การตัดสินใจ “ย้ายฟ้าผ่า” พ.ต.ท.พงศ์พร พราหมณ์เสน่ห์ ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เป็นเรื่องที่ประชาชน “รับไม่ได้” และตั้งคำถาม ทั้งวิธีการย้ายและเหตุผลที่ย้ายกันระเบ็งเซ็งแซ่ และตั้งเค้าว่า “ความสิ้นศรัทธา” ในตัว พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. เกิดขึ้นในใจของคนที่เคยสนับสนุนและเอาใจช่วยรัฐบาลและ พล.อ.ประยุทธ์ มาโดยตลอดเรียบร้อยแล้ว
พ.ต.ท.พงศ์พร รับราชการที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ ตั้งแต่วันที่ 4 ก.ย. 2546 ในตำแหน่งพนักงานสอบสวนคดีพิเศษชำนาญการพิเศษ ก่อนจะขยับขึ้นเป็นผู้อำนวยการส่วนสืบสวนสะกดรอย
มีผลงานสำคัญๆ เช่น ได้รับมอบหมายให้เป็นหัวหน้าชุดสืบสวนสะกดรอยหาเบาะแสคนร้าย หลังหัวระเบิดอาร์พีจีสูญหาย จากคลังแสงของกองทัพบก นอกจากนี้ ยังเป็นผู้นำกำลังเข้าจับกุม
นายสมยศ พฤกษาเกษมสุข บรรณาธิการบริหารนิตยสาร “วอยซ์ ออฟ ทักษิณ” และแกนนำกลุ่มแดงสยาม ในคดีหมิ่นสถาบัน
ขณะหลบหนีไปอยู่ที่ อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว
พ.ต.ท.พงศ์พร มีบทบาทสำคัญขณะดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการสำนักคดีภาษีอากรฯ ได้ทำคดีสำคัญๆ ที่เกี่ยวเนื่องคดีรถยนต์หรูเลี่ยงภาษี และรถยนต์โบราณ 2 คัน ที่เป็นข่าวโด่งดัง คือ คดีรถยนต์ของพระครูปลัดสิทธิวัฒน์ หรือหลวงพี่น้ำฝน เจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อม จ.นครปฐม และคันที่สองเป็นรถยนต์เบนซ์โบราณ ทะเบียน ขม99 กรุงเทพมหานคร ของสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ หรือสมเด็จช่วง เจ้าอาวาสวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ ตั้งแต่กระบวนการนำเข้า การเสียภาษี และพบว่ามีการใช้เอกสารเท็จในการจดทะเบียน
ส่วนบทบาทในคดีของพระธัมมชโย นั้น พ.ต.ท.พงศ์พร ได้รับมอบหมายให้เป็นหนึ่งในชุดเจรจาร่วมกับ นายสมเกียรติ ธงศรี ผู้อำนวยการสำนักเลขาธิการมหาเถรสมาคม และพระเทพรัตนสุธี เจ้าอาวาสวัดเขียนเขต เจ้าคณะจังหวัดปทุมธานี ในการประสานงานให้พระธัมมชโย เข้ามอบตัวสู้ข้อกล่าวหา แต่ไม่เป็นผล จนเป็นที่ดีเอสไอต้องขอศาลออกหมายค้นวัดพระธรรมกายอย่างต่อเนื่อง และธัมมชโยได้หลบหนีไปในที่สุด
พ.ต.ท.พงศ์พร ถูกเลือกโดย นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ ให้มาเป็น ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ แทนนายพนม ศรศิลป์ ที่เฉื่อยเนือย และภายหลังยังไปมีชื่อถูกตรวจสอบเรื่อง “เงินทอนวัด” เป็นคนตรง เป็นคนขยันทำงาน เอาจริงเอาจัง จนอาจกระทบไปยัง “พระเศรษฐี” ทั้งหลาย ซึ่งมีเครือข่ายบริวารมาก (บางคนมีบริวารระดับรัฐมนตรีด้วย) และเกือบทุกนาย เกี่ยวพันกับเครือข่ายวัดพระธรรมกายอยู่ด้วย เช่น รับกิจนิมนต์ไปเป็นวิทยากรประจำ ร่วมเดินธุดงค์ธรรมชัย รับเงินนิตยภัตต์ ฯลฯ จากวัดพระธรรมกาย
จากที่เคยเป็นพระสบายๆ มั่งคั่ง มากบารมี มีคนรองมือรองตีนโดยไม่ตรวจสอบ ไม่ตั้งคำถามใดๆ มาเจอ ผอ.สำนักพุทธฯ คนใหม่ ที่ตรวจสอบอย่างระห่ำ พระเหล่านั้น ซึ่งปกติคนก็ตั้งคำถามเรื่องความเป็น “ผู้ทรงศีล” อยู่แล้ว ย่อมมีปฏิกิริยา ยิ่งมาถูกตรวจสอบเรื่องเงินสนับสนุนการบูรณปฏิสังขรณ์วัด กับเงินอุดหนุนโรงเรียนพระปริยัติธรรม ซึ่งพบว่า มีการสมคบกับข้าราชการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ โกงกินกันอย่างเป็นล่ำเป็นสัน มันง่ายนักหรือที่จะปล่อยให้ ผอ.พศ.คนนี้ อยู่ในตำแหน่งต่อไป
จึงเป็นที่ทราบว่า พระเริ่ม “ออกอาการ” เช่น เจ้าคุณพิพิธ วัดสุทัศนเทพวราราม อ้างพระสังฆาธิการทั่วประเทศ (แต่ไม่มีชื่อประกอบสักชื่อ ว่าใครบ้าง) คว่ำบาตร พ.ต.ท.พงศ์พร และจะไม่ขอ
รับเงินอุดหนุนใดๆ จากสำนักงานพระพุทธฯ พระผู้ใหญ่บางวัด ตะบึงตะบอนว่า พ.ต.ท.พงศ์พร ไม่ปกป้องพระ แถมเอาข้อมูลไปให้ตำรวจอีก บางงานถึงกับไม่เชิญ พ.ต.ท.พงศ์พร ขึ้นจุดธูปเทียน
คนแรกที่ออกมาเต้นตามพระ คือ นายออมสิน ชีวะพฤกษ์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ ซึ่งให้สัมภาษณ์เชิงตำหนิ พ.ต.ท.พงศ์พร อยู่บ่อยครั้ง แม้ในช่วงนั้น พล.อ.ประยุทธ์ จะให้สัมภาษณ์เชิงชมเชยและให้กำลังใจ พ.ต.ท.พงศ์พร อยู่บ่อยครั้งเช่นกันก็ตาม แต่ท้ายที่สุด ก็มีคำสั่ง “ยืมตัว” หรือ “ย้าย” หรือ “ทำให้พ้นไป” จากตำแหน่ง ผอ.พศ.ออกมา และเกิดการโต้แย้งเรื่องอำนาจและข้อกฎหมายจาก พ.ต.ท.พงศ์พร จนนายวิษณุ เครืองาม เนติบริกร ต้องให้สัมภาษณ์กับสื่อว่า จะใช้เวลาไม่เกิน 24 ชั่วโมง ยุติปัญหาดังกล่าว
ไม่เกิน 24 ชั่วโมงจริงๆ ที่ในที่สุด “คำสั่งนายกรัฐมนตรี” ก็ออกมา!!
8 กันยายน 2560 พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงกรณีที่ พ.ต.ท.พงศ์พร พราหมณ์เสน่ห์ ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) ทำหนังสือแย้งความเห็นของ นายออมสิน ชีวะพฤกษ์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ที่อนุญาตให้รับโอนและไปช่วยราชการสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี (สปน.) โดยเห็นว่าไม่ถูกต้องตามขั้นตอนของกฎหมายและไม่ได้ทำให้ตนพ้นจากตำแหน่งเดิม ว่า
ขณะนี้นายกรัฐมนตรีได้มีคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 220/2560 ลงวันที่ 8 ก.ย. 2560 ให้ พ.ต.ท.พงศ์พร ไปปฏิบัติราชการที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปแล้ว
จึงนับว่าทุกอย่างเป็นไปตามขั้นตอนของระเบียบการบริหารราชการแผ่นดินอย่างถูกต้องแล้วทุกประการ
ทั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ย้ำว่า การดำเนินการดังกล่าวเป็นไปเพื่อความเหมาะสม เพราะระหว่างนี้ พศ. มีภารกิจสำคัญ 4 เรื่องที่ต้องทำให้สำเร็จ ซึ่งต้องมีผู้นำหน่วย
ที่ได้รับการยอมรับและไว้วางใจจากคณะสงฆ์ หน่วยงานภายนอก และเจ้าหน้าที่ใน พศ.เอง รวมทั้งทำงานร่วมกับทุกภาคส่วนได้อย่างใกล้ชิดและเป็นไปด้วยความราบรื่น
โดยภารกิจสำคัญประกอบด้วย 1.เป็นเลขาธิการมหาเถรสมาคม (มส.) 2.ปราบปรามการทุจริต ที่ต้องตรวจสอบทั้งคนใน พศ. ไปจนถึงระดับวัดและชาวบ้าน 3.จัดศาสนพิธีในพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ รัชกาลที่ 9 ร่วมกับกรมการศาสนา 4.แก้ไขปัญหาที่ดินสนามกอล์ฟอัลไพน์ ที่ พศ. มส. ตำรวจ และกรมที่ดิน ต้องทำงานร่วมกัน โดยช่วงนี้จะให้นายกนก แสนประเสริฐ รอง ผอ.พศ.รักษาการแทนไปพลางก่อน
ส่วนกรณีที่ สำนักปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี หรือ สปน.มอบหมายให้ พ.ต.ท.พงศ์พร รับผิดชอบดูแลเขตตรวจราชการที่ 8 ของสำนักนายกรัฐมนตรี 5 จังหวัด ได้แก่ จ.สงขลา สตูล ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส นั้น เป็นการแบ่งงานภายใน สปน. โดยได้แบ่งงานจากของผู้ตรวจคนหนึ่งที่ต้องดูแลรับผิดชอบถึง 2 เขตตรวจราชการ ซึ่งการปฏิบัติงานจริงนั้นจะอยู่ที่กทม.เป็นหลัก เพราะต้องประสานงานกับผู้บังคับบัญชาและหน่วยงานในส่วนกลาง ที่มีอำนาจหน้าที่รับผิดชอบงานและปัญหาในแต่ละเรื่อง ส่วนการลงพื้นที่ตรวจราชการนั้นเป็นไปตามความเหมาะสมและจำเป็น
“ท่านนายกฯระบุว่า พ.ต.ท.พงศ์พร เป็นข้าราชการที่ปฏิบัติหน้าที่ได้ดี และมีความมุ่งมั่นตั้งใจในการทำงาน จึงเชื่อว่าจะมีความเข้าใจเหตุผลและขั้นตอนทุกอย่างเป็นอย่างดี ทั้งนี้ นายกฯ ได้รับรายงานจากนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ว่าเรื่องดังกล่าวจะยุติลงด้วยดีในเร็ววันนี้ และไม่กระทบต่อภารกิจสำคัญของ พศ. ที่ต้องดำเนินการให้ลุล่วงต่อไป” พล.ท.สรรเสริญ กล่าว
คำถามของประชาชนต่อคำอธิบายผ่าน พล.ท.สรรเสริญคือ
(1) “เป็นข้าราชการที่ปฏิบัติหน้าที่ได้ดี และมีความมุ่งมั่นตั้งใจในการทำงาน” แล้วทำไมต้องโดนย้าย แน่นอน ท่านอาจอ้างว่าตำแหน่งสูงขึ้น การย้ายจึงไม่เข้าข่ายย้ายเพื่อลงโทษ แต่ในทางสังคม นี่เป็นการย้ายที่ “สร้างความรู้สึกดีขึ้น” จริงหรือ? ทำให้ประสิทธิภาพของงานในสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติอ หรือ พศ. ดีขึ้นจริงหรือ? และเจ้าตัวเขา “ยินดี” ไปกับการดีขึ้นในมุมของท่านไหม? มันมีอะไรเร่งด่วนเสียจนไม่อาจเจรจาให้เจ้าตัวเกิดความยินยอมพร้อมใจ และไม่ “ส่งสัญญาณ” อะไรบางอย่าง เพื่อฟ้องร้องสังคมเช่นนี้ออกมาหรือ หรือจะยืมคำของบุญทรง เตริยาภิรมย์ มาใช้ ว่า “กูพูดไม่ได้”
(2) สิ่งที่ท่านทำ สังคมตีความว่า ยอมแพ้ต่อ “อิทธิพลในหมู่สงฆ์” ซึ่งประชาชนไม่ได้รู้สึกด้วยว่า เป็นสงฆ์ที่ดี เพราะสงฆ์ที่ดี ย่อมยินดีที่มีผู้เอาจริงเอาจังต่อการตรวจสอบ ทำให้วงการสงฆ์โปร่งใส เป็นที่เชื่อถือศรัทธาได้ในหมู่ญาติโยม แต่ปรากฏว่าคนที่พยายามจะทำหน้าที่ตรวจสอบ กลับถูกกระทำเช่นนี้ จะให้ประชาชนคนไทย คิดเห็นเป็นประการใดได้ นอกจาก “ยอมแพ้” ไม่เอาจริงเอาจัง ไหนบอกว่าจะเข้ามาปราบโกงไง มีข้าราชการดีๆ คนหนึ่ง ทำงานอย่างจริงจัง แล้วไปทำอย่างนี้กับเขาทำไม ต่อไปใครเขาจะทุ่มเททำงานให้ นอกจากพวกมีนิสัยสอพลอคล้อยตามเท่านั้น ที่อยากมาทำ
(3) ส่วนเหตุผล 4 ประการ ที่อ้างมานั้น ก็ฟังไม่ขึ้น
• ใครเป็นคนบอกว่า พ.ต.ท.พงศ์พร ทำหน้าที่เลขาฯ มหาเถรสมาคมไม่ได้ และชี้แจงเหตุผลว่าอะไร ตอบมาเสียให้ชัด ว่า พ.ต.ท.พงศ์พร ทำงานนี้ไม่ได้ หรือสมาชิกในกรรมการมหาเถรฯ เกี่ยงงอน กดดัน ต่อรอง ให้เอาเขาออกไปกันแน่ บอกชื่อมาเลย ว่าใคร อย่าให้เสียหายกันไปทั้งมหาเถร ประชาชนจะได้รู้เสียที ว่า “พระผู้ใหญ่ในบ้านนี้เมืองนี้” ใครเป็นใคร ใครมีหลักเกณฑ์หลักการ สมควรแก่การกราบไหว้เพียงใด จบปัญหาความอึมครึมในมหาเถรสมาคมไปซะ เพราะที่ผ่านมาพุทธศาสนิกชนเขาก็เอือมระอาต่อความเพิกเฉยของมหาเถรฯ มาตลอด หรือไม่ใช่?!?! ที่ผ่านมา ไม่ว่าจะมีปัญหาซึ่งกระทบต่อทั้งพระธรรมวินัย และศรัทธาของประชาชนเพียงใด ก็เห็นแต่นั่งอ้วนแก่กันไปวันๆ หาตัวพระผู้ใหญ่ที่กล้าหาญ มาชำระสะสางให้สิ้นกระแสความ เพื่อรักษาความถูกต้องของหลักการในพระพุทธศาสนาแทบไม่เจอ!
• เรื่องปราบปรามการทุจริตนั้น เป็นผลงานสำคัญของ พ.ต.ท.พงศ์พร เลยไม่ใช่หรือ คนใหม่ที่ย้ายมาจากกรมการศาสนานั้น มีประสบการณ์ในการปราบปรามการทุจริตมาก่อนไหม? และบัดนี้ คดีเงินทอยวัดไปถึงไหน เอาผิดใครได้บ้างหรือยัง ไหนจะเรื่องคดีธรรมกาย ที่มีทั้งการฟอกเงิน การโน้มทรัพย์ การบิดเบือนคำสอน มีใครชำระสะสางไหม ทำไปถึงไหน กรณีสมเด็จช่วงมีชื่อเป็นผู้ครอบครองรถเบนซ์ ขม99 เอาเรื่องเอาความกันไหม หรือจะหยุดแค่คดีนำเข้าและประกอบอย่างผิดกฎหมาย แต่ไปไม่ถึงคดีการ “ครอบครอง” ส่วนเรื่องการใช้งบประมาณนั้น อย่าตรวจแค่งบบูรณปฏิสังขรณ์ กับเงินอุดหนุนโรงเรียนพระปริยัติธรรม แต่ให้ตรวจโครงการ “หมู่บ้านศีล 5” ซึ่งเลขาฯ คนสนิทของสมเด็จช่วงบริหารจัดการอยู่ด้วย หลายพื้นที่มีข้อครหาสารพัด ว่าเป็นโครงการที่เน้นระดมชื่อและจำนวนคนที่เข้าร่วมโครงการ เพื่อนำไปดึงงบประมาณออกมาใช้ จริงหรือเท็จอย่างไร ตรวจกันบ้างสิ
• การจัดศาสนพิธีในงานพระราชพิธี ที่อ้างว่าต้องร่วมกับกรมการศาสนา ก็ใช่ว่าจะต้องเอาคนจากกรมการศาสนามานั่งเป็น ผอ. พศ. สักหน่อย ที่ผ่านมา เราผ่านมากี่พระราชพิธีแล้วล่ะ เคยต้องอ้างเหตุผลข้างๆ คูๆ แบบนี้ไหม และถ้า พ.ต.ท.พงศ์พร เป็นผอ.พศ. พระจะไม่มาร่วมประกอบศาสนพิธีหรืออย่างไร บอกมาซิ ถ้าเป็นเช่นนั้น จะนับเป็นพระชั่วหรือพระดีกันล่ะ
• เรื่องที่ดินอัลไพน์นี่ เป็นการอ้างที่เลวทรามที่สุด เพราะศักยภาพของนายกนก ซึ่งเป็นนายช่างรังวัด จะมาช่วยอะไรได้ กรณีที่ดินอัลไพน์เป็นเรื่องของกระทรวงมหาดไทยล้วนๆ ที่ไปฉ้อฉลกันในอดีต เพียงเพราะนักการเมืองชั่วๆ อยากได้ที่ดินแปลงดังกล่าว ซึ่งเป็นศรัทธาของนางเนื่อม ชำนาญชาติศักดา ยกที่ดินถวายวัดธรรมิการาม (วัดเขาช่องกระจก) จังหวัดประจวบครีขันธ์ แต่มันมีกระบวนการหว่านล้อม ชักจูง จนเจ้าอาวาสหลงลืมจิตอันเป็นกุศลของนางเนื่อม ยอมโอนอ่อนให้เกิดการแปลงที่ดินที่ต้องเป็น “ธรณีสงฆ์” ตามกฎหมาย โดยใช้อำนาจ ผัว” ในกระทรวงมหาดไทย จนกลายเป็นที่ดินที่ซื้อขายได้ โดยมี “เมีย-น้องชาย-เพื่อน” ตั้งบริษัทเข้าไปซื้อ แล้วนำมาขายต่อกันเป็นทอดๆ
จุดเปลี่ยนสำคัญ มันอยู่ที่ เมื่อกฤษฎีกาตีความว่า ที่ดินแปลงดังกล่าวเป็นที่ธรณีสงฆ์ ซื้อขายเปลี่ยนมือไม่ได้ จนกว่าจะออกเป็นพระราชบัญญัติตามกฎหมาย ก็มีการเล่นแร่แปรธาตุกันจนขายได้ นำมาซึ่งการที่กรมที่ดิน ซึ่งเชื่อในการตีความที่ถูกต้องของกฤษฎีกา ออกคำสั่งเพิกถอนการซื้อข้ายถ่ายโอน แต่นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ ซึ่งมีกระบวนการพิเศษ จนได้เข้ามารักษาราชการแทนปลัดกระทรวงมหาดไทย ไปออกคำสั่ง “เพิกถอนคำสั่งอธิบดีกรมที่ดิน” จนการซื้อขายที่ดินกลายเป็นเรื่องถูกต้องต่อไป และล่าสุด ศาลตัดสินว่านายยงยุทธ ใช้อำนาจในทางทุจริต ผิดกฎหมาย สั่งจำคุก และให้ปล่อยตัวชั่วคราวเพื่อสู้คดีในศาลชั้นต่อไป
แล้วจะให้ ผอ.พศ. มาทำอะไร? ในเมื่อเวลานี้ ต้องรอให้นายยงยุทธสู้คดีถึงที่สุด ซึ่งหากศาลตัดสินว่านายยงยุทธใช้อำนาจมิชอบ ก็เป็นหน้าที่ของกระทรวงมหาดไทย ที่จะต้องออกคำสั่ง “เพิกถอนคำสั่งของนายยงยุทธ” ต่อไป ที่ดินก็จะกลับมาเป็นที่ธรณีสงฆ์ตามกฎหมาย และตามเจตนารมณ์ของยายเนื่อม ก็เท่านั้นเอง จะให้คนในกรมการศาสนา มานั่งเป็น ผอ.สำนักงานพระพุทธฯ รอตั้งแต่ไก่โห่เพื่ออะไร แล้วมีอำนาจใด จะเข้าไปจัดการกับเรื่องที่ดินอัลไพน์นี้ล่ะ
การอ้างส่งๆ เดชๆ ฟังไม่ขึ้นนี่เอง ที่ประชาชนเขาหมดศรัทธา เขาตอบไม่ได้ว่า ทำไม “ลุงตู่” ไม่ยึดถือในพระบรมราโชวาท ของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ที่พระราชทานไว้ในพิธีเปิดงานชุมนุมลูกเสือแห่งชาติ ครั้งที่ 6 ณ ค่ายลูกเสือวชิราวุธ อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 11 ธันวาคม 2512 ว่า...
“ในบ้านเมืองนั้น มีทั้งคนดีและคนไม่ดี ไม่มีใครจะทำให้ทุกคนเป็นคนดีได้ทั้งหมด การทำให้บ้านเมืองมีความปกติสุขเรียบร้อย จึงมิใช่การทำให้ทุกคนเป็นคนดี หากอยู่ที่การส่งเสริมให้คนดีได้ปกครองบ้านเมือง และควบคุมคนไม่ดีไม่ให้มีอำนาจ ไม่ให้ก่อความเดือดร้อนวุ่นวายได้”
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี