“รู้สึกยินดี ซาบซึ้งใจและขอบคุณที่สถาบันตุลาการเป็นที่พึ่งของประชาชนได้ ทุกอย่างเป็นไปตามคำวินิจฉัยศาล”คือคำสัมภาษณ์ของนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกฯหลังศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิพากษาเมื่อ 2 ส.ค.ที่ผ่านมา ยกฟ้องเขาและจำเลยอีก 3 คนในคดีสลายการชุมนุมกลุ่มพันธมิตรฯปี 2551 ก่อนถึงวันนัดฟังคำพิพากษาคดีจำนำข้าวไม่กี่วัน ก่อนที่น.ส.ยิ่งลักษณ์จะหายตัวไป หลังจากนั้นไม่กี่วันบุคคลแวดล้อมยิ่งลักษณ์ ตลอดจนทักษิณก็กลับมาพูดทำนองว่ากระบวนการยุติธรรมไทยไม่เป็นธรรม ทั้งที่คนใกล้ชิดเพิ่งกล่าวชื่นชมกระบวนการยุติธรรมไปหยกๆ และคดีของยิ่งลักษณ์ก็ยังไม่ตัดสินด้วยซ้ำ ตกลงแล้วอยู่ที่ความเป็นธรรม หรือผลแห่งคดีที่เข้าข้างตัวเอง?
เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกของพฤติกรรมเลือกเอาแต่ได้ เมื่อใดตัดสินว่าตัวเองรอด ก็บอกว่าเป็นธรรม โดยย้อนไป 5 ปีที่แล้ว อดีตนายกฯเคยโฟนอินขอบคุณศาลรัฐธรรมนูญที่วินิจฉัยว่า พ.ร.ก.เกี่ยวกับเงินกู้ 2 ฉบับที่ออกสมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ไม่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ แต่ไม่ถึงปีต่อมากลุ่มมวลชนอ้างเป็นเสื้อแดงที่สนับสนุนรัฐบาลยิ่งลักษณ์ กลับออกมาขับไล่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ อ้างว่ามีที่มาโดยมิชอบ ทั้งๆ ที่ในความจริงแล้วช่วงนั้นมีเหตุการณ์อะไร ใช่หรือไม่ที่กำลังจะส่งผลเสียต่อตัวยิ่งลักษณ์เอง?
หลายๆ ครั้งตลอดสิบกว่าปีที่ผ่านมา เมื่อใดที่ศาลฯมีคำพิพากษาหรือองค์กรอิสระมีคำวินิจฉัยว่ากลุ่มคนระบอบทักษิณไม่ได้ทำผิด คนในระบอบทักษิณก็มักออกมาชื่นชม เชื่อมั่นกระบวนการยุติธรรมไทยและองค์กรอิสระ พร้อมกับนำเรื่องเดิมๆ นี้มาพูดเสมอว่าตัวเองทำถูก ทั้งๆที่ตามความจริงแล้ว ในหลักกระบวนการยุติธรรม หากมีการเคลือบแคลงว่าทำผิด ก็เป็นเรื่องธรรมดาที่ผู้มีหน้าที่จะต้องชี้มูลหรือสั่งฟ้องไว้ก่อน เพื่อรักษาผลประโยชน์ของประชาชนและประเทศชาติ ส่วนจะผิดหรือถูกนั้น เป็นเรื่องที่ต้องว่ากันในชั้นศาล ให้องค์คณะผู้พิพากษาวินิจฉัยเอง ใช่หรือไม่?
ในทางกลับกันหลายๆ ครั้งที่องค์กรอิสระมีคำวินิจฉัยยกฟ้องคนในระบอบทักษิณอย่างคดีซุกหุ้นหรือคดีอื่นๆ ทำไมไม่ตั้งคำถามสงสัยต่อความผิดปกติของกระบวนการพิจารณา โดยเฉพาะข้อสงสัยที่ว่ารัฐบาลทักษิณขณะนั้น มีการแทรกแซงองค์กรอิสระหรือไม่? เพราะยุคระบอบทักษิณที่มีประเด็นสภาผัวเมีย ระหว่างสส.และสมาชิกวุฒิสภาซึ่งมีอำนาจแต่งตั้งองค์กรอิสระ ปรากฏข่าวทำนองนี้ตลอด
แต่จนแล้วจนรอด ถ้ามีหลักฐานเชิงประจักษ์ชัดเจน สื่อสามารถอธิบายพฤติการณ์คดีชัดเจนจนประชาชนเข้าใจว่า ผิดตาม
กฎหมายจริงๆ เช่น คดีทุจริตซื้อที่ดินรัชดา ที่ภรรยาอดีตนายกฯประมูลซื้อจากกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน โดยสามีเป็นนายกฯในขณะนั้น ได้ลงนามในฐานะคู่สมรส ส่งผลให้มีส่วนได้เสียในสัญญาซื้อขาย อันเป็นการขัดกันระหว่างผลประโยชน์ หรือคดีทุจริตจีทูจีที่ศาลฎีกาฯพิเคราะห์ว่า ไม่มีการส่งออกข้าวไปขายจีนจริง โดยบริษัทรับซื้อข้าวจากรัฐบาล มีคนไทยเป็นตัวแทนรับซื้อ ที่สำคัญมีการเวียนข้าวขายในประเทศนั้น นอกจากคนในระบอบทักษิณจะไม่ยอมรับผิด และมักใช้กลวิธีต่างๆ ทั้งบนดิน ใต้ดินการให้สัมภาษณ์ของลิ่วล้อหวังเบี่ยงเบนประเด็น และไม่ยอมตอบในสิ่งที่ตัวเองทำผิด
คนในระบอบทักษิณมักอ้างกระบวนการยุติธรรมไทยไม่เป็นธรรม อ้างถูกกลั่นแกล้ง อ้างถูกใส่ร้าย อ้างว่าตัวเองมาจากการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตย อ้างคะแนนเสียงที่ได้ตลอด ใช่หรือไม่? ซึ่งคือคนละเรื่องเลยกับความผิดการทุจริตตามประมวลกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ที่มีใช้ทุกยุคสมัย เหมือนกับสื่อมวลชนบางคนที่พอทำผิด ซึ่งพิสูจน์ในชั้นศาลแล้วว่า มีความผิดจริงตามกฎหมายทุจริต นอกจากจะไม่ยอมรับ แต่กลับยกเอาความนิยมของตัวเองที่มีในประชาชนส่วนใหญ่ และอ้างตัวเองช่วยเหลือสังคมมาตลอด หวังเอามวลชนมาต่อรองให้ศาลฯเห็นใจ พฤติการณ์ก็ไม่ต่างจากนักการเมืองกลุ่มแรก!!!
ที่แย่และน่าละอายกว่านั้นคือ ขณะที่ระบอบทักษิณมีอำนาจตามระบอบประชาธิปไตย รัฐบาลขณะนั้นเคยใช้เสียงข้างมากเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบ ข้อตกลง ตลอดจนสัญญาสัมปทานและกฎหมายหลายฉบับเพื่อเอื้อประโยชน์ให้ตัวเองและพวกพ้องเป็นเงินหลายหมื่นหลายแสนล้านบาท ใช่หรือไม่? ทำให้รัฐสูญเสียโอกาสจัดเก็บรายได้ นำเงินมาพัฒนาประเทศอย่างประเมินค่าไม่ได้ ที่เลวร้ายที่สุดก็คือ ความพยายามล้างความผิดให้ตัวเอง ผ่านร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรมที่ทุกคนยังจำกันได้ดีว่า มีความพยายามในทุกรัฐบาลระบอบทักษิณ ใช่หรือไม่? แต่ก็ต้องพับไป ก่อนมาถึงจุดแตกหักยุคน้องสาวที่สอดไส้ร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรม เข้าสภาและดันทุรังผ่าน 3 วาระรวดตั้งแต่ค่ำจนถึงเกือบรุ่งเช้าของอีกวันในคืนเดียว จนเกิดการประท้วงครั้งใหญ่ของประชาชน นำไปสู่การขับไล่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ในท้ายที่สุด
หรือแม้กระทั่งล่าสุดคดีจำนำข้าว วันนี้ศาลฎีกาฯยังไม่อ่านคำพิพากษาว่า อดีตนายกฯมีความผิดจริงหรือไม่? สุดท้ายจากที่เคย
ยืนหยัดต่อสู้คดีเรื่อยมา ตั้งแต่ชั้นป.ป.ช. การไต่สวนพยานปากจำเลยนัดสุดท้าย จนถึงแถลงปิดคดีที่พูดย้ำเสมอว่า ดำเนินนโยบายถูกต้อง ไม่คิดหนี และเชื่อมั่นกระบวนการยุติธรรมไทย แต่เพียงชั่วข้ามคืนทุกอย่างก็เปลี่ยนไป เพราะอยู่ๆยิ่งลักษณ์ก็หายตัวไปและมีบรรดาลิ่วล้อและนายใหญ่ระบอบทักษิณโวยวายทำนองว่า กระบวนการยุติธรรมเชื่อถือไม่ได้!!! ทั้งๆที่ตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา ใครต่อใครที่ขึ้นศาลฯหรือถูกป.ป.ช.สั่งฟ้อง ก็ใช้กฎหมายเดียวกันมาตลอด ไม่ใช่หรือ?
หากบอกว่าที่ผ่านมายังไม่ชัดเจนพอ ก็มีคำถามว่า แล้วอย่างคดีขายหุ้นให้เทมาเส็ก ที่ศาลฎีกาฯตัดสินไปแล้วว่า มีความผิดจริง? สร้างความเสียหายแก่ประเทศอย่างมหาศาล คดียึดทรัพย์ 4 หมื่นกว่าล้านจากประเด็นความผิดทั้งการให้เอ็กซิมแบงก์ปล่อยกู้ให้พม่า 4,000 ล้านบาท,การแปลงค่าสัมปทานมือถือเป็นภาษีสรรพสามิต หรือคดีแก้ไขสัญญาสัมปทานโครงการดาวเทียมฯ ทั้งหมดศาลฎีกาฯล้วนมีคำพิพากษาแล้ว ใช่หรือไม่ว่า กระทำผิดจริงและใช้อำนาจหน้าที่ในทางมิชอบทั้งสิ้น ถามว่าทั้งหมดเกิดยุคที่ใครเป็นรัฐบาล? ใครเป็นนายกฯ? แล้วใครได้ประโยชน์กับการทุจริตทั้งทางตรงและทางอ้อม? ทุกสิ่งมีพยานหลักฐานที่พิสูจน์ได้หมด ใช่หรือไม่? เช่นนี้จะกล่าวว่ากระบวนการยุติธรรมไทยไม่เป็นธรรมได้ อย่างไร? แล้วที่พูดเสมอว่า ตัวเองเป็นนักประชาธิปไตย ทำทุกอย่างเพื่อประเทศชาติ เคารพกฎหมาย รักความสงบเรียบร้อย รักประชาชน ไม่ทำลายสิทธิผู้อื่น แล้วสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้คืออะไร? จริงๆแล้วเคารพกฎหมาย รักประชาชนรักประเทศชาติจริงหรือ? หรือรักแต่กระเป๋าเงินตัวเอง?
ไม่เพียงเท่านี้ ในอดีตยังมีภาพเหตุการณ์ความวุ่นวายปี 2553 การต่อสู้ของกลุ่มมวลชนเสื้อแดงกับเจ้าหน้าที่รัฐ ที่มีอาวุธสงครามต่างๆใช้ก่อการร้าย การเผาศาลากลางจังหวัด เผาห้างสรรพสินค้าย่านอนุเสาวรีย์ชัยฯ ความรุนแรงที่แยกราชประสงค์ การเผาเซ็นทรัลเวิลด์ ที่มีการโฟนอินมาจากต่างประเทศของใครบางคนที่ปลุกมวลชนให้ร่วมต่อสู้ ทั้งยังบอกว่าจะมานำทัพด้วยตัวเอง สุดท้ายก็ไม่กล้ามา แต่เหตุใดผู้รับเคราะห์กรรมจึงกลายเป็นกลุ่มมวลชนที่ชุมนุม รวมถึงความวุ่นวายปี 2552 ที่มวลชนคนเสื้อแดงบุกล้มการประชุมอาเซียนที่พัทยา และมุ่งทำร้ายบุคคลสำคัญของรัฐบาลขณะนั้น เหตุการณ์ไม่สงบทั้งหมดนี้หลายคนยังสงสัยว่า ตกลงใครอยู่เบื้องหลัง? ใครสนับสนุนจัดหาอาวุธสงครามมากมายขนาดนั้นมาให้? ใครให้งบดำเนินการ? เอาเข้าจริง ตามสมมุติฐานก็ต้องเป็นผู้ที่เสียผลประโยชน์ ใช่หรือไม่? ถ้าใช่ แล้วผู้ที่เสียผลประโยชน์ในขณะนั้นคือใคร? นั่นอาจเป็นคำตอบของเรื่องราวทั้งหมดนี้
นอกจากนี้ในหลายครั้ง ยังพบภาพข่าวหรือวีดีโอที่เห็นการปรากฏตัวของยิ่งลักษณ์ คนในตระกูลชินวัตร และแกนนำพรรคเพื่อไทยที่เรียกร้องความเห็นใจ เรียกคะแนนสงสาร รวมถึงปลุกระดมมวลชนให้ยืนเคียงข้าง ต่อสู้เพื่อตัวเอง ซึ่งอดไม่ได้ที่จะเกิดคำถามจากสังคมว่า ต้องใช้เงินเท่าไหร่ดูแลประชาชนที่เดินทางมาให้กำลังใจอดีตนายกฯ? แต่มาวันนี้ชาวบ้านติดคุก คนบงการไปอยู่ไหน?
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทั้งการทุจริตและใช้อำนาจหน้าที่มิชอบของนักการเมืองในระบอบทักษิณ ข้าราชการหลายกระทรวง หลายๆคดีล้วนทำขณะดำรงตำแหน่ง รวมถึงเหตุการณ์วุ่นวายปี 2552-2553 ทั้งหมดล้วนเกิดความเสียหายต่อประเทศที่ประเมินค่ามิได้ แล้วใครที่ต้องรับผิดชอบความเสียหายนี้?
ว่ากันเฉพาะตัวเลขความเสียหาย 286,000 ล้านบาท โครงการจำนำข้าว, 17,000 ล้าน สำหรับการทุจริตจีทูจี แม้รัฐบาลคสช.จะเรียกร้องให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายไปแล้วก็จริง แต่ถามว่า ณ ตอนนี้ผ่านมานานเท่าไร? เรียกเก็บได้จริงหรือยัง? ขณะที่ทุจริตโครงการอื่นๆ อีกมากมายต้องดำเนินการเช่นเดียวกันกับคดีจำนำข้าว คือ ต้องเรียกความรับผิดชอบจากความเสียหาย เช่น คดีทุจริตหวยบนดิน 2 ตัว 3 ตัว ที่ศาลฎีกาฯพิพากษาแล้ว ใช่หรือไม่ ให้จำคุกอดีตรัฐมนตรีคนหนึ่งของระบอบทักษิณและผู้บริหารกองสลากฯ 2 ปี พร้อมทั้งให้ชดใช้ค่าปรับจำนวนหนึ่ง? ย้ำว่าค่าปรับ!?!?!? มิใช่ค่าเสียหายที่มีมูลค่า 36,000 ล้านบาท? ทั้งๆที่ความจริงรัฐได้รับความเสียหายมาก หรือตัวเลขความเสียหาย 2 พันล้านสำหรับคดีสั่งให้ธ.กรุงไทยปล่อยกู้ให้เครือกฤษดามหานคร หรือภาษีซุกหุ้นที่เสียหายกว่า 1.6 หมื่นล้านที่เคยมีข่าวว่า คดีกำลังจะหมดอายุความ ทั้งหมดเป็นเรื่องที่ศาลฎีกาฯพิพากษาจบแล้ว ไปจนถึงประเด็นใบกำกับภาษีมูลค่าเพิ่มปลอมที่สร้างความเสียหายหลายหมื่นล้าน ผู้เสียหายคือกระทรวงการคลัง ใช่หรือไม่?
วันนี้บางคดีผ่านมานับสิบปี บางคดีกำลังจะหมดอายุความ แต่แทบทุกคดีกลับยังไม่มีเจ้าภาพเรียกเก็บความเสียหาย เพราะอะไร? ไม่มีใครหวงแหนปกป้องประเทศไทยเลยหรือ? ในทางกลับกันถ้าเป็นบริษัทเอกชน สิ่งเหล่านี้คงไม่มีทางเกิดขึ้นอย่างแน่นอนใช่หรือไม่?
เช่นนี้คงไม่แปลกหากสังคมจะตั้งคำถามถึงความเพิกเฉยของเจ้าหน้าที่รัฐ ผู้บริหารสูงสุดขององค์กรรัฐที่ได้รับความเสียหาย ที่จำเป็นจะต้องต่อสู้เพื่อผลประโยชน์ขององค์กร โดยเฉพาะอย่างยิ่งศาลฯมีคำพิพากษาไปแล้ว จึงเป็นหน้าที่ต้องไปไล่เบี้ย เอาเงินกลับคืนให้เท่าความเสียหายที่หน่วยงานตัวเองเสียไป อย่าให้สังคมสงสัยว่า มีการช่วยเหลือ จึงไม่ดำเนินการ? ไม่ฟ้อง ไม่ไล่บี้เอาผิดเอกชนคู่สัญญาที่ทำความผิดอีก
เพราะถ้าเป็นเช่นนั้น ศรัทธาและความเชื่อมั่นในตัวนายกฯจะหายไปด้วย จึงควรเฝ้าติดตามและเร่งข้าราชการระดับสูงกระทรวงที่เกี่ยวข้องดำเนินการ อย่ามัวแต่ตั้งคณะกรรมการแล้วไม่ดำเนินการเสียที จนในที่สุดคดีหมดอายุความ ทางที่ดีควรมีกฎหมายลงโทษข้าราชการที่ไม่ปกป้องหรือทวงคืนสมบัติชาติที่ควรได้คืนด้วย
.............................................
“ยิ้มเดียวพอล่มเมือง ยิ้มสองล่มประเทศ ต่อให้เป็นกระบี่ที่คมกล้ากว่านี้
เกรงว่าไม่เท่ายิ้มเดียวของหญิงงาม”
(คำคมโกวเล้ง จากเรื่องกระบี่ยั่งยืนยาว)
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี