ปัญหาของมวลสมาชิกชาวจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยที่เก่าแก่ที่สุดของประเทศ และสถาปนาโดยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัยได้ดำเนินการจัดสร้างขึ้นเพื่อระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของสองบรมมหากษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี ที่ทรงทำให้ประเทศไทยดำรงความเป็นเอกราช ภายใต้มรสุมแห่งการล่าอาณานิคมของประเทศตะวันตก ได้แก่ อังกฤษ ฝรั่งเศส และฮอลันดา ซึ่งบรรดาประเทศที่อยู่รอบประเทศไทย ได้แก่ พม่า เวียดนามเขมร ลาว มลายู (หรือมาเลเซียในปัจจุบัน) รวมทั้งอาณาเขตที่เป็นที่ตั้งประเทศอินโดนีเซีย สิงคโปร์ ไม่มีประเทศใดเลยที่จะไม่ตกเป็นเมืองขึ้นของประเทศตะวันตกดังกล่าว
แต่ด้วยวิเทโศบายของพระบรมมหากษัตริย์ทั้งสองพระองค์ ทำให้ประเทศไทยรอดพ้นและเป็นประเทศเอกราชมาจนทุกวันนี้
ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว แม้ไทยจะเสียดินแดนให้กับอังกฤษและฝรั่งเศส แต่ดินแดนเหล่านั้นไม่ใช่ดินแดนของไทยโดยตรง ต่อมารัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงประกาศสงครามร่วมเป็นฝ่ายสัมพันธมิตรในสงครามโลกครั้งที่ 1 ทำให้ประเทศไทยอยู่ข้างฝ่ายชนะทำให้ได้แก้ไขสนธิสัญญาที่เสียเปรียบได้สำเร็จ ยิ่งไปกว่านั้นในด้านการศึกษาได้ทรงสถาปนาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เพื่อให้ปวงชนชาวไทยได้มีการศึกษาขั้นอุดมศึกษาขึ้น
ทั้งหมดที่กล่าวมานี้ เป็นเพียงส่วนย่อของประวัติศาสตร์ของไทยและของจุฬาลงกรณ์ฯ นอกจากนี้ในสมัยที่ผู้เขียนเป็นรองอธิการบดีฝ่ายกิจการนิสิต มีเหตุการณ์สำคัญของประเทศ คือ ก่อนหน้านั้นเกิดขบวนการนิสิต นักศึกษาและนักเรียน นำโดยนายธีรยุทธบุญมี ต่อด้วยเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 สมัยที่ดร.ประสาร ไตรรัตน์วรกุล เป็นนายกสโมสรนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และศาสตราจารย์ ดร.สมบัติธำรงธัญวงศ์ ซึ่งขณะนั้นเป็นนิสิตมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์เป็นเลขาธิการขบวนการนักศึกษาฯ สามารถล้มรัฐบาลจอมพลถนอม กิตติขจร สำเร็จ
และต่อมาเกิดเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 ซึ่งขณะนั้น ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ เป็นนายกสโมสรจุฬาฯ ผู้เขียนเป็นรองอธิการบดี ในห้วงเวลานั้นได้มีการจัดตั้งสภานิสิตขึ้น แต่ไม่ได้มีบทบาทเหมือนสโมสรนิสิต เพราะบทบาทสภานิสิตในทุกสถาบันไม่มีความโดดเด่นเมื่อเทียบกับสโมสรนิสิต
สภานิสิตไม่เคยมีบทบาทสำคัญต่อทุกมหาวิทยาลัยโดยเฉพาะจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ยกเว้นสมัยปัจจุบันที่คนเข้าใจว่า สภานิสิตมีความสำคัญต่อนิสิตก็เพราะสภานิสิตพยายามเข้าไปมีบทบาทที่ทำลายขนบธรรมเนียมประเพณีของมหาวิทยาลัย มีพฤติกรรมที่เนรคุณต่อองค์ผู้สถาปนามหาวิทยาลัย
ยิ่งไปกว่านั้นการไม่เคารพกติกาของสังคมชาวจุฬาฯซึ่งเป็นสิ่งที่ชาวจุฬาฯ ยอมรับไม่ได้ นายเนติวิทย์ กระทำตัวอยากดังเหมือนเช่น นายโจชัว หว่อง ของฮ่องกง ซึ่งการที่มหาวิทยาลัยลงโทษปลดจากสภานิสิต ในความเห็นของนิสิตเก่าเห็นว่าอ่อนที่สุดแล้ว ผู้บริหารมหาวิทยาลัยให้ความปรานีมาก (เหลือเกิน) แล้ว เพราะในอนาคตถ้านายเนติวิทย์กับพวกไปกระทำการฝ่าฝืนกฎหมายบ้านเมือง จะทำให้ผู้รับผิดชอบขณะนี้จะต้องเสียใจเพราะเปรียบเสมือน “สอนลูกให้เป็นโจร”
เมื่อถึงตอนนั้นชาวจุฬาฯ ทุกคนทั้งศิษย์เก่าและปัจจุบันจะต้องเสียใจด้วย เพราะการกระทำที่ไม่เด็ดขาด ทำให้นิสิตนอกคอกไม่หลาบจำ จนกระทำในสิ่งที่สังคมยอมรับไม่ได้ ดังเช่น นายโจชัว หว่อง กำลังรับโทษอยู่ในคุกที่ฮ่องกงในขณะนี้
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี