เมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมา ผมมีโอกาสใช้บริการรถแท็กซี่ไทย จากโรงพยาบาลกลับบ้าน ซึ่งระยะทางพอสมควร บวกกับคนขับแท็กซี่นั้น ขับรถแบบสบายๆ ไม่เร่งรีบ ไม่โลดโผน จึงมีโอกาสสนทนา ไต่ถามทุกข์สุขกัน จนเป็นที่มาของบทความในวันนี้
คำถามแรกของผมก็คือ เหตุใดจึงยังไม่ไปเข้าร่วมกลุ่มกับค่ายรถรับจ้างแบบ Taxi-radio 1681 เพราะได้ยินมาว่าแท็กซี่ไทย กำลังรวมตัวกันเพื่อสู้กับระบบกลุ่มรถบริการสัญชาติฝรั่ง เช่น กลุ่มบริษัทอูเบอร์ หรือ Easy Taxi หรือ Grab Taxi ซึ่งก็ได้คำตอบกลับมาว่า อยู่แบบนี้เป็นเจ้าของรถเอง ก็สบายใจดี แถมมีความเป็นตัวของตัวเอง และยืดหยุ่นดี อาจจะมีปัญหาบ้าง ก็ตรงที่ถูกเรียกไปรับลูกค้าผ่านระบบศูนย์เรียกแท็กซี่ แต่ไปไม่ถึงที่อยู่ผู้โดยสารเพราะเส้นทางนั้นวกวน หรือได้รับการบอกกล่าวกันมาไม่ชัดเจน ซึ่งเมื่อไปถึงแล้ว ผู้เรียกบริการก็ได้ตัดสินใจขึ้นรถคันอื่นไปเสียแล้ว ก็ถือว่าเสียเที่ยวขาดทุน นอกจากนั้น ระหว่างทางที่มีผู้เรียกรถข้างทาง ก็จะแวะรับไม่ได้ ซึ่งไม่วายถูกด่าฟรีกันไป
คำถามต่อๆ มาก็เกี่ยวกับชีวิตปัจจุบัน และอนาคต รวมถึงความพึงประสงค์เพื่อให้ชีวิตดีขึ้นกว่า และมีความมั่นคง
ซึ่งก็ได้รับคำบอกกล่าวจากคนขับท่านนี้ว่า มาทำงานอยู่กรุงเทพฯแต่เพียงคนเดียว ทิ้งลูกทิ้งเมียเอาไว้ที่ต่างจังหวัด สำหรับส่วนตัวใช้ชีวิตดูแลตนเองก็ไม่มีปัญหา อยู่กินง่าย ค่าใช้จ่ายส่วนตัวไม่มาก เช่น ที่พัก ก็พักกับเพื่อนหลายๆ คน ก็อยู่พอสบาย
และก็แน่นอนสำหรับทุกครอบครัว เมื่อต้องแยกกันอยู่ ก็มักจะมีปัญหาต่างๆ ตามมาดังที่รู้ๆ กันอยู่ ซึ่งหากสามารถได้อยู่ร่วมกันทั้งครอบครัว แล้วมีงานทำที่ถิ่นกำเนิด หรือในกรุงเทพฯ ก็จะเป็นความปรารถนาสูงสุด ไม่ได้ต้องการอะไรมากกว่าการที่นอกจากการมีงานทำทั้งผัวทั้งเมีย ลูกๆ ไปโรงเรียนใกล้บ้าน ก็อยู่กันแบบพอเพียง
หากได้อาศัยอยู่ที่บ้านในต่างจังหวัด ก็ขอเพียงให้มีน้ำเพียงพอสำหรับการเพาะปลูกได้ทั้งปี โดยไม่ต้องไปพึ่งแต่ฝนฟ้าตามฤดูกาล ที่สำคัญรองลงมาคือ ขอให้มีโรงงานรับซื้อผลผลิตด้วยบ้างก็จะดียิ่งขึ้น
แต่ถ้าจะให้อาศัยในกรุงเทพฯ ทั้งครอบครัวก็ยินดี โดยที่มีลูกเมียได้มาอยู่ด้วย เพียงแต่ติดตรงเงื่อนไขว่า อยากขอร้องขอต่อภาครัฐให้ช่วยจัดหางานทำให้ผู้ภรรยาด้วย และจัดหาที่เรียนให้ลูกที่ใกล้บ้าน ซึ่งคำนวณแล้ว ถ้าสองคนผัวเมีย หาเงินได้รวมกันสักเดือนละ 30,000 บาท ก็น่าจะอาศัยอยู่ในกรุงเทพฯ ได้พร้อมหน้าพร้อมตาทั้งครอบครัว
สำหรับความมั่นคงสบายใจในชีวิตนั้น เรื่องห่วงใยหนักอกอยู่เสมอก็คือเรื่องการรักษาพยาบาล ซึ่งอยากให้ระบบบัตรทอง 30 บาทนั้น
สามารถใช้การได้กับทุกโรงพยาบาลหลวงทั่วประเทศ แทนที่จะใช้ได้กับโรงพยาบาลที่บ้านเกิดแต่เพียงอย่างเดียว นอกจากนั้นการหาเช้ากินค่ำเช่นนี้ ช่วงเจ็บป่วยต้องหยุดงาน ถ้าเป็นไปได้ ก็อยากให้ภาครัฐช่วยมีงบชดเชยรายได้ที่ขาดประจำวัน หรืองบสงเคราะห์ให้ด้วย
แล้วก็ยังมีเรื่องของกินของใช้ประจำวัน ที่ราคามันแพงขึ้นเรื่อยๆ ก็อยากให้ภาครัฐช่วยดูในเรื่องนี้ด้วย ว่าปัญหาที่แท้จริงมันอยู่ที่ต้นทุนที่ระบบการขนส่ง หรือที่ระบบตัวกลางหลายไม้หลายมือหลายขั้นตอนกันแน่ จนส่งผลให้ราคาหน้าไร่นา สวน หรือโรงงานผลิต กับราคาที่โต๊ะ ที่เคาน์เตอร์ มันห่างไกลกันลิบลับเช่นนี้
ประเด็นปัญหาของผู้ขับรถแท็กซี่ที่เอามาเล่าสู่กันฟังนี้ ไม่ได้แตกต่างกับปัญหาของประชาชนไทยอีกค่อนประเทศ ที่แม้จะต่าง
อาชีพ แต่ปัญหาโดยรวมนั้นมิได้แตกต่างกัน ซึ่งผมก็คิดว่า คงไม่ได้เกินปัญญาของบรรดา ข้าราชการ นักวางแผน และผู้บริหารประเทศ ซึ่งจะสามารถแก้ไขได้สำเร็จหรือไม่ ก็คงขึ้น
อยู่กับความใส่ใจ และการจัดหา และมอบหมายผู้รับผิดชอบให้เร่งดำเนินการอย่างแข็งขัน ซึ่งก็หวังว่า ในอนาคตอันใกล้นี้ ประเทศไทยของเรา
1.น้ำจะต้องถึงไร่ถึงนาถึงสวนตลอดปี
2.ทุกจังหวัดจะต้องมีแรงจูงใจให้มีการจัดตั้งโรงงานแปรรูปผลผลิตทางการเกษตรของเขตนั้นๆ
3.ครอบครัวชาวไทยมีความเป็นปึกแผ่น โดยรัฐส่งเสริม และบริการ ให้ครอบครัวได้สามารถทำงานและอยู่ร่วมกันอย่างพร้อมหน้าได้
ก็ขอมอบไว้เป็นข้อคิด เผื่อพรรคใดๆ ในอนาคต จะนำไปใช้เป็นนโยบายพรรคก็ไม่สงวนลิขสิทธิ์ ไม่ว่าจะเป็นพรรคที่มีอยู่แล้ว หรือเป็นพรรคที่กำลังจะจัดตั้งใหม่ก็ตามที
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี