ข่าวระบุว่า ไม่เกิน 1 เดือน จะได้ข้อสรุปในการแจ้งข้อหาดำเนินคดีกับนายพานทองแท้ชินวัตร (ลูกชายของนายทักษิณ ชินวัตร) และพวก ในคดีฟอกเงิน กรณีสืบเนื่องจากการทุจริตเงินกู้ธนาคารกรุงไทย
1. คดีนี้ สอบสวนกันมาข้ามปี
เช่นเดียวกับคดีฟอกเงินของเครือข่ายธรรมกาย ที่พัวพันเงินโกงสหกรณ์คลองจั่น และคดีเงินๆ ทองๆ อีกหลายคดี
2. ในคดีทุจริตเงินกู้กรุงไทยนั้น ศาลพิพากษาลงโทษจำเลยคนอื่นๆ ไปหมดแล้ว เมื่อวันที่ 26 ส.ค. 2558
แต่ตัวพ่อ คือ ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จำเลยที่ 1 หนีคดี
ศาลฎีกาฯ มีคำสั่งจำหน่ายคดีในส่วนของจำเลยที่ 1 ไว้ชั่วคราว พร้อมกับออกหมายจับ
ในสำนวนคดีโน้น ทักษิณถูกกล่าวหาว่า เป็น “บิ๊กบอส” ผู้สั่งการให้ผู้บริหารธนาคารกรุงไทยอนุมัติสินเชื่อตามที่เอกชนเสนอ ทั้งที่มีสถานะอยู่ในกลุ่มลูกหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ ไม่อาจอนุมัติสินเชื่อให้ ละเว้นไม่ปฏิบัติตามกฎหมายและกฎระเบียบ เมื่อเอกชนได้รับสินเชื่อแล้ว ก็ไม่นำไปใช้ตามวัตถุประสงค์
ในคำพิพากษาศาลฎีกาฯ เปิดเผยให้เห็นการกระทำอุกอาจ เกี่ยวกับการสั่งการ การอนุมัติสินเชื่อโดยมิชอบ
โดยชี้ว่า ได้ความจากพยานซึ่งเป็นกรรมการพิจารณาสินเชื่อธนาคารกรุงไทยว่า ก่อนการประชุมอนุมัติสินเชื่อให้เอกชน ร.ท.สุชาย เชาว์วิศิษฐ จำเลยที่ 2 ได้โทรศัพท์มาหาพยานและบอกว่า บิ๊กบอสหรือซูเปอร์บอส ได้ดูดีแล้ว ไม่ให้คัดค้านการอนุมัติสินเชื่อครั้งนี้ โดยคำพิพากษาบางตอนระบุว่า
“โครงการกฤษดาซิตี้ 4000 เป็นโครงการขนาดใหญ่ แต่ในการเสนอขอสินเชื่อกลับมีเอกสารประกอบเพียง 2 แผ่น และคณะกรรมการบริหารของธนาคารกรุงไทยก็ใช้เวลาพิจารณาเพียง 15 นาทีเท่านั้น...”
3. ปรากฏว่า เงินกู้บางส่วน ถูกโอนให้บุคคลในกลุ่มจำเลย และโอนให้บุคคลภายนอกอีกหลายคน
ในสำนวนการไต่สวนของ คตส. ระบุว่า มีผู้ถูกกล่าวหาถึง 31 ราย โดยปรากฏชื่อ นายพานทองแท้ ชินวัตร นางกาญจนาภา หงษ์เหิน นายวันชัย หงษ์เหิน และนายมานพ ทิวารี บิดา น.ต.ศิธา ทิวารี อดีต สส.พรรคไทยรักไทยโดย คตส.พบว่า มีเงินไหลเข้าบัญชี เพียงแต่ในชั้นอัยการส่งฟ้องศาล ไม่มีชื่อคนเหล่านี้เป็นจำเลย
นายกรณ์ จาติกวณิช อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เคยแสดงความเห็นว่า “เรื่องนี้มีข้อสังเกต คือ หลังจาก พ.ต.ท.ทักษิณ กับพวก ให้ธนาคารกรุงไทยปล่อยกู้เข้าบัญชีส่วนตัวนั้น นายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชายของ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่อาจถือว่ารับของโจรกลับไม่โดนฟ้อง ซึ่งรวมถึงนางกาญจนาภา หงษ์เหิน และบิดาของน.ต.ศิธา ทิวารี คนใกล้ชิด พ.ต.ท.ทักษิณ และได้รับเงินก้นถุง แต่อัยการสูงสุดกลับไม่ฟ้อง”
4. ในคำวินิจฉัยของนายศิริชัย วัฒนโยธิน อดีตรองประธานศาลฎีกา และเจ้าของสำนวนคดีเงินกู้กรุงไทย ระบุถึงเส้นทางการเงินไว้ด้วย ความบางส่วนสะท้อนถึงนายพานทองแท้ ชินวัตร
“...เมื่อวันที่ 30 ธ.ค. 2546 นายธีรโชติ พรมคุณ พนักงานของจำเลยที่ 20 (บริษัท กฤษดามหานคร จำกัด (มหาชน)) ได้ซื้อแคชเชียร์เช็คธนาคารไทยธนาคาร 26 ล้านบาท โดยหักจากบัญชีของจำเลยที่ 25 (นายวิชัย กฤษดาธานนท์ ผู้บริหารเครือกฤษดามหานคร) สั่งจ่ายนายพานทองแท้ ชินวัตร และนำเข้าบัญชีของนายพานทองแท้ที่ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) เลขที่บัญชี 184-0-47447-0 แต่ในวันเดียวกันมีการยกเลิกรายการ
ครั้นวันรุ่งขึ้น นายธีรโชติซื้อแคชเชียร์เช็ค 26 ล้านบาท สั่งจ่ายบริษัทหลักทรัพย์ธนชาต จำกัด (มหาชน) เพื่อชำระค่าหุ้นในบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ของนางเกศินี จิปิภาพ มารดาของนางกาญจนาภา หงษ์เหิน เลขาฯส่วนตัวของคุณหญิงพจมาน ชินวัตร (ภรรยาของนายทักษิณ ขณะนั้น)
ต่อมา นางเกศินี ได้สั่งจ่ายเช็คจำนวน 1.8 ล้านบาท เข้าบัญชีของนายพานทองแท้ที่ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) สำนักรัชโยธิน
อย่างไรก็ดี นายพานทองแท้ ชี้แจงเป็นหนังสือต่อคณะอนุกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ว่า จำเลยที่ 26 (นายรัชฎา กฤษดาธานนท์ บุตรนายวิชัย กฤษดาธานนท์) ฝากนายวันชัย หงษ์เหิน (สามีนางกาญจนาภา หงษ์เหิน) ซื้อหุ้นบริษัท ช.การช่าง จำกัด ผ่านบัญชีของนางเกศินี ครบกำหนดชำระหุ้นเมื่อวันที่ 31 ธ.ค. 2546 ซึ่งก่อนครบกำหนดชำระค่าหุ้น เมื่อวันที่ 30 ธ.ค. 2546 จำเลยที่ 26 โทรศัพท์มาแจ้งว่า ได้ให้เจ้าหน้าที่นำแคชเชียร์เช็คค่าหุ้น 26 ล้านบาท เข้าบัญชีของตนเพื่อฝากโอนให้บริษัทหลักทรัพย์ธนชาต ตนเกรงว่าอาจล่าช้าชำระไม่ทันกำหนด จึงแนะนำให้จำเลยที่ 26 ชำระเงินให้แก่บริษัทหลักทรัพย์ธนชาต โดยตรง จำเลยที่ 26 จึงยกเลิกธุรกรรมที่นำแคชเชียร์เช็คฝากเข้าบัญชีของตน
เห็นว่า เป็นที่ทราบกันโดยทั่วไปว่า ทางปฏิบัติในการซื้อขายหลักทรัพย์กับบริษัทหลักทรัพย์นั้น ผู้จะซื้อขายหลักทรัพย์จะต้องเปิดบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์กับบริษัทหลักทรัพย์และจะต้องแจ้งเลขที่บัญชีธนาคารให้บริษัทหลักทรัพย์ทราบเพื่อให้บริษัทหลักทรัพย์โอนเงินเข้าบัญชีเมื่อมีการสั่งขายหลักทรัพย์ หรือให้บริษัทหลักทรัพย์หักเงินจากบัญชีเมื่อมีการสั่งซื้อหลักทรัพย์
ข้อเท็จจริงได้ความว่า ทั้งนายพานทองแท้และจำเลยที่ 26 มีความสนิทสนมกัน ต่างก็มีบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ของตนเอง หากจำเลยที่ 26 ได้ฝากนายวันชัยซื้อหุ้นตามที่อ้าง จำเลยที่ 26 ย่อมสามารถโอนเงินค่าหุ้นเข้าบัญชีธนาคารของนายวันชัยหรือโอนเข้าบัญชีธนาคารของบริษัทหลักทรัพย์ได้โดยตรงอยู่แล้ว ไม่มีเหตุผลที่จำเลยที่ 26 ต้องนำเงินไปซื้อแคชเชียร์เช็คฝากเข้าบัญชีธนาคารของนายพานทองแท้เพื่อฝากชำระค่าหุ้นให้นายวันชัยอีกทอดหนึ่ง ข้ออ้างของนายพานทองแท้ฟังไม่ขึ้น
นอกจากนี้ เมื่อวันที่ 17 พ.ค. 2547 จำเลยที่ 25 ได้สั่งจ่ายเช็คไทยธนาคารจำนวน 10 ล้านบาท เข้าบัญชีของนายพานทองแท้ที่ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) สาขาบางพลัด
นายพานทองแท้ชี้แจงเป็นหนังสือต่อ คตส. ว่า เป็นเงินที่ตนร่วมลงทุนกับจำเลยที่ 26 เพื่อทำธุรกิจ แต่ไม่ได้ชี้แจงว่าเป็นธุรกิจใด หลังจากนั้นประมาณ 3 เดือน จึงได้ชี้แจงเพิ่มเติมว่า เป็นการร่วมลงทุนกับจำเลยที่ 26 ทำธุรกิจนำเข้ารถยนต์จากต่างประเทศมาขาย แต่ติดขัดเรื่องขั้นตอนการนำเข้าต้องใช้เวลานาน และสีรถยนต์ไม่ถูกใจจึงยกเลิกการทำธุรกิจ
เห็นว่า หากเป็นเงินร่วมลงทุนทำธุรกิจนำเข้ารถยนต์จากต่างประเทศตามที่อ้าง ก็น่าจะชี้แจงไปตั้งแต่ครั้งแรก และนายพานทองแท้เป็นผู้มีฐานะทางเศรษฐกิจ ข้ออ้างว่าร่วมลงทุนเพียง 10 ล้านบาท ไม่น่าเชื่อถือ
คำชี้แจงทั้งสองกรณี ขัดต่อเหตุผล ไม่มีน้ำหนักให้รับฟัง
ข้อเท็จจริงยังได้ความจากการตรวจสอบเส้นทางการเงินของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) อีกว่า มีการนำเงินสินเชื่อที่จำเลยที่ 19 (บริษัท โกลเด้นฯ เครือกฤษดามหานคร) ได้รับจากธนาคารผู้เสียหายไปซื้อหุ้นจองของบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) จำนวน 4.2 แสนหุ้น และจำเลยที่ 26 ได้นำหุ้นดังกล่าวมาเสนอขายแก่พนักงานของบริษัท ฮาวคัม จำกัด ที่มีนายพานทองแท้เป็นประธานกรรมการ และเสนอขายให้พนักงานบริษัท มาสเตอร์โฟน จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของบริษัท ฮาวคัม จำกัด
เป็นที่ทราบกันดีว่า ราคาหุ้นจองของบริษัท ท่าอากาศยานไทยฯ ที่เสนอขายจะต่ำกว่าราคาที่จะนำเข้าไปซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์เพื่อเป็นการดึงดูดความสนใจของนักลงทุน ราคาหุ้นจองจึงเป็นที่ต้องการอย่างมากของนักลงทุน เพราะถือไว้เพียงไม่กี่วัน ก็สามารถนำไปขายทำกำไรใตลาดหลักทรัพย์ได้ แต่จำเลยที่ 26 กลับนำหุ้นจองดังกล่าวมาเสนอขายแก่พนักงานของบริษัทของนายพานทองแท้ โดยไม่เก็บไว้ทำกำไรเอง
พฤติการณ์ของจำเลยที่ 26 ในการเสนอขายหุ้นจองดังกล่าว ส่อไปในทำนองต่างตอบแทนจากการที่ธนาคารผู้เสียหายอนุมัติสินเชื่อให้กลุ่มของจำเลยที่ 20 ตามฟ้อง...”
5. แล้วอย่าลืมว่า ยังมีคนในตระกูลชินวัตรอีกคน ที่มีเรื่องอื้อฉาว ข้องเกี่ยวกับธนาคารของรัฐ
นั่นคือ นายพายัพ ชินวัตร
กรณีสินชื่อธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย หรือเอสเอ็มอีแบงก์
ย้อนกลับไปเมื่อปี 2545 ยุครัฐบาลทักษิณ เอสเอ็มอีแบงก์อนุมัติสินเชื่อให้แก่ บริษัท ชินวัตรไทย จำกัด ของนายพายัพ ชินวัตร วงเงิน 95 ล้านบาท โดยมีหลักประกันในการขอสินเชื่อ เป็นที่ดิน 79 ไร่ พร้อมโรงงาน และเครื่องจักร ที่ธนาคารเคยประเมินราคาหลักประกันไว้กว่า 93 ล้านบาท
นายพายัพ ชินวัตร เป็นผู้จดทะเบียนก่อตั้ง เคยเป็นกรรมการบริษัท มีชื่อเป็นหนึ่งในผู้ค้ำประกัน
ต่อมาลูกหนี้รายนี้ ตกเป็นหนี้เน่าของธนาคาร
ปี 2557 เมื่อมีการประเมินราคาหลักประกัน ก่อนขายลูกหนี้เอ็นพีแอลรายนี้ ปรากฏว่า ตีราคาหลักประกันสินเชื่อลดเหลือแค่ 15.5 ล้านบาท (จากในปี 2545 สูงถึง 93 ล้านบาท)
ปรากฏว่า ทรัพย์สินที่ใช้เป็นหลักประกันขอสินเชื่อ คือ อาคารโรงงาน 9 รายการ และเครื่องจักร 293 รายการ มูลค่าเกือบ 80 ล้านบาท ถูกรื้อถอน และขนย้ายออกไป จนหมดสิ้น เหลือสภาพแค่ที่ดินเปล่า
เป็นเหตุให้ราคาหลักประกัน จาก 93 ล้านบาท เหลือแค่ 15.5 ล้านบาท
โดยปกติ หากมีกรณีลูกหนี้เอ็นพีแอลทำการเคลื่อนย้ายหลักประกัน ไม่ว่าจะเป็น โรงงาน เครื่องจักร ขนย้ายหลักประกันหนีออกไป เอสเอ็มอีแบงก์จะต้องแจ้งความเอาผิดลูกหนี้ ในข้อหาฉ้อโกงเจ้าหนี้ เพื่อดำเนินคดีอาญา สอบสวนเจ้าหน้าที่ และไม่นำลูกหนี้รายนั้น ออกประมูลขาย เพื่อจัดการชำระความกันก่อน
แต่ในกรณีบริษัท ชินวัตรไทย จำกัด ที่ผ่านมา ไม่พบว่า มีการฟ้องร้องดำเนินคดีอาญากับลูกหนี้รายนี้ ในฐานโกงเจ้าหนี้ ไม่มีดำเนินการสอบสวนผู้บริหารที่เกี่ยวข้อง
จนป่านนี้ ยังไม่มีรายงานว่าเรื่องไปถึงไหน?
เรื่องพวกนี้ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้า คสช. ไม่ได้เข้าไปแทรกแซงอะไรเลย แต่เมื่อเกิดความบิดเบี้ยว หมักหมม ซุกปัญหาเยี่ยงนี้ หากปล่อยไปเสียเฉยๆ คนบางตระกูลคงได้แต่ยิ้มเยาะความอ่อนด้อยของ คสช.
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี