่าจะถึงเวลาแล้วที่รัฐบาลไทย จักทบทวนกฎเกณฑ์เงื่อนไขการส่งเสริมและคุ้มครองการลงทุน รวมถึงกฎหมายว่าด้วยนิคมอุตสาหกรมและเขตเศรษฐกิจพิเศษว่า ที่ผ่านมา กฎกติกาเหล่านั้นได้ละเมิดสิทธิมนุษยชนของประชาชนในท้องถิ่นหรือไม่ อย่างไร และขณะเดียวกันก็ต้องทบทวนข้อตกลงเปิดเสรีการค้าว่า มีความสมดุลหรือไม่ระหว่างภาคธุรกิจกับภาคประชาชนโดยทั่วไป
หรือนัยหนึ่งชีวิตความเป็นอยู่ของคนส่วนใหญ่ต้องเป็นที่ตั้ง มิใช่อำนวยประโยชน์ให้กับกลุ่มคนกลุ่มเดียว ซึ่งจะนำไปสู่ความเหลื่อมล้ำ และความขัดแย้งในสังคม
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี