เกิดกระแสเสียงวิพากษ์วิจารณ์สถาบันพระปกเกล้าอย่างหนัก หลังมีการเผยแพร่ผลสำรวจความคิดเห็นประชาชน อันมีเนื้อหาเกี่ยวกับคะแนนนิยมของผู้นำรัฐบาลในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา
ผลสำรวจอ้างว่า ตั้งแต่ปี 2545-2560 นายกฯ ที่ได้รับความเชื่อมั่นสูงสุด คือ นายทักษิณ ชินวัตร ได้รับความนิยมถึง 92.9% ในปี 2546 แต่ลดลงมาเหลือ 77.2 % ในปี 2549 โดยนายกฯ ที่ได้รับความนิยมสูงสุดในลำดับถัดมาคือ
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ 87.5% ในปี 2558 ก่อนนิยมลดลงมาเล็กน้อยใน 2 ปีถัดมาที่ 84.6% และ 84.8%
เสียงวิพากษ์วิจารณ์มีทั้งตั้งคำถามเกี่ยวกับความถูกต้องของแบบวิธีวิจัย ไปจนถึงความถูกต้องแม่นยำของผลการสำรวจที่กล่าวอ้าง หนักถึงขนาดตั้งคำถามว่า การทำโพลล์ในประเด็นเช่นนี้เป็นภารกิจงานที่สมควรจะทำของสถาบันพระปกเกล้าหรือไม่
นายเสรี สุวรรณภานนท์ อดีต สปท. กรรมการปฏิรูปประเทศ ถึงกับออกมาสับเละว่าเป็นการทำงานนอกเหนือเจตนารมณ์ขององค์กร เช่นเดียวกับที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์การจัดหลักสูตรอบรมพิเศษต่างๆ สมควรจะต้องปฏิรูปตัวเอง เป็นสถาบันสนับสนุนวิชาการและงานวิจัยแก่รัฐสภาเป็นหลัก มิใช่ทำโพลล์การเมืองเช่นนี้ และหากทำไม่ได้ก็สมควรยุบสถาบันพระปกเกล้าไปเสียเลยจะดีกว่า
ผมมีความเห็น ดังต่อไปนี้
1.สถาบันพระปกเกล้า ก่อกำเนิดในยุคประธานรัฐสภา นายมารุต บุญนาค โดยเจตนาเพื่อเป็นสถาบันควบคู่อยู่กับรัฐสภา เริ่มจากการเป็นหน่วยงานในรัฐสภาก่อน จากนั้น ยกระดับ แยกออกมาเป็นสถาบันสถานะเทียบเท่าระดับกรม
จัดตั้งเป็น “สถาบันพระปกเกล้า” เป็นนิติบุคคลอยู่ในกำกับดูแลของประธานรัฐสภา
มีวัตถุประสงค์สำคัญตามกฎหมาย ได้แก่ การส่งเสริมงานวิชาการของรัฐสภา, บริการข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับความรู้และผลงานวิจัย และวิชาการทางการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตย, การศึกษาและวิเคราะห์ทางวิชาการต่างๆ เพื่อเป็นแนวทางในการพัฒนาประชาธิปไตย, วิจัยและสนับสนุนการวิจัยเพื่อการพัฒนาประชาธิปไตย, จัดและสนับสนุนการศึกษาอบรมบุคลากรจากภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชนเกี่ยวกับการเมือง การปกครอง และการเศรษฐกิจและสังคมในระบอบประชาธิปไตย, บริการข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับความรู้และผลงานวิจัย และวิชาการทางการเมืองการปกครองใน ระบอบประชาธิปไตย ฯลฯ
สถาบันแบบนี้ มีความสำคัญ ในหลายประเทศก็มีสถาบันที่ทำหน้าที่ลักษณะนี้ ผูกติดกับรัฐสภา เพื่อสมาชิกรัฐสภา ทั้ง สส. สว. จะได้มีหน่วยงานสนับสนุนการทำหน้าที่โดยอาศัยองค์ความรู้ ทำหน้าที่ค้นคว้า รวบรวม วิจัย ค้นหามุมมอง ความรู้ และทางเลือกต่างๆ ในการที่ฝ่ายนิติบัญญัติจะทำหน้าที่ ทั้งการจะออกกฎหมาย การพิจารณานโยบายสาธารณะต่างๆ ว่ามีทางเลือกที่กว้างขวางอย่างไรบ้าง ก็จะให้องค์กรในลักษณะเช่นนี้ไปศึกษาวิจัย รวมถึงไปสอบถามประชาชน เพื่อแสวงหาความต้องการ สะท้อนมุมมองของประชาชนที่เกี่ยวข้องในประเด็นนั้นๆ อาทิ ออกกฎหมายนี้จะมีผลกระทบอย่างไร สร้างโครงการนี้ประชาชนที่ได้รับผลกระทบว่าอย่างไร มีทางเลือกเชิงนโยบายสำหรับโครงการแบบนี้ทางอื่นอีกไหม? ทางไหนจะมีข้อมูลสนับสนุน ดี-เสีย อย่างไร? เป็นต้น
กล่าวได้ว่า งานสำคัญของสถาบันพระปกเกล้า ควรจะเป็นการเชื่อมต่อที่สำคัญระหว่างการเมืองระบบตัวแทนที่เข้ามาทำงานในรัฐสภา กับการเมืองภาคประชาชน การมีส่วนร่วมของประชาชน เพื่อยึดโยงและเชื่อมต่อความต้องการของประชาชนเข้ากับการเมืองในรัฐสภา ซึ่งมิใช่แค่ทำโพลล์ แต่เน้นไปที่การศึกษา วิจัย เสาะแสวงหาองค์ความรู้ และถ้าจะมีการให้การศึกษาก็จะต้องมีเนื้อหาหลักสูตรที่เกี่ยวข้องกับประชาธิปไตยโดยตรง
2.น่าเสียดาย... ที่ผ่านมา ดูเหมือนสถาบันพระปกเกล้าจะทำงานโดยไม่ได้กำหนดลำดับความสำคัญในภารกิจของตนเอง จึงมีการใช้งบประมาณและทรัพยากรไปกับงานในทางที่ไม่ใช่ภารกิจสำคัญจริงๆ
แน่นอนว่า งานของสถาบันพระปกเกล้า จะต้องเกี่ยวข้องกับการเมือง
แต่ที่ผ่านมา กลับไปเล่นกับประเด็นการเมืองที่เป็นระดับเปลือกนอก หรือระดับผิวนอก ไม่ใช่แก่นสาระของประเด็นปัญหาเพื่อสนับสนุนงานพัฒนาประชาธิปไตยเนื้อในจริงๆ (ดังที่กล่าวแล้ว)
ยกตัวอย่างที่ควรทำ เช่น เน้นการทำงานวิจัยเพื่อสนับสนุนการทำงานของรัฐสภา เพื่อให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการกำหนดนโยบาย ไม่ว่าจะเป็น การสะท้อนปัญหาในการออกกฎหมาย การให้ความรู้เกี่ยวกับผลได้-เสียต่อนโยบายสาธารณะเพื่อการตรวจสอบกำกับดูแล และการมีส่วนร่วมของประชาชนอย่างมีคุณภาพ
3.การทำโพลล์นั้น เป็นรูปแบบการหยั่งเสียงประชาชนที่มีข้อจำกัดมาก
การสำรวจความคิดเห็นของประชาชน หรือการทำโพลล์ (poll) เป็นความคิดเห็นของคน ณ ช่วงเวลาใดเวลาหนึ่งเท่านั้น สามารถเปลี่ยนแปลง ขึ้น-ลง ผันแปรไปตามเวลา สถานการณ์ และกระแสข้อมูลข่าวสาร ณ ขณะนั้น
ความคิดเห็นของประชาชนที่แสดงออกผ่านโพลล์ มักจะเป็นการแสดง “ความรู้สึกนึกคิด” ณ เวลาที่ถูกถามขณะนั้น ด้วยพื้นฐานข้อมูลข่าวสารเท่าที่มีอยู่เป็นทุนเดิม และถูกเร่งเร้าหรือถูกป้อนผ่านชุดคำถาม
ความเห็นที่ปรากฏในโพลล์ เสมือนเป็นส่วนปลายของความรู้สึกนึกคิด ที่มักจะไม่ได้ผ่านการไตร่ตรอง หรือแลกเปลี่ยนถกเถียงอย่างสร้างสรรค์ หรือกลั่นกรองกระทั่งได้สิ่งที่ตนคิดอ่านอย่างรอบคอบแล้ว
ดังนั้น หากต้องการความจริงหรือความถูกต้อง ในเรื่องที่ซับซ้อน มีตัวแปรหลายตัวที่ส่งผลกระทบ จึงไม่สามารถแสวงหาผ่านการทำโพลล์ เพราะผู้ตอบโพลล์จะตอบได้เฉพาะความรู้สึกหรือความเห็นเฉพาะตัวเขา
แถมยังเปลี่ยนแปลงไปตามกระแส สถานการณ์ และข้อมูลที่คนตอบได้รับในแต่ละขณะ
นอกจากนี้ ยังขึ้นอยู่กับการกำหนดประเด็นคำถามด้วย เช่น ถ้าไปถามว่า ช่วง 15 ปี ใครเป็นนายกฯ ที่ท่านชื่นชอบที่สุด? คำตอบก็เป็นความคิดเห็น ณ ขณะปัจจุบันของตัวผู้ตอบ ยิ่งกว่านั้น หากไปถามว่า ท่านคิดว่าใครเป็นนายกฯ ที่ประชาชนชื่นชอบมากที่สุด? คำตอบที่ได้จะเป็นการคาดการณ์ของตัวผู้ตอบล้วนๆ ว่าเขาคิดว่าประชาชนชอบใคร นี่คือตัวอย่างปัญหาของโพลล์การเมือง
แม้แต่การไปทำโพลล์เกี่ยวกับโครงการสาธารณะก็มีข้อจำกัด เช่น ถ้าไปถามประชาชนว่า โครงการนี้ดีหรือไม่? ประชาชนมีแนวโน้มจะตอบว่าดี เพราะเทียบกับไม่มีโครงการ
ในอดีต เคยมีการไปถามประชาชนวงกว้างทั่วประเทศเกี่ยวกับเขื่อนปากมูลว่า เมื่อมีเขื่อนแล้ว ควรจะใช้งานหรือไม่? เมื่อตั้งประเด็นคำถามเช่นนี้ แน่นอนว่าเสียงส่วนใหญ่ก็จะตอบจากส่วนปลายของความรู้สึกทันทีว่า ควรใช้งาน เพราะสร้างมาแล้ว โดยที่คนที่ไม่ได้รับผลกระทบโดยตรง ไม่ทราบข้อมูลว่าการกักน้ำ การปล่อยน้ำในช่วงไหน สร้างปัญหาผลกระทบแก่ใคร อย่างไร
สำนักโพลล์ที่มีมาตรฐาน จึงไม่นิยมไปสอบถามประเด็นที่เป็นเทคนิค หรือเรื่องที่ผู้ตอบคำถามจำเป็นต้องมีข้อมูลข้อเท็จจริง
และความรู้แท้จริง เช่น ยิ่งลักษณ์กระทำผิดกฎหมายหรือไม่? การนิรโทษกรรมผิดรัฐธรรมนูญหรือไม่? สาเหตุของน้ำท่วมเกิดจากอะไร? ฝนแล้งเกิดจากอะไร? แผ่นดินไหวเกิดจากอะไร? ฯลฯ
ยิ่งกว่านั้น สำนักวิชาการที่มีสำนึกความรับผิดชอบต่อสังคม จะไม่ตั้งประเด็นคำถามที่ “ล่อลวง” ประชาชน หรือจงใจชี้นำประชาชนให้ตอบคำถามออกมาในทิศทางที่ตนเองต้องการ เพียงเพื่อจะได้ประเด็นคำตอบที่หวือหวา เป็นข่าว หรือได้ผลลัพธ์ที่จะชี้นำกระแสสังคมให้เข้าทางผลประโยชน์ส่วนตัว หรือผลประโยชน์ทางการเมืองของคนกลุ่มหนึ่งกลุ่มใด
ในต่างประเทศ จึงมีการใช้วิธีการที่จะให้ประชาชนมีส่วนร่วมอย่างมีคุณภาพมากขึ้น โดยการจัดกระบวนการแสวงหาฉันทามติของประชาชน หรือ citizen dialogue เพื่อรับฟังความคิดเห็นที่ผ่านการกลั่นกรองอย่างมีระบบ บนฐานของข้อมูลข้อเท็จจริงประกอบที่เพียงพอ จากประชาชนกลุ่มตัวอย่างที่ถูกเลือกมาตามหลักวิชาการ
4.สถาบันพระปกเกล้า ควรเป็นสถาบันวิชาการที่ลึกซึ้งกว่าทำโพลล์
บทบาทในการสนับสนุนงานรัฐสภา ขยายรวมไปถึงการสะท้อนความต้องการและการมีส่วนร่วมของประชาชนในนโยบายสาธารณะ ผ่านรูปแบบวิธีการที่ลึกซึ้ง มีคุณภาพ มีมาตรฐานทางวิชาการ เช่น การให้ประชาชนมีส่วนร่วมในกระบวนการแสวงหาฉันทามติของประชาชน (citizen dialogue) โดยเลือกเอากลุ่มตัวอย่าง แล้วทำให้ได้รับข้อมูลข้อเท็จจริงพื้นฐาน และข้อมูลเกี่ยวกับโครงการที่เพียงพอ ให้ทางเลือก ว่าจะเอาแบบไหน อย่างไร ใครทำ ต้องใช้ทรัพยากรแค่ไหน ใครเป็นคนจ่ายทรัพยากรนั้น อย่างไร? จากนั้น ให้กลุ่มตัวอย่างได้พูดคุยอย่างเต็มที่ นำไปสู่ความเห็นที่เกิดประโยชน์ สร้างสรรค์
สถาบันพระปกเกล้า ควรเน้นตรงนี้ มากกว่าจะทำโพลล์การเมืองระดับผิว ระดับเปลือก
ในต่างประเทศ จึงมีการใช้วิธีการที่จะให้ประชาชนมีส่วนร่วมอย่างมีคุณภาพมากขึ้น โดยการจัดทำกระบวนการแสวงหาฉันทามติของประชาชน (citizen dialogue)
5.ที่ผ่านมา แม้แต่ในยามที่เกิดปัญหาในการทำเวทีประชาพิจารณ์ เช่น โรงไฟฟ้า เขื่อน ถนน ฯลฯ เกิดการประชาวิวาท ยกพวกถล่มเวที เพราะหน่วยราชการบิดเบือนการทำประชาพิจารณ์เพียงเพื่อเป็นตราประทับรับรองโครงการของตน ประชาชนก็ไม่ไว้ใจหน่วยงานรัฐเป็นทุนเดิม
น่าเสียดายที่สถาบันพระปกเกล้าไม่ออกมาแสดงความเชี่ยวชาญ ช่วยจัดการทำประชาพิจารณ์ แต่กลับปล่อยให้หน่วยงานรัฐจัดเอง นำไปสู่การจัดแบบเป็นพิธีกรรม พยายามชักจูงให้เห็นด้วยกับโครงการ ส่วนประชาชนที่มาก็มาเพื่อแสดงจำนวนเยอะๆ เน้นปริมาณ มิใช่มุ่งที่การรับฟังประเด็นให้รอบด้าน ไม่ใช่เอาชนะกันที่จำนวน ไม่สอดคล้องกับสาระที่แท้จริงของประชาพิจารณ์
หรือแม้แต่การทำประชามติ ในประเด็นสำคัญๆ เชิงนโยบาย หรือโครงการ สังคมก็ยังไม่มีโอกาสได้เห็นบทบาทของสถาบันพระปกเกล้า ในการขับเคลื่อนดำเนินการ เพื่อเป็นตัวกลางสะท้อนจากประชาชนไปสู่การเมืองระบบตัวแทน แต่กลับโผล่มาทำโพลล์
6.สถาบันพระปกเกล้า ควรต้องรู้จักวางกลุ่มเป้าหมาย ในเรื่องการพัฒนาประชาธิปไตย
ยกตัวอย่าง ถ้าจะจัดอบรมหลักสูตรพิเศษ ก็ไม่ควรทำเหมือนอบรม วปอ. เอาบุคคลระดับสูง ผู้บริหาร ข้าราชการ ธุรกิจ การเมือง มาอบรมพิเศษ สร้างคอนเนคชั่น จัดไปดูงานด้วยกัน รวมไปถึงหลักสูตรอย่าง วปรอ. วตท. ของหน่วยงานอื่นๆ การจัดหลักสูตรในลักษณะนี้ ถูกมองว่าเป็นการสร้างคอนเนคชั่น มากกว่าสร้างองค์ความรู้ หรือสร้างประชาธิปไตย ย่อมไม่ใช่หน้าที่ภารกิจของสถาบันพระปกเกล้า
7. สถาบันพระปกเกล้า ก่อนหน้านี้ อาจารย์วุฒิสาร ตันไชย ก็เคยเป็นหัวหน้าโครงการดำเนินการเกี่ยวกับการเมืองที่มีความขัดแย้ง เรื่องปรองดอง โดยร่วมกับคณะทำงานจากรัฐสภา ที่มีพลเอกสนธิ บุญยะรัตกลิน เป็นประธาน อ้างว่าไปสอบถามคนที่เกี่ยวข้องกับความขัดแย้ง ถึงขนาดไปสัมภาษณ์ทักษิณ ชินวัตร โดยให้นายวัฒนา เมืองสุข เป็นผู้ติดต่อประสานดำเนินงาน ใช้เงินหลวงจัดการ
ไปถามเรื่องนิรโทษกรรม ว่าควรนิรโทษกรรมรูปแบบไหน แค่ไหน แต่พอมีคนให้ความเห็นว่า ไม่ควรนิรโทษกรรม งานศึกษาชิ้นนี้กลับไม่เอามารวมด้วย อ้างทำนองว่าการไม่นิรโทษกรรมไม่ใช่หนทางปรองดอง
ที่เล่าความหลังให้ฟังตรงนี้ เพื่อจะชี้ให้เห็นว่า สถาบันเองเคยพาตัวเองไปทำงานในประเด็นขัดแย้งทางการเมือง แล้วทำผลเอนเอียงไปในทางฝ่ายการเมืองบางกลุ่มอยู่ก่อน มาครั้งนี้ เมื่อทำโพลล์การเมืองที่เสนอผลออกมาเยินยอทักษิณอีกครั้ง ก็จึงไม่แปลกใจที่จะมีคนออกมาวิพากษ์วิจารณ์รุนแรงเป็นธรรมดา
ขณะนี้ ยังไม่สายที่สถาบันพระปกเกล้าจะปฏิรูปตัวเอง จัดลำดับความสำคัญของงานในหน้าที่ มุ่งเสริมสร้างประชาธิปไตยที่แก่นเนื้อหา มิใช่ที่ผิวเปลือกนอก โดยไม่ต้องลดสถานะของหน่วยงานที่มีความสำคัญลงไปทำโพลล์การเมืองให้ถูกตั้งคำถามว่า ทำไปเพื่อสนองผลประโยชน์ทางการเมืองของใคร?
ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง
ศาสตราภิชาน มหาวิทยาลัยรังสิต
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี