เจ้าหน้าที่รัฐใช้อำนาจทางกฎหมายกดขี่ข่มเหงรังแกประชาชน ทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำในสังคม เหตุนี้เองจึงมีผู้เข้าร่วมอุดมการณ์ลิทธิคอมมิวนิสต์ จับไม้ ถือปืน ยืนต่อสู้กับรัฐ ทั้งสมัครใจหรือถูกชักชวน เพราะต้องการความเท่าเทียม แม้ปัจจุบันไม่ได้พบความเคลื่อนไหวผู้ที่
ชื่นชอบลัทธิคอมมิวนิสต์แล้ว แต่รัฐบาลยังคงเฝ้าระวังโดยเฉพาะกลุ่มเคลื่อนไหวทางการเมืองต่างๆ แต่ใครจะคิดว่าเจ้าหน้าที่รัฐปัจจุบันซึ่งเมื่อก่อนเคยคิดเข้าป่าจับปืนร่วมกับสหายร่วมอุดมการณ์ อย่าง พล.ต.ต.ภาณุรัตน์ หลักบุญ หรือ รองฯ หลวง รอง ผบช.น. นายตำรวจอารมณ์ขัน อายุ 52 ปี นรต.รุ่น 41 จะต้องมาเป็นตำรวจ ทั้งที่เคยไม่อยากเป็น
รองฯ หลวง เล่าที่มาการเป็นตำรวจ ว่าเกิดในครอบครัวข้าราชการชั้นผู้น้อย สมัยนั้นความเหลื่อมล้ำในสังคมมีสูงมาก ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่มักรังแกประชาชน ลัทธิคอมมิวนิสต์เข้ามาใน จ.ศรีสะเกษ ซึ่งดั้งเดิมพื้นเพเป็นคนที่นั่น เคยอ่านหนังสือเหมา เจ๋อ ตุง เขียนไว้เลยว่า เมื่อฟ้าสีทองผ่องอำไพ ประชาชนจะเป็นใหญ่ในแผ่นดิน หมายความว่า ความเสมอภาคจะเกิดขึ้น เกือบเข้าป่าจับปืนต่อสู้กับเขาเหมือนกัน
“ความเหลื่อมล้ำในสังคมทำให้มีแรงบันดาลใจอยากเป็นผู้พิพากษา มีความรู้สึกต้องผดุงความยุติธรรมให้สังคม อาจารย์ท่านหนึ่งเคยบอกว่า การศึกษาของเราเท่านั้น ที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง จึงสอบเอ็นทรานซ์ เลือกคณะนิติศาสตร์ กับคณะรัฐศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ และที่จุฬาฯ แต่ระหว่างที่รอสอบ เพื่อนชักชวนให้ลองสอบเข้า รร.เตรียมทหาร เราจบสายศิลป์ จึงเลือกได้แค่เหล่าตำรวจ”
เมื่อสอบติดเรียนไปได้ 1 เดือน แม่โทร.มาบอกว่ามีหนังสือจาก ม.ธรรมศาสตร์ ผลปรากฏว่าสอบติดคณะนิติศาสตร์ ก็คิดจะลาออกเพราะขณะนั้นยังมีความรู้สึกอยากเป็นผู้พิพากษา แต่ด้วยครอบครัวไม่ได้ร่ำรวย ออกจะค่อนข้างยากจนด้วยซ้ำ แม่บอกว่าเรียนตำรวจดีแล้ว เพราะไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย กินอยู่ฟรี แถมได้เงิน 450 บาทต่อเดือน ขณะนั้นมีคนแสดงความยินดีกับแม่ เพราะทั้งจังหวัดสอบติดแค่ 2 คน
เมื่อจบนายร้อยตำรวจก็คิดว่า เราไม่ใช่ลูกท่านหลานเธอ แล้วจะเจริญก้าวหน้าอย่างไร แต่ด้วยความมุ่งมั่นและตั้งใจ ก็ได้ขึ้นสารวัตรคนแรกของรุ่น เป็นความภาคภูมิใจเหมือนกันว่า เป็นเด็กบ้านนอก ไหนใครบอกว่า ถ้าไม่ใช่ลูกท่านหลานเธอ แล้วมันจะโตยาก ถ้าเรามุ่งมั่นและตั้งใจจริง เชื่อว่าผู้ใหญ่เขามองเห็น และให้ความก้าวหน้ากับเรา ทุกวันนี้ นรต.รุ่น 41 ตนและเพื่อนอีก 1 คน ก็เจริญก้าวหน้าในตำแหน่งหน้าที่
แม้เคยคิดอยากเป็นผู้พิพากษา แต่เมื่อเรามาเป็นตำรวจแล้ว ก็สามารถผดุงความยุติธรรมได้ แม้ว่าจะเป็นต้นธารของกระบวนการยุติธรรมก็ตาม เราเป็นคนที่ประชาชนเข้าหาง่าย ทำอะไรไม่เอาตัวเองเป็นหลัก เอาประโยชน์ส่วนรวมเป็นตัวตั้ง แล้วนึกถึงประชาชนก่อนเสมอ ครั้งที่มีกลุ่มม็อบเคลื่อนไหวทางการเมือง ยังเคยควักเงินส่วนตัวซื้ออาหารและเครื่องดื่มแจกจ่ายให้ ทั้งที่ตัวเราไม่ได้เกี่ยวข้อง
พล.ต.ต.ภาณุรัตน์กล่าวว่า สัมผัสกับสีเสื้อทั้งหลายตั้งแต่เป็น ผกก.สายตรวจ 191 จนเป็น รอง ผบช.น.ผ่านมาเกือบ 10 ปี เห็นความขัดแย้งมาตลอด ถามว่าเราเข้าไปเกี่ยวข้องอย่างไร ก็เข้าไปเกี่ยวข้องตั้งแต่เริ่มมีเหตุการณ์ต่างๆ ได้บังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัดกับผู้ที่ใช้ความรุนแรง ตนยอมรับความคิดเห็นต่างด้านการเมือง แต่ไม่ยอมรับในเรื่องการใช้ความรุนแรงของแต่ละฝ่ายในการห้ำหั่นกัน
นอกจากนี้ที่เกี่ยวข้องกับงานความมั่นคง ได้ทำโครงการเรื่องกล้องซีซีทีวี ตามที่ ผบช.น.มอบหมายให้เป็นหัวหน้าคณะทำงาน สำรวจกล้องทั่วกรุงเทพมหานครมีการประชุมว่าเรื่องกล้องควรจะอยู่กับตำรวจ เพราะเมื่อเกิดเหตุร้ายใดๆ ผู้เสียหายมาหาตำรวจ แต่ตำรวจไม่สามารถตรวจหาหลักฐานส่วนนี้ได้ ต้องกลับไปที่ กทม. เพื่อขอไล่ดูกล้อง จนเมื่อวันที่ 16 มิถุนายนที่ผ่านมา จึงมีมติให้กล้องซีซีทีวี ขึ้นกับตำรวจ
พล.ต.ต.ภาณุรัตน์เล่าย้อนประวัติชีวิตราชการที่ผ่านมา ว่า แรกเริ่มเป็นตำรวจป่าไม้ รับผิดชอบทางภาคเหนือ จากนั้นก็ผ่านงานมาทุกภาค รวมถึงกองปราบปราม ทางหลวง เรื่อยมาจนเป็น ผบก.สปพ. (191) และ รอง ผบช.น.ได้รับฉายา “หลวงตามสั่ง” เนื่องจากคลี่คลายงานตามที่ได้รับมอบหมายได้เป็นอย่างดี
“ผู้ใหญ่ไว้วางใจให้ดูแลงาน ด้านความมั่นคง ที่ไม่มีสูตรสำเร็จ ในการแก้ไขปัญหา การจะตัดสินใจอะไรต่างๆต้องอยู่บนพื้นฐานของการข่าว เป้าหมายคือทำให้ชาติบ้านเมืองสงบเรียบร้อย ไม่เหมือนคดีอาชญากรรมทั่วไป เมื่อมีเหตุร้ายก็ไปตามจับ งานความมั่นคงต้องทำต่อเนื่องขณะนี้บ้านเมืองกำลังเปลี่ยนถ่าย เข้าสู่การเลือกตั้งงานความมั่นคงจึงถือว่ามีความสำคัญ เพื่อทำให้บ้านเมืองเดินไปได้อย่างราบรื่น”
ทีมข่าวอาชญากรรม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี